สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 86.3
“ดี!” ฮูหยินใหญ่มองดูหลัวซืออวี่ แม้ว่ายังคงปวดใจยิ่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สองแม่ลูกประคองกันเดินจากไป
“ความจริงแล้วเรื่องไม่ใช่อย่างที่ท่านหญิงสามพูด!” ทางด้านฮั่วชิงเอ๋อร์ลากฉู่สวินหยางเข้าไปข้างๆ สวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว รอไม่ไหวที่จะเปิดเผยความจริง ขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้าก็อยู่ข้างๆ มองเห็นเต็มสองตาเลยทีเดียว”
ขณะที่ฮั่วชิงเอ๋อร์กำลังพูดก็ตื่นเต้นจนทนไม่ไหว คว้ามือของฉู่สวินหยางขึ้นมาเขย่าพลางส่งสายตาให้นางช่วยเหลือ “เป็นเพราะสาวรับใช้ของหลัวอวี่ก่วนที่จงใจเดินไปชนท่านหญิงใหญ่หลัว ท่านหญิงใหญ่จึงล้มไปถูกกระบอกไม้ไผ่นั่น อีกอย่างตอนนั้นทิศทางที่กระบอกไม้ไผ่ล้มคว่ำไม่ได้พุ่งไปทางหลัวอวี่ก่วน พอกระบอกไม้ไผ่พลิกคว่ำคนรอบข้างก็ตกใจเตะพลุไฟพลิกคว่ำ สถานการณ์จึงวุ่นวายเช่นนี้ ต่อมากว่าทุกคนจะรู้เสื้อผ้าก็กำลังติดไฟลุกไหม้ไปแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของฮั่วชิงเอ๋อร์แสดงความห่อเหี่ยวใจอย่างชัดเจน…
ฮั่วกังมีห้องสำหรับอนุภรรยาสองห้อง แต่เพราะว่าบ้านตระกูลฮั่วมีกฎระเบียบเคร่งครัด อนุทั้งสองต่างไม่มีลูกชายสืบสกุลดังนั้นในบ้านจึงปฏิบัติตามกฎเป็นกิจจะลักษณะมาโดยตลอด ใครก็ไม่กล้าก่อเรื่องต่อหน้าฮั่วฮูหยิน ในบ้านหลังนี้ฮั่วชิงเอ๋อร์ก็ไม่เคยวางแผนสกปรกเช่นนี้มาก่อน
ฮั่วชิงเอ๋อร์เป็นคนจิตใจซื่อตรง นางจึงคิดว่าตนเองรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่อยากปิดบังเรื่องนี้ไว้ นางไม่สามารถเห็นหญิงสาวที่ไร้มลทินถูกใส่ร้ายป้ายสี ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ยุติธรรมกับหลัวซืออวี่อยู่ดี
ฉู่สวินหยางเห็นว่าฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่มีทางออกและไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี ฉู่สวินหยางทำได้เพียงปลอบใจกุมมือฮั่วชิงเอ๋อร์ไว้พลางพูดว่า “อย่าคิดมากไปเลย เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งภายในของตระกูลหลัว ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย”
“ทว่าท่านหญิงใหญ่หลัวคงไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ตลอดไปหรอกรึ?” ฮั่วชิงเอ๋อร์พูด นางแสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วเอ่ยว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นก็ปรากฏต่อหน้าสาธารณชน ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่านางจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ถูกตราหน้าว่าวางแผนทำร้ายลูกพี่ลูกน้องตนเอง ชื่อเสียงถูกประณามย่อยยับ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ได้ตั้งใจจะก่อเรื่องเช่นนี้?” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ดวงตาเป็นประกาย กลับไม่ไว้หน้านางพูดขัดจังหวะขึ้นมา
ฮั่วชิงเอ๋อร์นิ่งงัน ขมวดคิ้ว สีหน้างงงวยพูดว่า “ท่านหญิงพูดเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นชัดว่า…”
“เจ้าคิดว่าท่านหญิงหลัวโง่เขลาเบาปัญญาจริงๆ รึ?” ฉู่สวินหยางถาม ดูเหมือนว่าฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัวจะโต้กลับ รีบส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “กระทั่งเจ้าเป็นคนนอกยังมองออกว่า เรื่องนี้หลัวอวี่ก่วนเป็นคนวางแผนทำร้ายตนเองเพื่อหลอกให้คนตายใจ นางเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจทำร้ายผู้อื่น?”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ตกตะลึงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
ฉู่สวินหยางไม่ได้มองชิงเอ๋อร์แต่พูดต่อว่า “เมื่อครู่ข้อกล่าวหาเป็นเท็จเหล่านั้นที่หลัวซืออวี่เผชิญ หากนางจงใจจริง เหตุใดแม้กระทั่งข้อแก้ตัวนางกลับไม่มีพูดออกมา? ดูเหมือนนางกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็แก้ตัวไม่ขึ้นอยู่ดี ทว่าแท้จริงแล้วนางมีเจตนาที่จะทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ และยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการต่างหาก”
“แต่…แต่ว่า…” ฮั่วชิงเอ๋อร์บิดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ ยังคงไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น นางเร่งรุดก้าวเท้าสองก้าว ขมวดคิ้วมองฉู่สวินหยางพลางพูดว่า “เช่นนั้นแล้วนางทำเช่นนี้เพราเหตุใด? ตนเองยอมถูกปรักปรำ เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลดีกับนางเลย”
“เจ้าคงต้องไปถามนางเองแล้วว่า เรื่องนี้ข้าไม่สามารถล่วงรู้ได้” ฉู่สวินหยางยิ้มกริ่ม
เงยหน้าขึ้นมามองไปข้างหน้าเห็นชายหนุ่มรูปงามสวมชุดอีฮวาสีม่วงอ่อนเดินตรงมาที่นาง
เขาก็คือฉู่ฉีเฟิง
“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางร้องเรียกแต่ไกล “ท่านมาได้อย่างไร?”
“ข้าได้ยินว่าที่นี่เกิดเรื่องขึ้น เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ฉู่ฉีเฟิงถาม ระหว่างที่สนทนาก็จับที่ไหล่ทั้งสองข้างของนาง มองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าสีหน้าเป็นกังวล
ฉู่สวินหยางยิ้มพลางพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้ายืนอยู่ไกล ไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย”
ฉู่ฉีเฟิงตรวจดูให้แน่ใจว่านางยังสภาพปกติดี มีเรี่ยวแรง เขาจึงจะวางใจ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงพูด แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ฮั่วชิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบคุกเข่าลง ตามองต่ำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดว่า “คารวะท่านอ๋อง!”
รอยยิ้มครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ยิ้มแย้มร่าเริงแจ่มใส แต่ครั้งนี้กลับหน้าแดงเขินอายเล็กน้อย
“ท่านหญิงฮั่วไม่ต้องมากพิธีหรอก ลุกขึ้นเถอะ!” ฉู่ฉีเฟิงผงกหน้าเล็กน้อย แล้วยิ้มนุ่มนวลพลางพูดเตือนสติว่า “วันนี้สถานการณ์ในวังไม่สู้ดีนัก พวกเจ้าอย่าเดินไปไหนมาไหนตามลำพัง ต้องระวังตัวด้วย”
“อืม!” ทั้งสองพยักหน้า
สายตาของฉู่ฉีเฟิงก็เปลี่ยนไปมองใบหน้าของฉู่สวินหยางเอ่ยว่า “อีกครู่เจ้ารออยู่ที่ตำหนักเจาเต๋อก่อนเถอะ แล้วอีกสองเค่อข้าจะมารับเจ้าที่นี่ แล้วออกจากวังพร้อมกัน”
“ก็ได้!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า
ฉู่ฉีเฟิงยังมีเรื่องจะต้องไปจัดการ จึงไม่มีกระจิตกระใจอยู่ที่นี่ต่อ เขาสะบัดชายเสื้อหันหลังเดินจากไป
ฮั่วชิงเอ๋อร์เหลียวมองเขาเดินจากไปด้วยใบหน้าเปล่งประกายสดใส แต่นัยน์ตากลับเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์
สายตาของฉู่สวินหยางกลับมองนางแต่ไม่ได้ทำอะไร ขณะที่ในใจกลับถอนหายใจแผ่วเบา
หญิงสาวตระกูลฮั่วและตำหนักบูรพามักเกิดเรื่องบ่อยครั้ง นางและฮั่วชิงเอ๋อร์ไปมาหาสู่กันบ่อย ระหว่างฮั่วชิงเอ๋อร์และฉู่ฉีเฟิงก็ค่อนข้างสนิทสนมกัน
ฮั่วชิงเอ๋อร์แอบรักฉู่ฉีเฟิง ดูเหมือนว่าชาติก่อนเป็นพรหมลิขิตระหว่างเขาสองคน เมื่อครั้งที่ฉู่ฉีเฟิงเกิดเรื่อง คนในตระกูลฮั่วก็รีบไปทาบทามสู่ขอทันที ต้องการให้ลูกสาวได้แต่งงานเป็นคู่ครองกับเขา
ตอนนั้นฮ่องเต้ยังคงรู้สึกเศร้าสร้อยเพราะพระองค์ไม่ได้ดูแลเขามาอย่างดีตั้งแต่เล็กดังนั้นจึงตอบรับโดยไม่ลังเล สุดท้ายฉู่ฉีเฟิงเข้าวังด้วยตนเอง เนื่องจากเขาพิการจึงไม่อยากจะเป็นภาระของตระกูลนั้นจึงปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้
ตอนนั้นฉู่ฉีเฟิงคิดว่าฉู่สวินหยางเข้าใจผิดมาโดยตลอด แท้จริงแล้วเขามีความจริงใจหรือเป็นเพียงแค่ข้ออ้างหนึ่งที่เขาต้องการจะบ่ายเบี่ยง
เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้ ท่าทีของฉู่ฉีเฟิงดูเหมือนว่าเขาไม่มีใจให้ฮั่วชิงเอ๋อร์
ส่วนความทุกข์ใจของฮั่วชิงเอ๋อร์ฉู่สวินหยางรู้อยู่แก่ใจดี แต่ทำได้เพียงหลับหูหลับตาแกล้งเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากช่วยให้สมปรารถนา แต่เป็นเพราะฉู่สวินหยางรู้ดีว่านิสัยส่วนตัวของฉู่ฉีเฟิงเป็นเช่นไร นางมองว่าเขาเป็นพี่ชายที่สุภาพอ่อนโยนสูงส่งสง่างามดุจหยกล้ำค่า ลึกๆ เป็นคนที่ดื้อรั้นและมีความคิดเป็นของตนเอง หากเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริง ใครเอาอะไรมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ แม้ว่าตนเองจะ…
พออยู่ต่อหน้าเขากลับพูดอะไรไม่ได้
ฉะนั้นแล้วเลือกที่จะไม่พูดเสียดีกว่า หากต้องการจะให้ความหวังผู้อื่น สุดท้ายแล้วก็ไม่ช่วยอะไร นอกเสียจาก…
มิใช่เป็นการสร้างบาดแผลให้เจ็บเพิ่มมากขึ้นหรือ?”
ฉู่สวินหยางส่ายหัวสลัดเอาความคิดที่ไม่จริงนี้ออกไป นางหันกลับมากุมมือฮั่วชิงเอ๋อร์พลางพูดว่า “ไปกันเถอะ เรากลับไปรอที่ตำหนักเถอะ ประเดี๋ยวฮั่วฮูหยินหาไม่พบจะพลอยเป็นกังวล”
“ได้!”ฮั่วชิงเอ๋อร์พยักหน้า
ขณะที่กำลังหันกลับไปก็อดไม่ไหวที่จะมองกลับไปยังทางเล็กๆข้างหลัง
พอตกกลางคืนหมอกหนาที่นั่นก็ไม่มีแม้แต่เงาของผู้นั้นที่กำลังเดินจากไป
ฉู่สวินหยางเดินตามเธอถอยกลับไปสองก้าว ทันใดนั้นนึกขึ้นมาได้จึงหยุดก้าวเท้า
ฮั่วชิงเอ๋อร์หันกลับไป ถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”
“ดูเหมือนว่าข้าไม่ได้พบน้องหญิงสี่มาสักพักแล้ว ข้าจะต้องไปเยี่ยมนางสักหน่อย เช่นนั้นอีกสักครู่ออกจากวังคนผู้มากมาย น้องสาวคงหาเราไม่เจอแล้ว” ฉู่สวินหยางพูดพลางยิ้มด้วยความเกรงใจ
“เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง!” ฮั่วชิงเอ๋อร์พูด
“ข้าไปคนเดียวดีกว่า เจ้าออกไปไกลเกินไปฮั่วฮูหยินจะเป็นกังวล” ฉู่สวินหยางพูดพลางตบหลังมือนางเบาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรเส้นทางในวังหลวงข้าชำนาญ ไม่มีปัญหาหรอก”
ฮั่วชิงเอ๋อร์ครุ่นคิดในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ได้ เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ!”
“ได้!” ฉู่สวินหยางตอบ แล้วมองนางเดินกลับตำหนักไป ผ่านไปสักพักมีเงาปรากฏอยู่ตรงสวนดอกไม้ มีคนหัวเราะอย่างร่าเริงเคลื่อนไหวอยู่หลังพุ่มไม้ด้านข้างไม่ไกลนัก
ตั้งแต่ที่ท่านหญิงอันเล่อเกิดเรื่องขึ้น ภายในช่วงนี้หลัวฮองเฮาทรงมีพระบรมราชโองการ ทรงประสงค์ให้ท่านหญิงตระกูลหลัวทั้งสองเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อน”เหยียนหลิงจวินพูด ไม่รู้ว่าแอบฟังนานเพียงใด ตอนที่เดินออกมานั้นก็ไม่รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด “นางหมายความว่าท่านหญิงทั้งสองคนหนึ่งในนั้นจะถูกเลือกออกมาคนหนึ่งเพื่อมาอยู่ข้างกายและรอดำรงตำแหน่งแทนท่านหญิงอันเล่อที่ว่างอยู่ คงเป็นโอกาสทองที่จะได้เลื่อนตำแหน่งที่ควรค่าจะพนันสักตา”
ฉู่สวินหยางไม่สนใจเหยียนหลิงจวิน เพียงแต่ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวพลางเอ่ย “ท่านหญิงใหญ่หลัวคนนั้นช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก แท้จริงแล้วสามารถอดทนอดกลั้นได้ถึงเพียงนี้เชียว!”
น้ำเสียงนางเนิบแต่ไม่ชัดเจนว่าจริงๆ แล้วเป็นการประชดหรือชื่นชม
“เมื่อก่อนหลัวฮองเฮาวางแผนเพื่อจะให้ฝ่าบาททรงรับปากส่งลูกชายตระกูลหลัวไปควบคุมดูแลค่ายทหารที่ฉู่โจว” เหยียนหลิงจวินดูเหมือนจะเลิกสนใจเรื่องของท่านหญิงทั้งสอง เบี่ยงเบนไปคุยเรื่องอื่นแทน
ฉู่สวินหยางมองเขาแล้วเม้มปาก สายตาก็จริงจังขึ้นมา
“ตอนนั้นฮูหยินคนก่อนตระกูลหลัวเสียชีวิตไปพระมารดาผู้ให้กำเนิดหลัวฮองเฮาจึงได้แต่งเข้าสืบสกุลเป็นฮูหยินตระกูลหลัว ดังนั้นหลัวฮองเฮาถึงแม้ว่าจะเป็นสายตรง แต่พระองค์และหลัวกั๋วกงที่ตอนนี้เป็นผู้ถืออำนาจของตระกูลหลัว ความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน” ฉู่สวินหยางสูดหายใจลึกทอดสายตาไปไกลเห็นหลัวฮองเฮาที่ถูกคุ้มกันถูกล้อมรอบดั่งดาวล้อมเดือน
“ผู้หญิงคนนี้ได้รับการสถาปนานั่งบัลลังก์เป็นมารดาแห่งแคว้นและได้ควบคุมฝ่ายใน นับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน นึกว่าตนเองนำเกียรติยศมาสู่ตระกูลหลัว ทุกคนในตระกูลหลัวล้วนก้มหัวให้นาง ทุกอย่างอยู่ในกำมือของนาง หลัวกั๋วกงเผอิญเป็นผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของฮองเฮา กระทั่งรัชทายาทซื่อจื่อหลัวเว่ยปฏิบัติต่อฮองเฮาอย่างหน้าไหว้หลังหลอก ฮองเฮาทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ภายนอกแม้ไม่พูดจา แต่ใจจริงให้ความสำคัญกับฮูหยินรองตระกูลหลัวเป็นอย่างมาก”
————————————————————————