สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 86.1
พวกเขามองไปตามเสียงที่ได้ยิน ปรากฏว่าด้านหน้าลานกว้างตำหนักเจาเต๋อโกลาหลวุ่นวายประกายไฟกระเด็น ทั่วทุกทิศทุกที่เต็มไปด้วยภาพผู้คนกรีดร้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
บรรดาท่านหญิงที่แต่งตัวงดงามแต่ละตระกูล เน่ยซื่อ นางกำนัล หญิงรับใช้ต่างโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด
“ข้าจะไปดูสักหน่อย!” ฉู่สวินหยางพูดพลางลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปหน้าตำหนัก
“ที่นั่นสถานการณ์วุ่นวายนัก ประเดี๋ยวค่อยไปเถอะ!” เหยียนหลิงจวินขวางไม่ให้นางไป นิ้วจับข้อมือนางผ่านแขนเสื้อ การกระทำเช่นนี้ทำนางยากที่จะปฏิเสธ
ฉู่สวินหยางไม่พอใจขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเหยียนหลิงจวิน
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครหยุดยั้งนางเช่นนี้มาก่อน สถานการณ์เช่นนี้หากเป็นฉู่ฉีเฟิงคงไม่รั้งนางแน่แต่จะตามนางไปพร้อมกัน
สายตาเหยียนหลิงจวินกลับมองไกลออกไป ไม่ได้สังเกตตนเองว่าเป็นเพราะปัญหาที่เขาเข้าไปยุ่งวุ่นวายจึงทำให้เขาถูกเกลียดชัง เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่อาจจะไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุธรรมดา”
เมื่อเสียงจบลงฉู่สวินหยางก็ทำปากจู๋ออย่างที่นางชอบทำเป็นประจำ เหน็บแนมพลางเอ่ย “ที่นี่คือวังหลวง นางกำนัลขันทีพวกนั้นอยากหัวหลุดออกจากบ่ารึอย่างไร? เกิดเรื่องอะไรตั้งแต่เช้าจรดเย็นมากมายเช่นนี้!”
ระหว่างที่พูดเสียงเอ็ดตะโรก็ค่อยๆ เบาลง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงสาว
เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วคลายมือจากข้อมือนาง “เจ้าไปเถอะ เรื่องเช่นนี้ข้าไม่สะดวกเข้าไปยุ่งเกี่ยว!”
“อืม!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้เขาและไม่ขัดข้อง
ระหว่างนั้นบนลานกว้างที่ยุ่งเหยิงก็ถูกควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ บนพื้นรกรุงรัง บริเวณนั้นเกลื่อนด้วยกระบอกไม้ไผ่ ประทัด ในอากาศคละคลุ้งด้วยกลิ่นดินปืนและยังมีกลิ่นไหม้หลงเหลืออยู่
ฉู่สวินหยางเร่งรีบเดินไปดู
ฮองเฮาถูกรายล้อมผู้คนต่างเบียดเสียดกัน หัวหน้าขันทีที่ดูแลรับผิดชอบพลุบริเวณลานกว้างและแม่นมระดับอาวุโสคุกเข่าสีหน้าตระหนกตกใจ
นอกจากนี้ยังมีเหล่าท่านหญิงที่ถูกสาวรับใช้ประคองสภาพมอมแมม หลายคนเสื้อคลุมถูกประกายไฟพุ่งมาใส่ไหม้เป็นรู แม้นสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนแต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บ ทว่าเหล่าท่านหญิงที่ฐานะร่ำรวยถูกเลี้ยงตามใจตั้งแต่วัยเยาว์ยังคงผวาไม่หาย แต่ละคนต่างสีหน้าซีดเซียว บ้างก็ซุกในอ้อมแขนมารดา บ้างก็ซบไหล่สาวรับใช้ร้องห่มร้องไห้
ภายในนั้นมีสองคนที่บาดเจ็บสาหัส หนึ่งในนั้นคือหญิงชุดสีมรกตที่ยืนข้างฮองเฮาเสนอขอไปเที่ยวเล่น ท่านหญิงสามตระกูลหลัวนามว่าหลัวอวี่ก่วน อีกคนคือท่านหญิงตระกูลข่งลูกสาวเสนาบดีการคลัง ทั้งสองเสื้อผ้าบางส่วนไหม้เกรียม กระทั่งเส้นผมบางส่วนของหลัวอวี่ก่วนก็ถูกเผาไปไม่น้อย บนใบหน้าเปื้อนควันเขม่า หลังมือยังมีรอยแผลเห็นได้ชัดเจน
เช่นนี้แล้วถือเป็นเรื่องปั่นป่วนวุ่นวายยิ่ง
ขันทีที่เกี่ยวข้องคุกเข่าลงบนพื้นสายลมพัดโชย น้ำเสียงสั่นเครือพลางก้มหัวรับโทษ “ฮองเฮาโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยเลินเล่อ ข้าน้อยสมควรตาย!”
“พวกเจ้าจัดการเรื่องนี้อย่างไรกัน ฮองเฮาทรงกำชับให้พวกเจ้าอารักขาท่านหญิงทุกคน เหตุใดจึงเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้?” เต๋อเฟยตำหนิน้ำเสียงดุพลางชี้ไปยังบ่าวรับใช้ หันหน้าพลางเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกไปเอาใจฮองเฮาที่อยู่ข้างนางและพูดว่า “ฮองเฮาเพคะ เมื่อครู่ผู้ที่ก้มหัวรับโทษมีอยู่มาก น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า บ่าวรับใช้พวกนี้ถือว่าไม่ขี้ขลาดตาขาวและไม่ได้หลบหนีละทิ้งต่อหน้าที่เพคะ!”
วังหลังเกิดเรื่องต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของหลัวฮองเฮา แต่พิธีการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าของแคว้นที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เตรียมการจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่มากเกินไป พระองค์จะต้องแบ่งงานบางเรื่องของวังหลังให้พระสนมผู้สูงศักดิ์บางคนช่วยกันดูแล
บังเอิญว่าขันทีที่รับผิดชอบเรื่องนี้เขาก็คือหัวหน้าขันทีประจำตำหนักของเต๋อเฟยมีนามว่า เจี่ยงลิ่ว
สตรีในวังมองว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู เต๋อเฟยเพียงต้องการที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ชิ่งเฟยกลัวว่าเรื่องจะไม่ยุ่งเหยิงพอจึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านพี่เต๋อเฟยท่านไม่คิดว่าจะเป็นปัญหารึ?” เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่าท่านหญิงเป็นลูกสาวที่มาจากตระกูลขุนนางที่มีความดีความชอบ หากวันนี้พวกนางได้รับความเดือดร้อนไม่รีบปลอบใจพวกนาง แต่กลับรีบร้อนแก้ตัวแทนบ่าวรับใช้พวกนี้น่ะหรือ?
“ท่านไม่คิดบ้างหรืออย่างไร หรือจะให้ฮองเฮาใจไม่ไส้ระกำเยี่ยงท่าน?”
เต๋อเฟยถูกชิ่งเฟยยอกย้อนจนนางพูดไม่ออกชั่วขณะ นางเกรี้ยวโกรธส่งสายตาอันแหลมคมพุ่งออกมาราวกับมีด
ชิ่งเฟยกลับไม่สนใจนาง ถอนหายใจแล้วดึงหลัวอวี่ก่วนที่มือได้รับบาดเจ็บมา มองดูรอยแผลทางยาวหลังมือพูดด้วยความสงสารว่า “ดูนี่สินางได้รับบาดเจ็บ เด็กสาวคนหนึ่งหากแผลหายกลายเป็นแผลเป็นจะทำอย่างไรเล่า? หลานซีเจ้ายังไม่รีบไปเรียกหมอหลวงมาอีก?”
“เพคะพระสนม!” นางในที่อยู่ข้างกายชิ่งเฟยก็รีบวิ่งไปตามคำสั่ง
ผู้ที่บาดเจ็บหากเป็นผู้อื่นก็แล้วไป หากแต่เป็นญาติของหลัวฮองเฮา เป็นหลานสาวของหลัวฮองเฮา!
ถึงอย่างไรความเกลียดชังในครั้งนี้ก็ไร้ประโยชน์ เต๋อเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยจิตใจที่หนักแน่นตะคอกใส่เจี่ยงลิ่ว “เจ้าเป็นใบ้หรือ? ยังไม่รีบเล่าให้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งอีก เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ยังดีๆอยู่ เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้?”
“บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย!” เจี่ยงลิ่วยิ่งร้อนใจกระวนกระวาย
หากลานกว้างหน้าตำหนักครู่นี้เต็มไปด้วยผู้คนอีก ถึงเขามีสามสมองตาหกข้างก็ยังไม่เพียงพอ ยังคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เขากลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา แต่ไม่สามารถอธิบายทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมพลางพูดว่า “ข้าน้อยก็มิทราบ รู้เพียงว่ามีคนไม่ระวังชนพลุไฟที่จุดล้มคว่ำ ท่านหญิงตกใจจากนั้น… จากนั้นเหตุการณ์ก็มิสามารถควบคุมได้!”
เขาไม่สามารถให้เหตุผลว่าเหตุเกิดจากอะไร เต๋อเฟยไม่สามารถปกป้องได้ เรื่องสำคัญเช่นนี้ทำได้เพียงแบกหน้าไปหาฮองเฮาให้ช่วยสืบสาวราวเรื่อง “ฮองเฮาเพคะ พระองค์ทรงคิดว่า…”
“บ่าวรับใช้ที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก!” หลัวฮองเฮาสีหน้าฉุนเฉียว ตรัสอย่างเยือกเย็นว่า “ใครก็ได้ ลากพวกมันออกไป บ่าวรับใช้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้ลากไปให้หมด โบยคนละยี่สิบไม้แล้วไล่ออกไป ในวังหลวงไม่ต้องการพวกไร้ประโยชน์!”
ในวังหลวงพวกบ่าวรับใช้ที่ทำกระทำความผิดถูกทำโทษโบยเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อใดที่ถูกขับไล่ออกจากวังแล้วนั่นหมายความว่าหมดหนทางที่จะไปต่อ
บ่าวรับใช้หลายสิบคนไม่สามารถทำอะไรได้จึงคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ บัดนั้นท่ามกลางบรรยากาศค่ำคืนรื่นเริงถูกลบเลือนหายไป
ฮองเฮาจ้องมองด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไปค่อยๆ แผ่รังสีอำมหิตไร้ซึ่งความปรานี
เต๋อเฟยนึกจะขอร้องแทนเจี่ยงลิ่ว พอเห็นใบหน้าฮองเฮาน้ำเสียงก็แหบแห้งขึ้นมาทันทีจึงไม่กล้าจะพูดแม้แต่คำเดียว
มีทหารองครักษ์มานำตัวเน่ยซื่อ บรรดาแม่นมร้องไห้น่าเวทนาเมื่อเห็นว่ากำลังจะลูกบีบบังคับลากตัวออกไป ทันใดก็มีมือน้อยๆที่มีรอยแผลเป็นที่สุดตากระตุกแขนเสื้อของฮองเฮาเบาๆ ให้ทำการไต่สวน
ท่านหญิงสามหลัวอวี่ก่วนตระกูลหลัวก้าวไปข้างหน้าอย่างระวัง ขอร้องฮองเฮาเสียงต่ำ “ฮองเฮาเพคะ เมื่อครู่นี้…เป็นเพียงอุบัติเหตุ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ขอฮองเฮาทรงไว้ชีวิตพวกเขาด้วยเถอะเพคะ!”
น้ำเสียงของนางแผ่วเบา เพราะตื่นตกใจมากไป บนใบหน้าเล็กๆ ซีดเซียว นัตย์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยละอองแห่งความโศกเศร้า พยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล
คิ้วของฮองเฮาขมวดโดยไม่รู้ตัว หันหน้าไปมองนาง
หลัวอวี่ก่วนรู้สึกประหลาดใจ รีบหลบสายตา ราวกับว่ากลัวที่ต้องสบสายตากับนางซึ่งหน้า
เต๋อเฟยมองดูสีหน้าของทั้งสองคน ทันใดนั้นในใจก็คิดออกกระทันหัน ดังนั้นจึงไม่รีรอให้ฮองเฮาปฏิเสธก็รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างเร็วพลางพูดว่า “ท่านหญิงหลัว เมื่อครู่เจ้าพูดว่าเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุอย่างงั้นรึ? แต่กลับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
หลัวอวี่ก่วนดูเหมือนจะตกใจ ศีรษะยิ่งก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ
ถือว่าฮองเฮาอยากที่จะแก้ไขปัญหาสงบลงแต่ก็ทำไม่ได้ คนอื่นๆ ต่างหันไปมองพระองค์ดวงตาเบิกกว้างเปล่งประกาย
ฮูหยินข่งโกรธหน้าดำหน้าแดงเพราะเรื่องที่บุตรสาวของนางถูกไฟไหม้ผมเผ้าและเสื้อผ้าอาภรณ์ จะปล่อยผ่านไปง่ายๆได้อย่างไร? รีบก้าวไปข้างหน้าพูดว่า “ท่านหญิงหลัวความจริงแล้วเกิดอะไรขึ้นรึ? ท่านรู้อะไรบ้าง? ไม่ทราบว่าจะเล่าให้ฟังได้หรือไม่ ที่นี่มีฮองเฮา ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดคงไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน”
หลัวอวี่ก่วนพยายามก้มหัวต่ำ ขยี้เสื้อตนเองอย่างตึงเครียด แต่ไม่ได้โต้ตอบ มีท่าทีราวกับว่ามีคำพูดที่ปิดบังซ่อนเร้น ผ่านไปสักพักก็กระซิบเบาๆว่า “ไม่! ข้า… ข้าแค่เพียงทนไม่ไหว… ข้าทนไม่ได้ที่จะมองดูคนบริสุทธิ์ที่ต้องถูกลงโทษ!”
เต๋อเฟยได้ยินแล้วก็หัวเราะน้ำเสียงเย็นชา ไม่ได้ให้คำตอบและไม่ได้ปฏิเสธ “แม้ว่าเจ้าจะรับรองว่าคนพวกนี้บริสุทธิ์จริงกระนั้นก็ยังต้องพูดความจริงออกมา จึงจะสามารถปลดปล่อยความทนทุกข์ทรมานของพวกเขาไปได้ หากยังยืนยันที่จะปิดบังล่ะก็…ท่านหญิงสามจะต้องเจ็บปวดเพราะการที่เจ้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อช่วยฆาตกรเพียงคนเดียว?”
หลัวอวี่ก่วนถูกคำพูดเหล่านี้กดดัน เงยหน้ามามองนางสีหน้าหวาดกลัว
หลัวฮองเฮาสีหน้ากระวนกระวายใจ ท้ายที่สุดบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังหลัวอวี่ก่วนอดไม่ไหวก้าวมายืนต่อหน้าทุกคนแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าหลัวฮองเฮา “ท่านหญิงของหม่อมฉันไม่กล้าพูดเพคะ หม่อมฉันพูดเอง! เมื่อครู่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ เห็นได้ชัดว่ามีผู้ประสงค์จะทำร้ายท่านหญิงเพคะ!”
เมื่อพูดจบทุกคนต่างแสดงสีหน้าเหมือนรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว มีเพียงเต๋อเฟยที่โล่งอกทนไม่ไหวจึงยิ้มออกมา
————————————————————————