สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 85.3
หลายปีมานี้ เขานำเอาความรู้วิชาแพทย์อันยอดเยี่ยมช่วยชีวิตยามฝ่าบาทเกิดอันตรายไว้ได้หลายครั้ง บุญคุณที่ช่วยชีวิตนี้ สำหรับผู้อื่นแล้วมีค่ากว่าทองคำพันช่าง แต่ไม่ใช่กับฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหน้านี้…
เมื่อครู่เขาไม่ให้ความเคารพก่อความวุ่นวายอย่างบ้าบิ่น
ฮ่องเต้ไม่ได้ติดใจเอาความ ในครานี้โชคชะตาความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฮ่องเต้ได้สิ้นสุดลง!
เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปาก มองย้อนกลับมาและมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจพลางพูด “เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวก็พอแล้ว!”
ฮ่องเต้ผู้เย็นชา ครั้งนี้ไว้หน้าเฉินเกิงเหนียนถือว่าเป็นโอกาสที่หายาก ใครต้องการต่อรองทวงบุญคุณกับฮ่องเต้ ช่างเป็นการรนหาที่ตาย ความจริงแล้วหากเฉินเกิงเหนียนไม่ปรากฏตัว เรื่องในวันนี้เขาก็คงไม่ถูกดึงเข้าไปพัวพัน ทว่าตอนนี้เป็นเช่นนี้จะดีกว่า
เฉินเกิงเหนียนก่อความวุ่นวายเช่นนี้ ทำให้ยิ่งเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาชัดมากยิ่งขึ้น เพียงแค่สักวันหนึ่งเป็นของเขาแล้วก็จะไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงต้นกำเนิดในอดีตของเขาที่ไม่มีใครรู้มาเล่นงานได้ ฮ่องเต้ไว้ใจเฉินเกิงเหนียน อีกอย่างเฉินเกิงเหนียนมีเจตนาเช่นนี้เขาจะได้รับประโยชน์ไม่น้อย
ดังนั้นการปรากฏตัวของเฉินเกิงเหนียนครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก
หากเป็นเช่นนี้แล้วสายตาของเหยียนหลิงจวินมองเข้าไปในท้องพระโรง
ฉู่สวินหยางเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่นั่งนางอยู่ใกล้กับห้องอุ่นของฮ่องเต้ที่อยู่ด้านนอก อยู่ไกลจากที่ประทับฮ่องเต้ เมื่อเขามองไปก็เห็นเพียงแค่ร่างพรางๆ ของนางอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ในบรรดาสตรีที่แต่งองค์ทรงเครื่องจำนวนมาก กลับมีเพียงเงาของนางที่สะดุดตา พอเหลือบตามองในสายตามีเพียงนางผู้เดียว ถึงแม้จะมองสีหน้าอารมณ์ไม่ชัดนัก แต่ภาพเงานางติดอยู่ในสมองไม่ลืมเลือน และในขณะที่นางพูดคุยอยู่ไม่ว่านางจะยิ้มหรือขมวดคิ้วอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ล้วนตรึงตรา ตรึงใจ
เน่ยซื่อ[1]ที่ให้ไปนำเหล้ามาผ่านไปนานก็ยังไม่กลับมา ทันใดนั้นเหยียนหลิงจวินใจลอยทั้งสงบนิ่ง เฉินเกิงเหนียนรินเหล้าตั้งนานใจร้อนรอไม่ไหวทั้งรู้สึกว่าช่างน่าเบื่อ จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขยับไปข้างๆ เหยียนหลิงจวิน ขยิบตายักคิ้วดึงคอเขา แล้วหันหน้ามองเข้าไปในท้องพระโรงพลางเอ่ย “จวินอวี้ ภรรยาเจ้าอยู่ไหนรึ? นางคือคนไหนเล่า? ข้าแก่มากแล้วแขนขาไร้เรี่ยวแรงจะไปไหนก็ลำบาก เจ้าชี้ให้เรายลโฉมได้หรือไม่”
เหยียนหลิงจวินเก็บเหล้าที่เหลือไว้ไม่ให้เขาดื่ม เวลานี้เขารินชาเอง พอได้ยินก็สำลัก ชาหนึ่งถ้วยก็คว่ำหกราดเต็มตัวเขา เขาโกรธจนอยากที่จะเอาถ้วยชานั้นเขกหัวเฉินเกิงเหนียน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนแอบหัวเราะเบาๆ
“ภรรยาที่ไหนรึ?” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย ไม่รู้ว่าใบหน้าที่หัวเราะใกล้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มือข้างหนึ่งถือกาหยกอีกข้างถือจอกทองยืนอยู่ด้านหลัง เขาสนใจสายตาทั้งสองคนที่กำลังมองไปในท้องพระโรงพลางพูดว่า “เหยียนหลิงท่านมีหญิงที่ชื่นชอบแล้วรึ? เป็นบุตรสาวจวนไหน? ชี้ให้ข้าดูสักหน่อย! ตระกูลที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ต้องไว้หน้าเสด็จพ่อ ถึงตอนนั้นก็ให้เขาไปสู่ขอแทนเจ้า ไม่นานก็สำเร็จอยู่แล้ว!”
อันที่จริงฉู่อี้เจี้ยนตั้งใจเย้าเล่น เฉินเกิงเหนียนสีหน้ากลับมีความสุข ตาสองข้างเปล่งประกายร่างเอนเอียง
เหยียนหลิงจวินดูท่าไม่ดี ก็รีบเอากาหยกยัดใส่มือฉู่ฉีอี้พลางพูดว่า “อาจารย์ของข้ารักการดื่มเหล้า ข้าขอดื่มฉลองให้ท่านอ๋อง!”
พอพูดจบก็เกรงว่าเฉินเกิงเหนียนจะก่อกวนอีก เขารีบลุกขึ้นแล้วลากฉู่อี้เจี่ยนพร้อมกับเดินออกจากท้องพระโรง
เฉินเกิงเหนียนเมาจนตาลอยมองขึ้นบน พอดีตอนนั้นเน่ยซื่อก็นำเหล้ามาส่งให้พอดี ขณะนั้นก็ไม่ได้สนใจคำติฉินนินทาคนข้างๆ มือข้างหนึ่งถือกาเหล้า แล้วก็หัวเราะแล้วเริ่มเลียปากกาเหล้า
ทางด้านฉู่อี้เจี่ยนและเหยียนหลิงจวินก็เดินจากท้องพระโรงทางประตูข้าง และยืนอยู่บนทางเดินที่ไม่มีผู้คน
“วันนี้เรื่องที่ท้องพระโรงต้องขอขอบคุณองค์ชายที่ช่วยแก้ต่าง!” เหยียนหลิงจวินพูด ขณะที่พูดก็แสร้งเป็นคำนับ
“นี่!” ฉู่อี้เจี่ยนประคองยกมือของเหยียนหลิงจวินตอนที่คำนับ สีหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดอย่างขรึม “ระหว่างท่านกับข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องแบบนี้ ท่านและข้าต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน วันนี้ข้าก็แค่ตอบแทนเจ้าเท่านั้น!”
เหยียนหลิงจวินหัวเราะแต่ไม่เต็มใจนัก
ฉู่อี้เจี่ยนตามองลงแล้วดื่มเหล้า สายตาทอดยาวไปไกล สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยพูดว่า “เฉินเกิงเหนียนเป็นผู้ที่ฉลาดซื่อตรงยากจะซื้อใจเขาได้ ปัญหาในครั้งนี้จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ถึงอย่างไรก็ตามก็คงไม่มีคนสืบสาวภูมิหลังเจ้าแล้วเล่นงานเจ้า อนาคตเจ้าคงมีหน้าที่การงานที่สดใสราบรื่นมากขึ้น”
“องค์ชายก็พูดไป การเป็นหัวหน้าหมอหลวงประจำสำนักหมอหลวงเป็นตำแหน่งที่สบาย เราจะไม่คุยเรื่องอนาคตด้านหน้าที่การงาน” เหยียนหลิงจวินพูด “แต่ข้าต้องพึ่งพาบารมีผู้สูงศักดิ์ จะต้องได้พึ่งพารับความช่วยเหลือสนับสนุนจากท่านอ๋องรุ่ย”
ฉู่อี้เจี่ยนตะลึง หันไปมองเขาด้วยความงงงวย “เจ้าเตรียมจะอยู่ที่สำนักหมอหลวงต่องั้นรึ?”
“มิเช่นนั้นเล่า?” เหยียนหลิงจวินถามกลับ
ฉู่อี้เจี่ยนกลับพูดไม่ออก สายตามองเขาอย่างสับสน พอจะพูดสุดท้ายก็หยุดแล้วตบไหล่พูดว่า “เอาเถอะ เจ้าคงมีเหตุผลของเจ้า เขาก็คงไม่เข้าไปยุ่ง แต่ความสัมพันธ์ของเราก็จบลงตรงนี้แล้วกัน ข้าคงไม่เตือนไม่ได้ จงระวัง! ซูหลินไม่น่ากลัวนัก แต่ฉู่ฉีเหยียน เจ้าถูกจับตามองแล้วกลับไม่ใช่เรื่องดีนัก!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉู่อี้เจี่ยนก็ดูออกว่าจากกระทำเล็กน้อยที่แสดงในวันนี้เหล่านั้น
“รับทราบ ขอบพระคุณองค์ชายที่เตือน” เหยียนหลิงจวินยิ้ม แล้วก้มหน้าเล็กน้อยแสดงความซาบซึ้ง
ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะ สายตามองไปรอบด้านด้วยสายตาหวาดระแวง แล้วมองทั่วทั้วสี่ด้าน เห็นไม่มีคนก็ก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว แสร้งเป็นพับคอเสื้อให้เรียบร้อยพลางพูดว่า “หากเจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมสวินหยางหญิงสาวผู้นั้นให้เป็นภรรยาเจ้าก็ไม่เลว ความจริงแล้วตัวข้าเองก็จะคอยช่วยสนับบสนุนเจ้า!”
เมื่อพูดจบแล้วก็หัวเราะดัง แล้วค่อยๆ เดินกลับตำหนักไปอย่างเคร่งขรึม
เหยียนหลิงจวินอยู่ที่เดิมแล้วมองดูเขาเดินจากไป
ทุกคนไม่ได้ตาบอด ถือเสียว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉู่สวินหยางนั้นมืดมนยิ่งนัก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวังเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาทำให้รู้สึกว่าความทะเยอทะยานที่เห็นได้ไม่ยากของเขา เพียงแต่ฉู่อี้เจี่ยนมองเห็นได้ชัดเจนกว่าก็เท่านั้นเอง
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ตั้งใจจะว่ากล่าวสิ่งเหล่านี้ เขายืนอยู่ตรงทางเดินนั้นแล้วจึงเดินกลับตำหนักไป
เพราะว่าเกิดเรื่องลอบสังหารขึ้นทำให้เกิดความล่าช้า งานเลี้ยงแคว้นในครั้งนี้ก็จะต้องดำเนินการย้ายไปไว้ในภายหลัง
ระหว่างทางมีคนมารายงานว่าหรงเฟยฟื้นแล้ว ฮ่องเต้ก็รีบลุกจากที่ประทับแล้วพาเหยียนหลิงจวินตามไปวังหลังด้วยและทำการชำระล้างพิษในร่างพระสนม
เมื่องานเลี้ยงจบลง ท้องฟ้าก็มืดพลบค่ำ
ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง เนื่องจากทำให้ทุกคนตกใจหวาดกลัว วันนี้ฮ่องเต้ทรงเมตตาอนุญาตให้แขกที่มาเข้าร่วมงานได้พักผ่อนเดินชมสวนตามอัธยาศัยหนึ่งชั่วยาม
เพื่อให้บรรยากาศสอดคล้องกับเทศการตรุษจีนจึงได้มีการให้ประดับตกแต่งสวนดอกไม้ใหม่ สถาปัตยกรรมต่างๆและริมทางเดินต่างประดับตกแต่งโคมไฟแปดเหลี่ยมสีสันสดใส มองดูราวกับมังกรที่คดเคี้ยวไปมาหนึ่งตัว ยาวเหยียดเสียดฟ้า สวนดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยพุ่มไม้กระถางดอกไม้ที่เขียวชอุ่ม เพื่อปกปิดบรรยากาศฤดูหนาวที่เหน็บหนาว รวมทั้งนำต้นดอกเหมยขาวแดงนำมาปิดบังไว้ตรงกลาง ดูราวกับว่าผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ทุกที่กลายเป็นที่ที่มีชีวิตชีวาขึ้นมา
ริมทางเดินมีแต่เสียงจ้อกแจ้กหญิงสาวมากมายเดาปริศนาโคมไฟแปดเหลี่ยมบรรยากาศรื่นเริงมีชีวิตชีวา
งานเลี้ยงรื่นเริงในตำหนักยังไม่สิ้นสุด ขุนนางระดับสูงก็ยังไม่หยุดที่จะแลกเปลี่ยนดื่มฉลองอย่างสุภาพ
ในสวนดอกไม้และข้างตำหนัก เหล่าสตรีสามสี่คนก็พูดคุยโต้เถียงกันเกี่ยวกับเครื่องประดับสีแดงที่เพิ่งออกใหม่
ทุกคนต่างลืมเรื่องเป็นตายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางวันในตำหนักราวกับถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ยามสองเกิงด้านหน้าตำหนักเจาเต๋อได้เตรียมดอกไม้ไฟไว้เรียบร้อยแล้ว
ฮ่องเต้ไม่ได้ปรากฏตัว ให้ฮองเฮาออกหน้าด้วยตัวเองจุดประทัดแถวแรก แสงสว่างหลากหลายสีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แผ่กระจายเป็นประกายพร้อมเสียงปะทุ กระจายบนท้องฟ้าในค่ำคืนที่มีสีสันสวยงามที่สุด ส่วนบรรดาหญิงสาวทั้งหลายต่างตื่นตาตื่นใจ
ดอกไม้ไฟอันหนึ่งตกลงมาแล้วก็กระเด็นสูงขึ้น ปะทุขึ้นไปพร้อมเสียงดัง
ไม่นานทั้งพระราชวังก็ถูกปกคลุมด้วยรัศมีแสงสว่างของดอกไม้ไฟ เหลือเพียงแค่ดอกไม้ไฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างงดงามทั้งท้องฟ้าสีสันสวยงามละลานตา
มีคนยกเก้าอี้มา ฮองเฮาทรงประทับบนเก้าอี้มองดูแล้วยิ้มด้วยความเมตตา ฟังบรรดาสนมข้างกายชื่นชมยินดี รอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางหาย
“ช่างน่าดูยิ่ง! งดงามจริง!” หญิงสาวที่กำลังยิ้มอย่างปิติยินดีหญิงที่สวมชุดสีมรกตยืนอยู่ข้างกายฮองเฮาพูด พอดูได้สักพักรู้สึกว่าไม่เพลิดเพลิน จึงหันมากอดแขนข้างหนึ่งของฮองเฮา พูดออดอ้อน “ท่านป้า ให้หม่อมฉันไปเที่ยวเล่นเถอะเพคะ”
หญิงสาวที่อายุราวสิบสามสิบสี่ ใบหน้าเรียว ดวงตากลมโต เสียงหวานคมชัด
ดูเหมือนว่านางไม่มีท่าทีเกรงกลัวฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย สนิทสนมใกล้ชิดฉุดดึงแขนขอร้องฮองเฮา
————————————————————————
[1] เน่ยซื่อ หมายความว่า บ่าวรับใช้ในราชสำนัก ส่วนใหญ่เป็นขันที