สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 86.4
“ความหมายของเจ้าก็คือ… ปลดลูกคนโตแล้วแต่งตั้งลูกอีกคน จากนั้นก็สนับสนุนหลัวอี้ขึ้นครองราชย์แทนอย่างนั้นรึ?” เหยียนหลิงจวินคิดพิจารณา ทนไม่ไหวถอนหายใจพลางพูดว่า “หญิงผู้นี้มือยาวสาวได้สาวเอา นางไม่คิดว่าตนโลภมากไปหน่อยหรือ?”
“พูดถึงประเด็นนี้ ฮองเฮาและฝ่าบาท สองสามีภรรยาสามารถพูดได้ว่าต่างคนต่างไม่ด้อยไปกว่ากัน” ฉู่สวินหยางพูด “ตั้งแต่ต้นจนจบต่างต้องการควบคุมผู้อื่นให้อยู่ภายใต้อำนาจตน หากคิดดูดีๆ ตอนนี้ฮองเฮามีพระชนมพรรษาขนาดนี้พยายามจะทำเรื่องเหล่านี้นางจะสามารถทำเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว”
“ฮ่องเต้องค์นี้ก็ทรงเป็นผู้บุกเบิกแว่นแคว้น กว่าจะได้มานั่งบัลลังก์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทรงมีอำนาจอยู่ในมือก็ปรารถนาว่าตนจะแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น” เหยียนหลิงจวินพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า “ท่านอาจารย์ดื่มมากไปแล้ว ข้าขอตัวไปส่งอาจารย์กลับก่อน ข้าจึงมาบอกลาเจ้าสักหน่อย”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าไม่ได้ห้ามอะไร “เช่นนั้นท่านก็รักษาตัวด้วย!”
ภายในมีความหมายแอบแฝง เหยียนหลิงจวินได้ฟังก็เข้าใจ
“ไม่เป็นไร! เรื่องภายในตำหนักเจาเต๋อเพิ่งเกิดเรื่องขึ้นได้ไม่นาน ภายในเวลาอันสั้นพวกเขาจึงต้องการหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย คงไม่ทำเรื่องเสียหายแน่นอน!” เขายิ้มแล้วเงยหน้าใช้มือลูบผมม้าบนหน้าผากของนาง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาดูเหมือนว่าจะเป็นติดนิสัย มักคิดว่าทุกครั้งที่สัมผัสเส้นผมนางทำให้เขารู้สึกดี เส้นผมมีสัมผัสที่นุ่มนวลสลวย หลังจากที่สัมผัสผมที่หนานุ่มทำให้เขาคิดฟุ้งซ่าน ยิ่งทำให้นางยิ่งน่าดึงดูดใจช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก เขาตามองต่ำลง รอยยิ้มยิ่งลึกซึ้งแน่นแฟ้นมากขึ้น
ฉู่สวินหยางไม่เคยคิดว่าเขาจะคิดมิดีมิร้าย เพียงแต่นางรู้สึกแปลกประหลาดจึงถอยหลังหนึ่งก้าว นางอุตส่าห์จัดแต่งทรงผมอย่างดีกลับถูกเขาทำเสียทรงหมด
หลังจากที่เหยียนหลิงจวินบอกลาฉู่สวินหยาง เขาก็พยุงเฉินเกิงเหนียนที่เมามายไม่ได้สติออกจากวัง พอกำลังจะแบกเขาขึ้นรถม้าก็เหลือบไปเห็นต้นหลิวด้านข้างที่ลู่กิ่งก้านสาขาลงมา ใต้ต้นมีเงาคนกำลังเดินตรงมา
ไม่ใช่ใครอื่นใดแต่เป็นฉู่ฉีเหยียน
แม้ว่าเขาทั้งสองความคิดไม่ตรงกัน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่บังเอิญเดินมาเจอหน้ากัน
เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปาก เขารู้ว่าคนๆ นี้จงใจเดินตรงเข้ามาไม่หลบลี้หนีหน้า แสร้งสั่งการอิ้งจื่อแล้วหันหลังกลับไปคำนับ
“ช่างบังเอิญนัก ซื่อจื่อกำลังรออยู่ที่นี่เพื่อส่งข้าออกจากวังเช่นนั้นหรือ?” เหยียนหลิงจวินยิ้ม
ฉู่ฉีเหยียนยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มเสแสร้งแกล้งทำ ฉีฉู่เหยียนมองซื่อจื่อ น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งและมั่นคงพลางพูดว่า “ช่างบังเอิญยิ่งนัก ตอนที่หรงเฟยเป็นลมหมดสติก็ช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้เชียว?”
ทั้งสองจ้องมองตาฝ่ายตรงข้ามตาต่อตาฟันต่อฟัน
ในค่ำคืนที่ขุ่นมัวราวกับหมู่ดาวไร้แสงท้องฟ้ามืดมิดดุจความอำมหิตเยือกเย็น
เหยียนหลิงจวินยอมรับเรื่องที่ฉู่ฉีเหยียนซื่อจื่อกำลังทดสอบเขาอย่างตรงไปตรงมา
เขาก้มหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาแสร้งยิ้มไม่หยุด แล้วถามกลับไปว่า “เช่นนั้นแล้วจะทำไม?”
“เจ้าวางแผนจะทำร้ายหรงเฟยอย่างนั้นหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ระหว่างที่กำลังพูดสายตาของเขาจ้องมองเหยียนหลิงจวินอย่างฉับพลัน และพยายามมองผ่านสายตาของเขาว่ามีจุดด่างพร้อยหรือไม่
แต่ก็ไร้ประโยชน์ สายตาของเหยียนหลิงจวินดูเป็นปกติ เขาเพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ฉู่ฉีเหยียนไม่สามารถทำอะไรได้จึงทำได้เพียงแค่พูด “แม้ว่าก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเจ้าไปตำหนักของหรงเฟยครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความสามารถของเจ้า หากว่าวางแผนคิดจะทำร้ายนางเรื่องนี้คงไม่ยากน่ะสิ? หรือไม่ก็…”
พอพูดจบขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด น้ำเสียงนั้นที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นเอ่ยว่า “เจ้าใช้ใต้เท้าหลี่เป็นเครื่องมือเช่นนั้นรึ? ทุกวันยาที่หรงเฟยจะต้องดื่มบำรุงครรภ์จะต้องผ่านมือเจ้าก่อน เจ้านั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับมา ขณะที่ใต้เท้าหลี่ไม่รู้เรื่องที่เจ้ากลับวางแผนคิดร้ายวางยาหรงเฟย นี่คงมิใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าเลย!”
ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นลมหมดสติกะทันหัน ไม่มีใครคาดคิด ดูจากปฏิกิริยาของฝ่าบาทแล้วก็ไม่น่าใช่การกระทำของพระองค์
ฉะนั้นแล้วตอนนี้มีเพียงความเป็นไปได้เดียวคือ…
เรื่องนี้มาจากฝีมือของเหยียนหลิงจวิน เป็นเขานั่นเอง!
จะต้องเป็นเขาที่ใช้ยาชนิดหนึ่งที่สามารถควบคุมทั่วป๋าหรงเหยาไว้ แล้วบังเอิญทำให้ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นลมล้มลงไปแล้วยังสร้างภาพลวงตาให้ทุกคนคิดว่านางถูกผีสิง!
แม้ว่าเหยียนหลิงจวินจะสามารถเตรียมยาที่สามารถควบคุมการออกฤทธิ์ตามเวลาแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะหาเหตุผลไหนมาอธิบายได้สมเหตุมากกว่านี้
“ซื่อจื่อท่านพูดมาตั้งมากมาย เพียงเพื่อที่จะลองใจข้าเท่านั้น!” เหยีนหลิงจวินยิ้มเล็กน้อย แม้เขาทั้งสองรู้ความจริงอยู่แก่ใจแต่ไม่กล้ายอมรับ
เขายกมือไปดึงกิ่งต้นหลิวที่ลู่ลงมาลงมาตรงหน้า แล้วปล่อยมือกิ่งหลิวนั้นก็แกว่งไกวไปมาทำให้เกิดเสียงลมแหลมคมอยู่กลางอากาศ
“เจ้าจะพูดอย่างไรก็ช่าง สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ฮ่องเต้ต้องเป็นคนตัดสิน” เหยียนหลิงจวินพูดพลางแสร้งยิ้ม “เพลานี้ดึกมากแล้ว หากซื่อจื่อไม่มีข้อสงสัยแล้ว เอาเป็นว่าวันหลังค่อยพบกันใหม่ ข้าขอตัวก่อน!”
เมื่อพูดจบก็หันกลับแล้วเดินไปยังรถม้าของเขา
ฉู่ฉีเหยียนมองดูเขาค่อยๆ เดินจากไป ดวงตาเป็นประกายเยือกเย็นอำมหิต
เขาไม่ขยับตัวเพียงแต่เปล่งเสียงสูงตะโกนออกมา “ความจริงแล้วเจ้าใช้อะไรควบคุมหรงเฟยไม่สำคัญ สิ่งที่ข้าสงสัยคือเจ้าให้สินบนอะไรกับหยางเฉิงกังจึงสามารถทำให้เขาทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ!”
หยางเฉินเกิงเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท ก็คบหาสมาคมกับเหยียนหลิงจวินที่เพิ่งเข้ามาใหม่รึ? ต้องการติดสินบนให้หยางเฉิงกังให้ช่วยเป็นพยานเท็จต่อหน้าฝ่าบาท? เรื่องเช่นนี้ไม่น่าเป็นไปได้
ข้อสงสัยที่เขาถามเหยียนหลิงจวินเป็นเพียงลมปากที่เหยียนหลิงจวินไม่แยแส แล้วเขาค่อยๆ เดินจากไปอย่างช้าๆ
ฉู่ฉีเหยียนเห็นท่าทางที่เขาทำเป็นไม่สนใจใยดีฉู่ฉีเหยียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แสดงอาการที่ยากนักจะปรากฏ แสดงสีหน้าเย็นชา
หลี่หลินเดินมาจากข้างหลังถามด้วยความกังวลว่า “ซื่อจื่อท่านเกรงว่าเขาจะใช้หยางเฉิงกังก่อเหตุเช่นนั้นหรือ?”
“เขาไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้น!” ฉู่ฉีเหยียนพูดพลางยิ้มเหน็บแนม สายตาจ้องมองรถม้าตระกูลเฉินชั่วขณะ “ฝ่าบาททรงจิตใจโหดเหี้ยม แม้เหยียนหลิงจวินจะมีความสามารถล้นฟ้าเพียงใด ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะหูเบาเชื่อเขาแน่นอน” เจ้าก็รู้ว่าเรื่องทุ่มเทมากไปท้ายที่สุดจะคว้าน้ำเหลว!” นับประสาอะไรกับหรงเฟยเล่า? แม้นในครรภ์จะเป็นโอรสสวรรค์ ภายหลังคนที่กำลังถูกหยางเฉินเกิงลากออกมา ขอเพียงมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ ข้าเอาหัวเป็นประกันว่าแผนที่พวกเขาวางไว้มานานจะสูญเปล่า เพราะจะทำให้ฮ่องเต้ทรงสงสัยเป็นลำดับแรก”
ทั่วป๋าหรงเหยาตัวคนเดียวจะมีอำนาจเท่าไหร่กันเชียว? อีกอย่างนางเพิ่งมาอยู่ซีเยว่ได้ไม่นาน? ทั้งยังเป็นหญิงจากชนเผ่าอื่น นางบอกว่ามีผู้ต้องการเอาชนะนางรึ? หากอ้างว่านางโชคร้ายทำให้ผู้อื่นเกิดปัญหายังจะดีเสียกว่า
ฉะนั้นทางด้านหยางเฉิงกัง คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้จึงหลับหูหลับตาทอดสะพานให้ ไม่ว่าจะเป็นเหยียนหลิงจวินหรือฉู่สวินหยางก็ตาม พวกเขาไม่มีทางเอามาเป็นอาวุธในการลอบทำร้ายอ๋องหนานเหอหรือเชื้อพระวงศ์ในวังของชนเผ่าแน่
ข้อนี้ฉู่ฉีเหยียนไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย
หลี่หลิงฟังจบใจก็หล่นอยู่ที่ตาตุ่ม พอเรียกสติกลับมาก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่งว่า “ ซื่อจื่อ เมื่อครู่ทั่วป๋าไหวอันได้เดินออกไปจากวังทางประตูทิศบูรพา วันนี้ที่ตำหนักเกิดเรื่องขึ้น พระองค์จะไปพบเขาพูดให้กระจ่างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“แผนการที่วางไว้ของฮ่องเต้ล้มเหลว เขากำลังกริ้วโกรธ เวลานี้ยังไม่รู้ว่าให้คนจับตามองทั่วป๋าไหวอันอยู่มากน้อยเพียงใด ใครกล้าเข้าไปยุ่งเท่ากับรนหาที่ตาย!” ฉู่ฉีเหยียนน้ำเสียงเย็นชา คว้าแส้ม้าพลางพูดว่า “กลับวัง!”
หลี่หลินรีบเรียกให้บ่าวรับใช้จูงม้ามา กลุ่มคนที่นั่งอยู่บนม้าเฆี่ยนม้าพลางควบม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหนานเหอ
ทางด้านเหยียนหลิงจวินจัดการกับเฉินเกิงเหนียนเรียบร้อยแล้ว พอกำลังจะขึ้นรถก็มองเห็นม้าเร็ววิ่งมาฝุ่นตลบ กลางค่ำคืนมืดมิด เสียงเกือกม้าวิ่งเร็วดังก้องฝุ่นกลุ่มขนาดใหญ่ลอยล่อง วิ่งไปอย่างรีบร้อน
เงาผู้นั้นที่กำลังวิ่งมาช่างคุ้นตา เหยียนหลิงจวินยืนรออยู่ที่เดิมอย่างใจจดใจจ่อ
ผู้นั้นควบม้าวิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วแต่ไกล ม้ายังไม่ทันได้หยุดนิ่งก็กระโดดลงมาจากหลังม้า เสื้อคลุมที่อยู่ข้างหลังสีเพลิงชาดสะบัดพลิ้วกลางอากาศ ธงปลิวไสวตามสายลม ที่แท้เขาก็คือซูอี้ คุณชายรองตระกูลซู
บนใบหน้าของซูอี้ต่างจากในอดีตที่เคยอ่อนโยนและสงบนิ่ง ท่าทางเคร่งขรึมค่อนข้างใจร้อน เหยียนหลิงจวินยังไม่ทันจะอ้าปากพูดเขาก็รีบแจ้งทันทีว่า “จวินอวี้ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
เหยียนหลิงจวินเลิกคิ้ว ทันใดในหัวก็ผุดคิดขึ้นมาเรื่องหนึ่งและถามว่า “เป็นเรื่องของโม่เป่ยใช่หรือไม่?”
“หอเชียนจีเพิ่งได้รับข่าวล่าสุดว่าโม่เป่ยซื่อจื่อขณะที่ล่าสัตว์ถูกห่าฝนธนูยิงเข้าใส่ ตอนนี้อาการทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่า…อนาคตอันใกล้จะเกิดเรื่องวุ่นวาย!” ซูอวี้น้ำเสียงเศร้าโศก
เหยียนหลิงจวินใจเต้นแรง พอกำลังจะตอบกลับ เขาชำเลืองหันไปยังประตูวัง และเห็นว่าฉู่สวินหยางกำลังนำบ่าวรับใช้สองคนเดินลงมาจากทางสะพานหร่วน
ซูอี้มองดูบ่าวรับใช้ทั้งสองคนดูตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามหากกลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ส่วนฉู่สวินหยางสายตาแหลมคม ครั้งแรกก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวบริเวณนั้น
สายตาเหยียนหลิงจวินที่ไม่สามารถอธิบายได้ยลเห็นสายตาที่ใสบริสุทธิ์ของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็นท่ามกลางคืนราตรี ยิ่งไปกว่านั้น…
บรรยากาศควบแน่นด้วยรังสีเจตนาลอบสังหารแผ่ขยายออกมา!
————————————————————————