สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 86.2
เต๋อเฟยครุ่นคิดและมองไปรอบๆ สีหน้าเป็นกังวลแล้วพูดว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“สุ่ยอวี้! เจ้าห้ามพูดจาเหลวไหล!” หลัวอวี่ก่วนโกรธตะคอกใส่นาง
บ่าวรับใช้ที่มีนามว่าสุ่ยอวี้กลับทรยศนาง สักพักน้ำตาไหลริน ยังคงมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนชี้นิ้วท่ามกลางฝูงชนพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “ท่านหญิงใหญ่เป็นคนทำต่างหาก! นางประสงค์จะทำร้ายท่านหญิงของหม่อมฉัน หม่อมฉันเห็นกับตา ว่านางตั้งใจจะเตะพลุไฟให้ล้มกลิ้ง หากบ่าวไม่ดึงตัวท่านหญิงออกกมา เสื้อผ้าที่สวมใส่อาจจะไหม้หมดแล้ว มิเช่นนั้นใบหน้าทั้งใบของท่านหญิงคงเสียโฉมไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ข้อกล่าวหานี้เห็นได้ว่าตอนนี้ได้มาถึงจุดที่ได้ประกาศความจริงต่อหน้าผู้คนอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
สายตาทุกคนมองไปยังนิ้วที่นางชี้ไปทางท่านหญิงหลัวซืออวี่
เดิมทีผู้ที่ยืนอยู่ข้างนางไม่กี่คนก็รีบหลบลี้ราวกับนางเป็นโรคระบาดแล้วถอยออกมาครึ่งก้าว แม้ว่าจะเป็นระยะห่างที่เล็กน้อย กลับทำให้หญิงผู้นั้นดูโดดเดี่ยวสีหน้าหวาดกลัวแสดงออกชัดเจนมากขึ้น
รูปโฉมภายนอกหลัวซืออวี่ไม่เหมือนหลัวอวี่ก่วนที่มีเสน่ห์ดึงดูด แต่กลับสุภาพอ่อนโยนเงียบสงบดูเป็นธรรมชาติเป็นหญิงสูงศักดิ์ที่สง่างามตั้งแต่หัวจรดเท้า ปกติเมื่อมีการพบปะสังสรรค์นางจะสันโดษและเฉยชาแต่ไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดเท่าไหร่นัก
เช่นนี้แล้วนางจึงถูกคนกล่าวหาต่อหน้าฝูงชน หลัวซืออวี่แท้จริงเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุเพียงสิบสี่ ยามถูกจ้องเขม็งนางจึงหน้าขาวซีดทนไม่ไหวลุกลี้ลุกลนพูดโพล่ง “ข้าไม่ได้เป็นคนทำ!”
ฮองเฮากลับไม่ได้รีบไต่ถามให้ถี่ถ้วน มองนางด้วยแววตาพินิจพิจารณา
หลัวซืออวี่ตกตะลึงจากนั้นก็เรียกสติกลับมาจึงรีบร้อนสะบัดกระโปรง คุกเข่าลงแล้วแก้ตัวว่า “ฮองเฮาเพคะ ซืออวี่ไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ สุ่ยอวี้คงมองผิดคนเป็นแน่ หม่อมฉัน…”
“หลัวซืออวี่เจ้าเป็นคนของตระกูลหลัว พวกเจ้าสองคนหากเปรียบเปรยก็เหมือนปลาข้องเดียวกัน ตัวหนึ่งเน่าก็พาพลอยให้เหม็นไปด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านหญิงสามมีจุดประสงค์ต้องการที่จะทำลายชื่อเสียงเจ้า ทำให้ตนเองตกที่นั่งลำบากไปเพื่อเหตุใด?” เต๋อเฟยขัดจังหวะขณะหลัวซืออวี่กำลังพูด
ครั้งนี้เต๋อเฟยสงบสติอารมณ์ไว้ได้ นางคนใบชาที่อยู่ในจอกอย่างเนิบๆ แววตาหยิ่งยโส
นี่เป็นเรื่องที่หลานสาวหลัวฮองเฮายอมรับด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวกับฮองเฮา
หลัวฮองเฮาไม่ได้ตอบหลัวอวี่ก่วนแต่อย่างใดเพียงรู้สึกรางๆ ว่าน่าจะมีผู้ที่รู้เรื่องราวเบื้องหลัง ต้องการที่จะเก็บไว้รอให้กลับไปตำหนักโซ่วคังแล้วจังค่อยสอบสวนอีกครั้ง ไม่ต้องการให้สุ่ยอวี้เปิดเผยต่อหน้าทุกคนเรื่องนี้ฮองเฮาจะไม่ยุ่งก็ไม่ได้แล้ว
นางสีหน้าไม่ค่อยดีจ้องมองหลัวซืออวี่อย่างเย็นชาแล้วตรัสว่า “เจ้าหมายความว่าเป็นบ่าวรับใช้ของน้องสาวเจ้า ที่เตรียมการกล่าวหาผู้อื่น ประสงค์ใส่ร้ายเจ้าเช่นนั้นรึ?”
ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ทำให้หลัวซืออวี่หมดคำพูดจะโต้ตอบ!
ฉู่สวินหยางยืนอยู่ในฝูงชนเบะปากยิ้มเยาะ
ความขัดแย้งภายในของตระกูลหลัวถูกลากมาสู้ถึงในวัง ไม่ว่าจะเป็นหลัวอวี่ก่วนโยนความผิดให้ผู้อื่น หรือหลัวซืออวี่เป็นผู้ก่อเรื่อง ความวุ่นวายเหล่านี้จะยิ่งยืดเยื้อสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงศักดิ์ศรีของหลัวฮองเฮายิ่งนัก
คำพูดคลุมเครือของหลัวฮองเฮาแสดงให้เห็นได้ชัดว่ากำลังกดดันหลัวซืออวี่
หลัวซืออวี่กัดริมฝีปากของนางขาวซีดอย่างชัดเจน
ตอนนั้นในฝูงชนมีคนอุทานขึ้นว่า “อ้อ! ข้านึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนั้นเปลวไฟดูเหมือนจะมาจากทางท่านหญิงหลัวจริงๆ”
เพียงคำพูดนั้นคำเดียวราวกับโยนหินลงไปในแม่น้ำอันสงบเงียบเดือนสาม ระหว่างนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่นึกถึงสถานการณ์นั้นขึ้นมาได้ ทุกคนต่างพร้อมใจกันพลอยเห็นตามไปด้วย…
ตอนนั้นสถานการณ์โกลาหลวุ่นวาย แต่ต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้อยู่ระว่างสองพี่น้องตระกูลหลัว
หลัวอวี่ก่วนไม่ได้พูดพิสูจน์หลักฐานจากปากตนเอง หลัวซืออวี่มองไปรอบๆ ด้วยความน่าเวทนา จวนจะหมดหวัง
สาวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างหลังนางรออยู่นาน ต้องทนมองท่านหญิงของตนเองที่ต้องถูกคนพวกนั้นเกลียดชังไม่ไหว ในที่สุดนางก็ทนไม่ได้ที่จะต้องเปิดโปงเรื่องที่เกิดขึ้น
หลัวซืออวี่คาดเดาถึงเจตนาของนางได้ตั้งนานแล้ว กวาดสายตาคลุมเครือราวกับมีด แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ฉู่สวินหยางจ้องมองใบหน้านางโดยไม่ละสายตายังคงใช้สายตามองเพื่อล่วงรู้ถึงความลับนั้น
สาวรับใช้ถูกนางจ้องมอง ลืมตอบกลับพูดไม่ออกชั่วขณะ
ขณะนั้นเองฮูหยินตระกูลหลัวสองท่านได้ยินข่าวก็รีบเร่งมา หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้คร่าวๆ ฮูหยินใหญ่ไม่พูดอะไร นางคุกเข่าลงต่อหน้าลูกสาว ขวางกั้นสายตาอำมหิตที่กำลังจ้องมองหลัวซืออวี่ และก้มคำนับต่อฮองเฮาอย่างจริงใจพลางพูดว่า “ฮองเฮาเพคะ ซืออวี่เป็นคนที่พระองค์ทรงเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กจนโต นางเป็นคนอย่างไรพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือเพคะ? แม้นางจะอายุน้อย แต่ลูกสาวตระกูลหลัวไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดแน่นอนเพคะ”
ฮูหยินรองก็โผเข้าไปกอดลูกสาวที่น่าสมเพชเวทนาพลางซับน้ำตาให้ เมื่อฟังจบก็เช็ดน้ำตาแล้วหันมาพูดว่า “เจ้าหมายความว่า ลูกของเจ้าใสซื่อบริสุทธิ์ กลับถูกสาวรับใช้ของท่านหญิงสามใส่ร้ายเป็นกับดักให้สองพี่น้องขัดแย้งกันรึ?”
ขณะที่พูดก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเขม่าควันที่ติดอยู่บนหน้าหลัวอวี่ก่วน เศร้าใจพลางถามว่า “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง? เจ็บมากหรือไม่?”
“ท่านแม่ ลูกไม่เป็นไร!” หลัวอวี่ก่วนตอบ กลั้นน้ำตาไว้แล้วผละฮูหยินรองออกไป จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าฮองเฮาพูดว่า “เสด็จป้าเมื่อครู่ตรงลานกว้างผู้คนมากมายเบียดเสียดกัน ทว่าระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่มีคนเดินชนกันเป็นเรื่องธรรมดา ท่านพี่โตมาด้วยกันกับหม่อมฉัน คอยดูแลเอาใจใส่หม่อมฉันเรื่อยมา หากเกิดเรื่องนี้เกิดขึ้นกับนางจริง หม่อมฉันคิดว่า… น่าจะเป็นเพียงอุบัติเหตุเพคะ!”
หลัวซืออวี่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการพิสูจน์ความจริง มีเพียงแต่ฮูหยินใหญ่ที่กล่าวถึงผู้กระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนอื่นต่างตั้งหน้าตั้งตารอดูเรื่องราวที่สุดท้ายฮองเฮาจะตัดสินเช่นไร
ขณะนั้นเองฮั่วชิงเอ๋อร์ที่อยู่รอบนอกฝูงชนอดทนมานาน สุดท้ายทนไม่ไหวจึงถอนหายใจแล้วเบียดเสียดผู้คนเดินไปข้างหน้าพลางพูดว่า “มิใช่…”
จากนั้นนางยังไม่ทันตะโกนออกมาก็ถูกคนเอามือปิดปากนางไว้
ฮั่วชิงเอ๋อร์ตกใจ ใช้ข้อศอกจะศอกเข้าให้ ฉู่สวินหยางกลับเดาถูกว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของนางได้ จึงยกฝ่ามือป้องข้อศอกฮั่วชิงเอ๋อร์ไว้
ฮั่วชิงเอ๋อร์หันมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ ปรากฏว่าผู้ที่ขัดขวางนางไว้คือฉู่สวินหยาง นางตกตะลึงงงงวย
ฉู่สวินหยางยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัวห้ามนางไว้กระซิบว่า “เจ้าอย่ายุ่งเรื่องนี้ มองดูก็พอ!”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ลังเลใจ เวลานั้นฮองเฮารับสั่งอย่างเฉยเมยว่า “ถือเสียว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ บ่าวรับใช้ท่านหญิงใหญ่ก็ช่างไม่รู้ประสีประสา เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังไม่รู้จักระมัดวัง ดีที่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคืออวี้ก่วน เรื่องของสองพี่น้องไม่เกี่ยวกับเจ้า หากว่าผู้เสียหายเป็นผู้อื่นเล่า พวกเจ้าจะให้ข้าอธิบายอย่างไร?”
“ใช่แล้วเพคะ เป็นความสะเพร่าของซืออวี่เพคะ!” หลัวซืออวี่รีบโขกศีรษะ
หลัวฮองเฮามองนางอย่างไร้ความรู้สึกจากนั้นก็ทอดสายตาไปมองหน้าฮูหยินใหญ่ตรัสว่า “นำตัวนางกลับไปสั่งสอนเสียใหม่ ลงโทษให้คัดลอกตำราหนี่ว์เจี้ยร้อยรอบ ก่อนหน้านี้ก็เก็บตัวคิดไตร่ตรองให้ดีซะ!”
ฮูหยินใหญ่ขมขื่นใจแต่ใบหน้ากลับดูเคารพยำเกรง “เพคะ หม่อมฉันจะทำตามฮองเฮารับสั่งเพคะ!”
หลัวฮองเฮาพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้สนใจสองแม่ลูก แต่กลับดึงมือหลัวอวี่ก่วนที่หลังมือบาดเจ็บมาดู สีหน้าราวกับค่อยๆโล่งอก แล้วตรัสกับแม่นมเหลียงว่า “พานางกลับไปตำหนักโซ่วคัง แล้วเรียกหมอหลวงมาดูอาการอย่างละเอียด หญิงงามไม่ควรมีรอยแผลเป็นอันขาด!”
“เพคะฮองเฮา!” แม่นมเหลียงถวายความเคารพและโน้มตัวไปประคองหลัวอวี่ก่วน
หลัวอวี่ก่วนรีบเอื้อมมือไปวางในมือสุ่ยอวี้พลางกล่าวแสดงความซาบซึ้งว่า “หม่อมฉันมิกล้ารบกวนฮองเฮา!”
พูดพลางแสดงการคำนับฮองเฮา หันหลังแล้วเดินตามแม่นมไป[1]
ฮูหยินรองมองดูสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย สายตาเป็นประกาย อิ่มอกอิ่มใจจนพูดไม่ออก
ในที่สุดท้ายเรื่องก็คลี่คลายไม่เพียงแต่เป็นพียงเรื่องวุ่นวายระหว่างหญิงสาวในครอบครัวของฮองเฮา ทุกคนต่างโล่งใจ
เต๋อเฟยก็เริ่มมีกำลังใจ ลองทูลถามฮองเฮาว่า “ฮองเฮาเพคะ พระองค์จะทรงจัดการกับบ่าวรับใช้พวกนี้อย่างไรเพคะ?”
“เนื่องจากละเลยต่อหน้าที่จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงความผิด ทำตามที่ข้าสั่งก่อนหน้าก็แล้วกัน สั่งโบยคนละยี่สิบไม้ จะได้เชือดไก่ให้ลิงดู” ฮองเฮาตรัสอย่างหงุดหงิด แต่ทรงไม่ได้รับสั่งเรื่องเนรเทศออกจากวังหลวง
เต๋อเฟยรู้สึกโล่งใจ บ่าวรับใช้ทั้งหมดก็ถูกนำไปลงโทษ
หลัวฮองเฮาโบกมือตรัสว่า “พวกเจ้าเลิกเบียดเสียดกันได้แล้ว ข้าเห็นแล้วปวดหัว พวกเจ้าออกไปได้แล้ว!”
ทุกคนคำนับแล้วถอยออกไป
ฮูหยินใหญ่จูงมือหลัวซืออวี่แล้วทูลขออภัยโทษ แล้วออกจากวัง
สองแม่ลูกเดินไปตามทางเดินอย่างนิ่งเงียบ แล้วแหวกคนที่อยู่ด้านหลังไกลออกไป ฮูหยินใหญ่ยากจะอดกลั้นถอนหายใจแรง ใช้แรงสัมผัสปลายนิ้วหลัวซืออวี่ไปมา สีหน้าหมองมัวและสับสนเอ่ยว่า “ทำให้เจ้าลำบากแล้ว!”
“ลูกไม่ลำบากเลย!” หลัวซืออวี่ยิ้ม ระหว่างที่ยิ้มสีหน้าหวาดกลัวเมื่อครู่มลายหายไปตั้งนานแล้ว ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย คนนอกมองมาก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังนางเช็ดน้ำตาที่ไหลด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจพึมพำว่า “ท่านหญิงท่านต้องการให้พวกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้หรือคะ? วันนี้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ชื่อเสียงของท่านอาจป่นปี้หมดแล้ว ถ้าหากเมื่อครู่ท่านหญิงให้บ่าวรับความผิดแทนคงจะดี!”
“เจ้าช่างโง่เขลานัก หากข้าให้เจ้ารับผิดแทน ตอนนี้เจ้าคิดว่าจะยังมีชีวิตเช่นอยู่อีกรึ?” ฮูหยินใหญ่ยิ้มขื่นขม เงยหน้าลูบเส้นผมเหยียนเอ๋อร์
หลัวซืออวี่จับมือเหยียนเอ๋อร์พูดว่า “ที่นี่ช่างเป็นที่ที่วุ่นวาย ข้ากำลังวางแผนเพื่อออกจากวัง วันนี้ก็สมใจปรารถนาแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
————————————————————————
[1] หนี่ว์เจี้ย หนี่ว์ แปลว่า สตรี ส่วน เจี้ย หมายถึง ข้อห้าม หนี่ว์เจี้ย เป็นวรรณกรรมสอนสตรีภายใน “นารีจตุรปกรณ์” ที่ประพันธ์ขึ้นเป็นเรื่องแรก โดยวรรณกรรมสอนสตรีนี้มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “เตือนหญิง”