สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 84(3)
เหล่าองครักษ์ตกใจจนหน้าถอดสี รีบเตรียมพร้อมคุ้มกัน
สิ่งนั้นบินเข้าสู่ท้องพระโรง และกระแทกหน้าผากหมอคังดังโครม ศีรษะของหมอคังถูกกระแทกเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กุมหน้าผากร้องอย่างน่าเวทนา
เพียงทุกคนจ้องมองไป ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่กระแทกหน้าผากเขาจะเป็นไม้เท้าหัวนกกระเรียนที่แกะสลักจากกิ่งไม้โบราณอายุนับร้อยปี
ในช่วงเวลาที่ทุกคนจ้องเขม็งไปที่ประตูท้องพระโรงและเคร่งเครียดราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่นั้น เหยียนหลิงจวินที่ต่อให้ภูเขาไท่ซานพังทลายลงตรงหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้านก็เขม่นหน้าผาก สีหน้าเป็นทุกข์และลำบากใจ
แต่ดีที่แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ควบคุมสติได้ดีเป็นพิเศษจึงยังตั้งสติไว้ได้
ทางฝั่งที่นั่งด้านนี้มีแต่ฉู่สวินหยางที่มุมปากยกโค้งขึ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น
แต่ฉู่ฉีเหยียนฟังเสียงนี้แล้วสีหน้าก็มืดหม่นไปครึ่งหนึ่ง…
คาดไม่ถึงว่านางคนนั้นจะเชิญเขามาได้ ท่าทางแผนการร้ายในวันนี้คงสำเร็จได้ยากแล้ว
คำพูดของคนๆ นี้ทำให้คนตกตะลึง ตัวยังมาไม่ถึงก็ชิงลงมือก่อนแล้ว อีกทั้งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักกลับไม่มีใครขวางเขา เพราะว่า…
ในมือเขาถือสาส์นสีทองเชิญร่วมงานเลี้ยงราชสำนักในวันนี้
ผู้อาวุโสอายุปูนนี้แล้ว ผมหงอกไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถึงแม้สีหน้ายังดีอยู่ แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมจึงยากที่จะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนที่มีฝีมือเหนือชั้นกว่าผู้อื่น ด้วยท่าทางแบบนั้นหากบอกว่าเป็นลุงจวนข้างๆ ยังเหมาะสมกว่า
อายุมากแล้ว หลังของเขาค่อมเล็กน้อย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีไม้เท้าก็ยังเดินได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เพียงชั่วลมหอบหนึ่งพัดผ่านก็เดินเข้ามาจากนอกตำหนัก
“กระหม่อมเฉินเกิงเหนียน ขออวยพรให้ฝ่าบาททรงพระเจริญ!” หลังจากผู้อาวุโสเข้ามาก็รู้กาลเทศะ คารวะฮ่องเต้ตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อน
ขณะนั้นฮ่องเต้ที่เดิมทีเหนื่อยล้าจนอยากนอนเต็มทีก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นยิ้มแล้วตรัสว่า “ท่านหมอบอกว่าแข้งขาไม่ค่อยดี แต่วันนี้ก็เห็นเข้าวังมาได้ไม่ใช่รึ?”
“กระหม่อมอายุเยอะเดินเหินไม่คล่องนัก แต่หูไม่ได้หนวก ตาไม่ได้บอด จึงไม่อาจยอมให้พวกมีตาแต่หามีแววไม่มาสบประมาทคนของกระหม่อมได้” เฉินเกิงเหนียนตอบ แม้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ก็ไม่ได้หวั่นเกรง จ้องหมอคังอย่างโมโหแล้วตวาดถามว่า “เมื่อครู่เจ้าว่าใครเบื้องหลังน่าสงสัย? ว่าใครเป็นไส้ศึก? และว่าใครวางแผนร้าย?”
หน้าผากหมอคังโดนไม้เท้ากระแทกจนหัวโน เวลานี้ยังเวียนศีรษะและตาพร่า
คนอื่นกลับไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว
ใช่แล้ว เฉินเกิงเหนียนเป็นคนแนะนำฝากฝังเหยียนหลิงจวิน เดิมเฉินเกิงเหนียนเคยเป็นหมอที่ตามเสด็จไปกับกองทัพตอนที่ฮ่องเต้ยังเป็นนายพลทหาร ทั้งยังเคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้หลายครั้งในสงครามที่โหดร้ายทารุณ เหยียนหลิงจวินเป็นศิษย์หลานของเขา มีความเกี่ยวข้องกันแบบนี้ ใครจะกล้าว่าเขามีเบื้องหลังน่าสงสัยอีก?
หลังจากที่ขอลาออกเกษียณอายุไป เฉินเหนียนเกิงก็ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมานานมากแล้ว แต่ทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงใหญ่โตฮ่องเต้ก็จะให้คนส่งสาส์นไปที่จวนเฉิน เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตไว้ แต่ก่อนผู้อาวุโสมักจะปฏิเสธอย่างที่คาดไว้ ไม่คิดว่าวันนี้จะมาเป็นครั้งแรก ไม่เพียงแต่มาแล้วยังเปิดตัวได้อย่างอลังการด้วย ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน
พอหมอคังเจอเขาก็เหมือนพลังจะลดไปครึ่งหนึ่งเลยทันที เอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ว่า “ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น พวกเราต่างก็เชื่อใจในตัวท่านหมอเฉิน แต่กับเจ้าเด็กนี่…และยาพิษที่แปลกและหาได้ยากนี้ ที่นี่นอกจากใต้เท้าเหยียนหลิงแล้ว ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะมีความสามารถด้านนี้อีก”
“คนที่มีความสามารถก็เหมารวมว่าเป็นคนเลวที่วางแผนร้ายหมดงั้นรึ?” เฉินเกิงเหนียนด่ากลับ น้ำลายกระเด็นใส่หน้าเขา ไม่สนว่าเป็นงานเลี้ยงราชสำนักและมีคนทั้งวังอยู่ด้วยแม้แต่น้อย ชี้นิ้วแทบจะทิ่มปลายจมูกหมอคัง “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? ตอนที่คนแก่อย่างข้าคอยตามเสด็จรักษาฝ่าบาท ยังไม่รู้ว่าเจ้าไปมุดหัวอ่านตำราแพทย์อยู่ตรงมุมไหนเลย ฝีมือหมอยังไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องคิดให้ร้ายผู้อื่นกลับเก่งไม่น้อย นี่กล้าถึงขั้นทำตามใจชอบกล่าวหาอย่างไร้เหตุผลต่อหน้าพระพักตร์เลยรึ? เป็นหมอ แต่มีความสามารถทำได้แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ข้าล่ะอายแทนเจ้า!”
เฉินเกิงเหนียนอายุมากแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะปากร้ายถึงเพียงนี้ ด่าหมอคังจนหน้าดำหน้าแดง ไร้แรงตอบกลับโดยสิ้นเชิง
จนสุดท้ายไม่รู้จะทำอย่างไรดี หมอคังจึงหันไปคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาเอ่ยเสียงดังว่า “ขอฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดพิจารณา กระหม่อมเพียงแค่ว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายผู้ใด อีกอย่าง…เอ่อ…เอ่อ…”
ระหว่างที่เขาพูด ในใจก็ยิ่งเรียกร้องหาความเป็นธรรม หันกลับไปชี้สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างกายทั่วป๋าหรงเหยาว่า “ที่กระหม่อมคาดการณ์เช่นนั้น ก็เป็นไปตามคำให้การของสาวใช้คนนี้ทั้งหมด ฝ่าบาท ฮองเฮา กระหม่อมถูกปรักปรำพ่ะย่ะค่ะ!”
“พวกเจ้าบอกว่าคนของข้าจะวางยาฝ่าบาทรึ?” เฉินเกิงเหนียนกลับไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัส พุ่งไปดึงคอเสื้อเขาไว้แน่นและลากตัวเขาขึ้นมา หมอคังไม่ทันได้ป้องกันตัวสักนิดก็ถูกเขาลากตัวเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องอุ่น และลากตัวเดินเหมือนลิงไปเกือบรอบตำหนักทอง
เฉินเกิงเหนียนชี้ไปที่ผู้คนรอบด้านอย่างเดือดดาล พร้อมกับตวาดจนน้ำลายกระเด็นว่า “ดูเอาไว้ให้ดี ให้ท่านอ๋องและใต้เท้าทุกท่านเป็นพยาน เจ้าก็ลองถามทุกคนดูสิ หากใจของเราสองปู่หลานคิดคดต่อฝ่าบาทจริง จำเป็นต้องรอให้ถึงวันนี้ด้วยรึ? จำเป็นต้องใช้กลอุบายที่มีช่องโหว่มากมายแบบนี้ล่อให้มาที่นี่ด้วยรึ? นี่คงเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดในใต้หล้า!”
ฮ่องเต้มีนิสัยขี้ระแวง ถึงได้ไม่ไว้ใจสำนักหมอหลวงทั้งหมด หลายปีมานี้ไม่ว่าเขาจะป่วยหนักหรือป่วยเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ให้เฉินเกิงเหนียนรักษาอยู่แต่เพียงผู้เดียว ถ้าหากเฉินเกิงเหนียนคิดไม่ซื่อจริง ต่อให้ตอนนี้ฮ่องเต้มีร้อยชีวิตก็คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยแล้ว
ทุกคนต่างก็รู้แก่ใจดี และไม่มีใครยอมร่วมมือทำเรื่องชั่ว ต่างคนต่างปิดปากไอและหลบสายตา
“ท่านหมอเฉิน พวกเราต่างนับถือท่านเป็นเสาหลักของสำนักหมอหลวง แต่ท่านก็อย่าได้ทะนงตนไป ก่อกวนสร้างความวุ่นวาย!” หมอคังถูกเขาลากจนเดินเซไม่หยุด จนยากที่จะหลุดพ้นจากมือเขาได้ มัวแต่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยเสียงดังด้วยสีหน้าโกรธแค้นว่า “เรื่องของใครก็คือเรื่องของคนนั้น ความจริงใจที่ท่านมีต่อฝ่าบาทเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพวกเราทุกคน ไม่เคยมีใครคิดสงสัยเลย แต่คนที่พวกเราพูดถึงวันนี้คือเหยียนหลิงจวิน!”
“ถุย!” เฉินเกิงเหนียนไม่รอให้เขาพูดจบ พลันถ่มน้ำลายใส่เต็มหน้าหมอคังต่อหน้าธารกำนัล
ครั้งนี้ทำเอาทุกคนนิ่งอึ้งไปเลยจริงๆ ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงใดทันที
เบื้องหน้าพระพักตร์ ถึงแม้ว่าการกระทำนี้จะไม่ได้ทำกับฮ่องเต้ แต่ก็ถูกมองว่าไม่ให้ความเคารพต่อเบื้องสูง
เฉินเกิงเหนียนคนนี้กล่าวกันว่าติดนิสัยที่ถือตัวว่าเก่งกว่าคนอื่นจากอาจารย์มานิดหน่อย ค่อนข้างหยิ่งยโสในความสามารถของตนเอง อีกทั้งในปีที่เกิดความวุ่นวายจากสงครามนั้นยังเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้หลายครั้ง จึงได้ปูนบำเหน็จจากฮ่องเต้เป็นพิเศษ เมื่อก่อนถือว่าเป็นบุคคลที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่สำนักหมอหลวง
เวลานี้เขาได้ขอเกษียณอายุพักผ่อนอยู่บ้านแล้ว ไม่คิดว่าไม่เจอกันไม่กี่ปี นิสัยกลับแย่ลงกว่าเดิม
หมอคังก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสในสำนักหมอหลวง เคยโดนเหยียดหยามต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้เมื่อไหร่? ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าอย่างรวดเร็ว หน้าแดงจนเหมือนเลือดจะออก อยากร้องไห้ต่อหน้าทุกคนใจจะขาด
เฉินเกิงเหนียนกลับยังไม่ยอมเลิกรา ชี้จมูกด่าเขาอย่างรุนแรงอีก “เจ้ามันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงรนหาที่ตาย! เหยียนหลิงจวินอะไร? ชื่อสามตัวอักษรนี้เจ้าเรียกได้งั้นรึ? แย่ที่สุด เรียกใต้เท้าเหยียนหลิงสักคำก็คงไม่ถือว่าเสียศักดิ์ศรีเจ้าหรอก! งานเลี้ยงราชสำนักในวันนี้ เจ้าไม่ให้ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าฝ่าบาท ฮองเฮา และขุนนางทั้งวังรึ? คังเสวียอี้ จิตใจที่ชั่วร้ายของเจ้านั้น คนอื่นไม่รู้ แต่ข้ามองเห็นอย่างชัดเจน เจ้าก็แค่ไม่พอใจที่เหยียนหลิงอายุยังน้อยก็ได้ตำแหน่งขุนนางแซงหน้าเจ้าไปแล้วใช่หรือไม่? พยายามทุกวิถีทางที่จะใส่ร้ายป้ายสี คิดเพ้อเจ้อว่ากำจัดเขาไปได้แล้วตนเองก็จะได้ตำแหน่งสูงขึ้นรึ? ดีที่เจ้ายังคุยโวโอ้อวดได้อย่างไม่ละอายใจแบบนี้ เจ้ามันหน้าไม่อาย แต่ข้าอายแทนเจ้าแทบแย่!”
ความในใจของหมอคังถูกเปิดโปงจนหมดเปลือก ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว
“เจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ถึงแม้ว่าเขาจะคิดแบบนั้นจริง แต่ไม่ว่ายังไงก็จะยอมรับต่อหน้าคนมากมายไม่ได้ แต่หมอเฉินผู้นี้เป็นนักพูดที่ฉลาดและวาจาคมคาย ยังไงก็เถียงไม่ชนะเขา จึงลนลานหันไปคารวะทางห้องอุ่นที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ วันนี้กระหม่อมเพียงว่าไปตามสถานการณ์ พระสนมหรงเฟยเคยแต่ติดต่อกับใต้เท้าเหยียนหลิงเท่านั้น แต่กระหม่อมไม่ได้เป็นคนพูดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเกิงเหนียนกำลังจะพูด กลับได้ยินเสียงคนกระแอมขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ทุกคนมองไปตามเสียง กลับเป็นฉู่อี้เจี่ยนอมยิ้มและมีเด็กรับใช้ที่คอยติดตามอย่างใกล้ชิดประคองแขนข้างหนึ่งลุกขึ้นเดินออกมาจากที่นั่งอย่างเชื่องช้า
เขาเดินทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าขาจะยังเดินได้ไม่คล่องจนต้องให้เด็กรับใช้คอยช่วยพยุงแขนข้างหนึ่ง แต่เขาก็กลับมายืนได้แล้วจริงๆ
————————————————————————