สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 85.2
ฉู่อี้หมินรินเหล้าหวังดื่มเพื่อกลบความตระหนก ทันใดนั้นคิดขึ้นมาได้จึงวางจอกเหล้าลง แล้วลุกขึ้นคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เสด็จพ่อ เรื่องของพระสนมหรงเฟย ทำให้องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยได้รับความเดือดร้อน ตอนนี้ในเมื่อสอบสวนแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิด ขอเสด็จพ่อทรงปูนบำเหน็จและลงโทษผู้กระทำผิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ หรือว่า….”
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ทั่วป๋าไหวอันอับอาย เขาเกือบถูกฮ่องเต้สั่งให้ถูกจองจำ การปลอบใจครั้งนี้สมควรที่จะได้รับ
ฮ่องเต้ยิ้มมุมปากและค่อยๆ ตรัสว่า “นี่เป็นสิ่งสมควร”
ขณะที่พูดก็มองไปที่ทั่วป๋าไหวอันและตรัสถาม “เรื่องเมื่อครู่ทำให้เจ้าเดือดร้อน บอกมาว่าเจ้าประสงค์สิ่งใด เราจะสนองคืนเจ้า!”
“กระหม่อมมิกล้า!” ทั่วป๋าไหวอันพูดแล้วรีบลุกขึ้นแสดงความขอบคุณ
เพลานี้เขาไม่สามารถต่อรองกับฮ่องเต้ได้
ฉู่อี้หมินถอนหายใจโล่งอก และกำลังจะพูดอีกครั้ง ฉู่อี้อันที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพลางพูดว่า “องค์ชายห้าเป็นเพียงผู้น้อย เสด็จพ่อทรงตรัสถามต่อหน้าสาธารณชน เขาคงไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก? ในทางตรงกันข้ามอาจทำให้คนรู้สึกว่าเสด็จพ่อไม่พอพระทัย! เหตุใดจะต้องรีบร้อน รอหลังงานเลี้ยงจบลงค่อยถามยังมิสายพ่ะย่ะค่ะ”
ทั่วป๋าไหวอันและฉู่ฉีเหยียนมีจุดประสงค์เดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีกลอุบาย ฉู่อี้หมินต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ทวงบุญคุณรึ? อย่าแม้แต่จะคิด!
ภายในใจของฮ่องเต้ลึกๆ มิได้ปิติยินดี เมื่อฟังจบก็เพียงพยักหน้า และตรัสกับทั่วป๋าไหวอันว่า “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าลองกลับไปคิดดูว่าต้องการสิ่งใดตอบแทนหากมิเกินประสงค์เราให้เจ้าได้ทั้งนั้น!”
ผู้อื่นหากประสงค์สิ่งใดจักได้ในบางเรื่อง แต่ทั่วป๋าไหวอันเอ่ยปากเมื่อใดจะต้องไตร่ตรองก่อน
คำพูดท้ายของฉู่อี้หมินถูกห้ามมิให้พูด สีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในท้องพระโรงแห่งนี้ อีกฝ่ายก็เป็นทั้งพี่ชายที่แท้จริงทั้งยังดำรงตำแหน่งรัชทายาท ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็มีน้ำหนักมากกว่า เขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ ทำได้เพียงเออออพูดสองสามคำแล้วนั่งลง
ท่านชายรุ่ยเงยหน้า ทุกคนต่างยกจอกเหล้าแล้วดื่มแสดงความเคารพ จากนั้นเรื่องเมื่อครู่ก็ถูกตัดบทไป
ต่อมาฉู่อี้เจี่ยนยกจอกเหล้าแต่กลับไม่ได้นั่งลงทันที ได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยได้รับความเดือดร้อนจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมิได้ให้รางวัลฝ่ายเดียวใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเหยียนรีบไปช่วยเหลือพระองค์ ภายหลังถูกกล่าวหา ผู้บริสุทธิ์กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ฝ่าบาททรงพิจารณา ขอทรงให้ความเป็นธรรมเสมอภาคด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ สองปีที่ไม่ได้เจอ การทดแทนบุญคุณจะต้องมาขอต่อหน้าเรา!” ฮ่องเต้หัวเราะอารมณ์ดีและทอดพระเนตรมองไปที่ขาสองข้างของเขาที่ยืนมั่นคง แววตาสั่นไหวมีความรู้สึกเห็นใจตรัสว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงมีความสามารถเก่งกาจเสียจริง”
ขาของฉู่อี้เจี่ยนพิการหลายปี กระทั่งเฉินเกิงเหนียนยังหมดหนทางรับมือ บัดนี้เขาได้ลุกขึ้นยืนต่อหน้าสาธารณะชนแล้ว
แม้ว่าแต่ก่อนหลายคนคิดว่าเหยียนหลิงจวินพึ่งโชคชะตามาโดยตลอด พอถึงวันนี้กลับทำให้ผู้คนมองเขาในแง่ดี
ฮ่องเต้ไตร่ตรองสักพักแล้วมองไปยังหลี่รุ่ยเสียงตรัสว่า “หลิวเหยียนประจำสำนักหมอหลวงสองวันก่อนเคยยื่นลาออกมิใช่รึ? พรุ่งนี้ก็รีบอนุมัติซะ บอกว่าเราอนุญาตแล้ว! แล้วค่อยประกาศราชโองการ ให้เขาดำรงตำแหน่งแทน ถือเสียว่าเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ!”
ใต้เท้าหลิวกลับบ้านเพื่อไปดูแลรักษามารดาที่กำลังป่วย เขาไม่ต้องการให้มารดาที่แก่ชราป่วยหนัก จากนั้นไม่นานมารดาได้จากโลกนี้ไป ฮ่องเต้ทรงไม่อยากให้เขาไว้อาลัย แล้วรีบกลับมาถวายงานอีกครั้ง ถือโอกาสนี้พายเรือตามน้ำ ภายในหนึ่งปีอายุเพียงสิบเก้า เขากลับรวยมหาศาล ตำแหน่งรองผู้ช่วยแพทย์ของเด็กหนุ่มทำให้คนจำนวนมากอิจฉาริษยา จนบัดนี้ระยะเวลาเพียงแค่สามเดือน ได้รับตำแหน่งพระราชทานจากฮ่องเต้ได้นั่งเก้าอี้สำนักหมอหลวง!
บรรดาหมออาวุโสสำนักหมอหลวงที่ไต่เต้านับปีต่างอิจฉาตาร้อน แต่เมื่อเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ “เขาสมควรได้รับเกียรตินี้” ใครก็มิอาจขัด
เหยียนหลิงจวินไม่ปฏิเสธ ยอมรับตำแหน่งไม่อ้อมค้อม
ในมือซูหลินถือจอกทองเทเหล้าเข้าปาก สายตาอำมหิตจ้องมองเงาบุรุษที่รวยล้นฟ้า นัยน์ตาเปล่งประกายราวคมมีด กัดฟันพูดว่า “ช่างโอหังนัก!”
ส่วนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซูหว่านอี้แววตามืดมนกลอกตา มองไปยังสวินหยางแต่ไม่สามารถเดาว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
บางทีซูหลินอาจจะยังไม่รู้ ดูออกชัดเจนว่าฉู่หลิงอวิ้นเป็นปรปักษ์กับฉู่สวินหยาง เหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากตัวเหยียนหลิงจวิน เขาได้ก้าวข้ามเมฆอีกขั้นเช่นนี้ หากฉู่หลิงอวิ้นรู้ข่าวเช่นนั้นแล้วคงเกลียดนางเข้ากระดูกดำ
จิตใจนางว้าวุ่นปั่นป่วน เร่งรีบวางอุบาย
ในห้องอุ่น ฮ่องเต้และเฉินเกิงเหนียนพูดทักทายขึ้นมา “นานทีเจ้าจะเข้าวัง ในเมื่อมาแล้วก็ร่วมดื่มสักจอกเถิด!”
“เป็นพระมหากรุณายิ่ง หม่อมฉันจะขัดพระประสงค์ได้อย่างไร?” เฉินเกิงเหนียนพูด เปลี่ยนจากเมื่อครู่ที่อารมณ์ดุร้ายแล้วคำนับ
ฮ่องเต้จ้องมองเขา จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างช่วยมิได้ ยกพระหัตถ์บอกหลี่รุ่ยเสียง “นำโต๊ะมาเพิ่ม!”
“มิต้องๆ” เฉินเกิงเหนียนโบกมือไปมา ยิ้มพลางพูดว่า “มิกล้ารบกวนผู้บัญชาการ ชายชราผู้โดดเดี่ยวเยี่ยงข้าใช้พื้นที่ไม่มากหรอก ข้ากับเหยียนเฉิงเสี่ยวจื่อเบียดกันนั่งก็ได้ มิกล้ารบกวน มิกล้ารบกวน ฮ่าๆ!”
เหยียนหลิงจวินได้ยินแล้วก็ยักคิ้วตกใจ
ฮ่องเต้ไม่มีแรงที่จะสนใจเรื่องพวกนี้จึงโบกมืออย่างเหนื่อยล้า
เฉินเกิงเหนียนดีใจดึงแขนเสื้อเหยียนหลิงจวินแล้วออกจากห้องอุ่น ถอยกลับมาตำแหน่งที่นั่งของเขาด้านนอก
เพราะเป็นงานเลี้ยงแคว้นจึงไม่มีใครกล้าแสดงความยินดีกับเหยียนหลิงจวินที่ได้เลื่อนตำแหน่ง มีเพียงสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังมองดู กำลังตรวจสอบ ความอิจฉาริษยา หรือแม้กระทั่งชื่นชม…
ในใจเหยียนหลิงจวินไม่ยินดียินร้าย พยายามปกปิดความรู้สึก เก็บซ่อนสีหน้าแสร้งยิ้ม รินเหล้าส่งให้เฉินเกิงเหนียนพูดว่า “ท่านอาจารย์ทำงานหนักเหน็ดเหนื่อย ดื่มขจัดความเหนื่อยล้าก่อนเถอะ!”
ใบหน้ายิ้มแย้ม เบื้องหน้าของเฉินเกิงเหนียนเต็มไปด้วยสีหน้าที่เจ้าเล่ห์ราวเด็กน้อย
เฉินเกิงเหนียนไม่สนใจ เอามือลูบเครา แล้วดื่มเหล้า จากนั้นยกมือตบเข้าไปที่หัวเขาไปหนึ่งที ด่าว่า “เจ้าเด็กบ้านี่จะทำให้ข้าเดือดร้อน!”
ชายชราที่ไม่คำนึงถึงกาลเทศะทำตามใจชอบ
สีหน้าของเหยียนหลิงจวินที่เก็บซ่อนความรู้สึกมาตลอดก็ถูกเผยออกมา แต่ดีที่เขาเตรียมการไว้แล้ว เขาไม่ปริปากพูด ทำเพียงเอนหลังพิง จอกเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะของเขา ยื่นมาอยู่บนมือของเฉินเกิงเหนียนที่กำลังจะตบหัวเขาพอดี
เฉินเกิงเหนียนผู้ชื่นชอบดื่มเหล้า โดยเฉพาะเหล้าฉงเจียงที่เก็บรักษาไว้ในพระราชวังกว่าร้อยปี ทำให้เขาไม่สามารถอดใจได้ จากนั้นรับโถเหล้ามา สูดกลิ่นส่ายหัวสรรเสริญไม่หยุด ลืมเรื่องที่กำลังจะตบหัวไปโดยปริยาย
เหยียนหลิงจวินรินเหล้าให้หนึ่งจอกแล้วค่อยๆ พูด “ความจริงแล้วข้าไม่ได้คิดจะรบกวนท่าน เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้ารับมือไหว”
ภูมิหลังของทั่วป๋าหรงเหยาช่างซับซ้อน เขาคิดหาวิธีป้องกันไว้นานแล้ว จะให้คนไปหลอกใช้หญิงผู้นั้นไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่อาจจะต้องยุ่งยากสักหน่อย!
“เอาอีกสิ เจ้าเอาอีกสิ” เฉินเกิงเหนียนได้ยินตาจ้องเขม็ง ด่าว่า “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตก็ไม่บอกให้ข้ารู้ล่วงหน้าสักคำ ข้าอุตส่าห์ปฏิบัติต่อมารดาเจ้าเหมือนลูกสาวแท้ๆ จะต้องให้เจ้าทำตัวดีๆ มิเช่นนั้นวันข้างหน้าเจ้าจะให้ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบนาง?”
ท่าทางเขาขึงตา ดูเหมือนเคร่งครัดจริงจัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ดูแล้วกลับทำให้รู้สึกตลกขบขันยิ่งนัก
“ถ้าท่านอาจารย์ได้ยินคำนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่?” เหยียนหลิงจวินอดหัวเราะไม่ได้ ขยิบตาให้ “เขาให้ความสำคัญลำดับรุ่นเสมอ!”
เมื่อปีนั้นมารดาแต่งเข้าจวนช้า เขาจึงอายุห่างกันกับเฉินเกิงเหนียนยี่สิบปี ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นพี่ชายน้องสาว แต่เฉินเกิงเหนียนปฏิบัติต่อเธอเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง
เฉินเกิงเหนียนเฒ่าผู้นี้อารมณ์ร้อนรุนแรง แต่เขากลับเคารพนับถืออาจารย์เขาเป็นอย่างมาก หรือพูดได้ว่าเกรงกลัวอาจารย์มาก
ได้ยินแล้วก็เสียงแหบ ไม่ได้พูดแต่ท่าทางไม่พอใจ “เจ้าจะต้องมีความกตัญญูเช่นนั้นจริง อยู่กับเขานานสองปีคงเก่งกาจ ตอนนี้มีอย่างที่ไหนกันเล่า มัวแต่สร้างความเดือดร้อนให้ข้าไปทั่ว!”
เหยียนหลิงจวินหัวเราะร่าแต่ไม่ได้แสดงความเห็นใด
เขาเขย่าโถเหล้าที่อยู่ในมือ รู้สึกว่าเหล้าใกล้จะหมด คงจะต้องเรียกให้คนเอาเหล้ามาให้อีก หลังจากที่ตามองออกไปห้องอุ่น มองดูฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านบน ก็ยิ้มมุมปาก แล้วรอยยิ้มก็ลอยจางไปพลางพูดประชด “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เห็นแก่หน้าใครเสียอีก นึกไม่ถึงวันหนึ่งจะสามารถทวงบุญคุณต่อหน้าเขา!”
“การทวงบุญคุณใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวจบ” เฉินเกิงเหนียนกอดโถเหล้าเงยหน้าแล้วเทเหล้าหยดสุดท้ายเข้าไปในปากแล้วเลียริมฝีปาก ไม่คิดว่าเมื่อครู่เปลี่ยนท่าพอดีได้เหลือบเห็น เขาถอนหายใจพลางเอ่ย “เขารับประกันว่าเจ้าขอได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ภายหลังเจ้าก็ขอเองแล้วกัน!”
————————————————————————