สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 87.1 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ในเวลานั้น เหยียนหลิงจวินจู่ๆ ก็จิตใจว้าวุ่น มือไม้อ่อนขึ้นมาชั่วขณะ
สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เขาก็ยังอยากที่จะตามไป
ทางด้านฉู่สวินหยางที่เหมือนจะเงียบไปสักพัก ไม่รั้งรอให้เหยียนหลิงจวินได้ทำอะไร นางก็พาตัวสาวใช้ทั้งสองคนเดินตรงลิ่วนำหน้าเขาไปก่อนหนึ่งก้าว
ใบหน้านั้นเผยอารมณ์ราบเรียบเช่นเคย ดวงตาที่ระยิบระยับดั่งสายน้ำพร่างพราว ทั้งยังแฝงด้วยความสดใสและเจ้าเล่ห์แบบสาวน้อยอย่างเป็นเอกลักษณ์ของนาง
เหยียนหลิงจวินไม่อาจจะชะล่าใจ ขมวดหัวคิ้วขึ้นแผ่วเบา รอจนนางเดินเข้ามาใกล้
แม้ว่าจะมองไม่ออกถึงสัญญาณความโกรธจากการกระทำและใบหน้าของนาง ในใจเขากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่แจ่มชัด
ผู้หญิงคนนี้วางแผนจะก่อกวนเขาแน่ๆ
ซูอี้ที่อยู่ด้านหลังเห็นท่าทางของทั้งสองคน จึงแสร้งไอในลำคอคล้ายกับจับไข้ เพียงเพื่อต้องการจะหลบหลีกจากสถานการณ์
มองเห็นฉู่สวินหยางที่เดินมาใกล้ เหยียนหลิงจวินก็ก้าวเท้าตามไปทันที กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ซินเป่า เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับเจ้า…”
“เมื่อครู่มิใช่ว่าเจอกันในวังแล้วหรอกหรือ? ยังมีเรื่องเร่งด่วนอันใดอีก?” ฉู่สวินหยางเอ่ยปากถามออกไปเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับจับจ้องอย่างไม่ลดละ เวลานี้ได้เดินผ่านเขาไป เดินยิ้มไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูอี้ “คุณชายท่านนี้ไม่คุ้นหน้าเสียเลย เป็นสหายของใต้เท้าเหยียนหลิงใช่หรือไม่?”
นางกระพริบตาปริบ ท่วงท่าแลดูเป็นธรรมชาติ ทั้งยังแนบเนียนไม่หยอก
หัวใจของเหยียนหลิงจวินราวกับถูกแขวนไว้กลางอากาศ
ก่อนหน้านี้ที่นางถามขึ้นต่อหน้า ทั้งยังเคยขอให้เขาช่วยตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังของซูอี้ เวลานี้เห็นได้ชัดว่าซูอี้กระวนกระวายใจทั้งยังแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่สะดวกใจ ดังนั้นเหยียนหลิงจวินจึงทำเป็นไม่เห็นเขาไป แต่ขณะนี้กลับถูกนางยกมาพูดต่อหน้าอย่างจัง
นางอาจจะคิดว่าเขามีเจตนาที่จะปิดบัง? ไม่ก็มีอะไรที่ยิ่งไปกว่านั้นอีก
หรืออาจจะมีเจตนาอย่างอื่นแฝง?
“ซิน…” เหยียนหลิงจวินขยับปากเอ่ยขึ้น เดินเข้ามาใกล้ กระตือรือร้นที่จะอธิบาย แต่เนื่องจากซูอี้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งยังมีแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงทยอยออกมาจากประตูวังเรื่อยๆ จึงไม่กล้าจะคุยกับนางอย่างเปิดเผย
แท้ที่จริงแล้วไม่เพียงแต่เหยียนหลิงจวิน แม้แต่ซูอี้ที่เพิ่งจะพบเจอกับฉู่สวินหยางเป็นคราแรก ในใจก็ยังเกิดความรู้สึกร้อนรนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
สาวน้อยตรงหน้าดูงดงามสดใส คิ้วโก่งโค้งที่บางราวปีกกายกขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนหญิงงามเพียบพร้อมทว่าหยิ่งยโส สายตาแข็งรั้น รอยยิ้มที่ปรากฏในดวงตาดูเย็นเยียบ ทว่ากลับทำให้คนหาเหตุผลมาติไม่พบ
เมื่อถูกนางมองเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่ได้เผยพิรุธอะไรออกไป แต่ก็ทำให้คนรู้สึกว้าวุ่นอย่างไร้สาเหตุ เป็นความรู้สึกกระวนกระวายทั้งยังเกรงกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
มุมปากของซูอี้ยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนพลางพยักหน้ารับ “ท่านหญิงสวินหยาง ได้ยินชื่อเสียงมานาน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ”
ปากพูดออกไปแต่ในใจกลับไม่เป็นอย่างนั้น ความรู้สึกที่น่าขนลุกนั้นเป็นตัวแสดงได้อย่างดีว่าเขากำลังร้อนรน
“อย่างนั้นหรือ? ท่านเองก็รู้จักข้า?” เขาพูดได้ครึ่งเดียวก็ถูกฉู่สวินหยางเอ่ยขัดด้วยความยินดีขึ้นก่อน ท่าทางราวกับดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
ซูอี้ถึงกับงุนงง ชะงักไปพักใหญ่
ใบหน้าที่สง่างามของเหยียนหลิงจวินดูบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จับชายเสื้อนางเอาไว้แผ่วเบา พูดด้วยเสียงต่ำว่า “เกิดเรื่องขึ้นที่โม่เป่ย เป็นเรื่องเร่งด่วน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไว้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังภายหลัง”
มองเห็นคนที่ออกมาจากวังมากขึ้นเรื่อยๆ ซูอี้จึงรีบต่อรับบทสนทนาด้วยความรีบร้อน “ในเมื่อพวกท่านมีเรื่องที่จะหารือกัน เช่นนั้นข้าต้องขอตัว ครั้งหน้า…”
ฉู่สวินหยางยื่นปากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนว่าข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับโม่เป่ยจะไม่เป็นที่สนใจของนางสักเท่าไร จู่ๆ นางก็ทำตาโต เดินด้วยความรวดเร็วไปดึงบังเหียนม้าของเขาตัวนั้น เอ่ยขึ้นว่า “รูปร่างของม้าตัวนี้ต่างจากม้าที่ถูกเลี้ยงในแคว้นพวกข้าอยู่บ้าง ว่ากันว่าเป็นลักษณะพิเศษที่มาจากดินแดนหิมะทางตะวันตกใช่หรือไม่?”
“ท่านหญิงความรู้กว้างไกล?” ซูอี้ยิ้มขมขื่น คล้อยตามอย่างใจลอย ทำท่าทีราวกับว่าอยากจะคุยเรื่องความเป็นมาของม้าตัวนี้กับนางเสียเต็มประดา ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายังมีธุระต้องทำอีกนิดหน่อย ขออภัยท่านหญิง ต้องขอตัวก่อน?”
ขณะพูด ก็เตรียมที่จะแย่งบังเหียนม้าในมือฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางค่อยๆ คลายมือออก ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มเป็นมิตร กล่าวว่า “ม้าของท่านตัวนี้ หายากนัก ข้าชอบมาก ท่านจะให้ข้ายืมสักสองวันได้หรือไม่?”
เวลานี้ สถานที่แบบนี้ อย่างไรนางก็ดูไม่ควรที่จะแสดงอาการอยากผูกสัมพันธ์ออกหน้าออกตากับคนที่แทบจะไม่รู้จักกันเช่นนี้มาก่อน
นางพูดด้วยความจริงใจสัตย์ซื่อ ซูอี้จึงลำบากใจที่จะปฏิเสธ
เหยียนหลิงจวินเริ่มเห็นเค้าลางไม่ดี ไม่รอที่จะให้ซูอี้ตอบรับก็ออกคำสั่งทางสายตาเป็นนัยให้อิ้งจื่อ กล่าวว่า “ไปนำม้าของข้ามา!”
อิ้งจื่อรับคำสั่งก่อนจะเดินไปด้านข้าง นำม้าของเหยียนหลิงจวินมอบให้แก่ซูอี้
ซูอี้รับบังเหียนม้าตัวนั้นมาไว้ในมือ ไม่มีกะจิตกะใจจะมาคิดเล็กคิดน้อย กล่าวลากับฉู่สวินหยางด้วยความรีบร้อน
มุมปากของฉู่สวินหยางยังคงยกยิ้มอยู่เช่นนั้น ดวงตายังแฝงด้วยความหยอกเย้าและความขบขัน ใบหน้าเก็บซ่อนความสดใส ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ความสดใสนั้นค่อยๆ กลมกลืนไปกับอากาศหนาวเหน็บของยามค่ำคืนนี้
นางมองไปยังเหยียนหลิงจวิน ก่อนก้มลงมองบังเหียนม้าในมือ กระตุกบังเหียนอย่างไร้อารมณ์ ไปทางประตูวังอย่างเหนื่อยหน่าย
ที่แห่งนั้นยังมีคนออกมาอีกสองกลุ่ม ที่เดินอยู่ข้างหน้า กลับไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นกลุ่มของพี่น้องซูหลิน
งานแต่งเสร็จไปแล้ว ทั้งหน้าตาและศักดิ์ศรีนั้นแทบจะไม่มีเหลือ เวลานี้ซูหลินมองเหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางเป็นดั่งหนามยอกอก พออกจากวัง เรื่องอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิด คิดเช่นนั้น ก่อนจะตระหนักได้ถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดที่นี่
ที่ผ่านมาฉู่สวินหยางและเขาต่างก็ไม่ถูกกัน ไม่สนใจซึ่งกันและกัน แค่เพียงจะทักทายยังคร้านที่กล่าว
ตอนนี้ทั้งสองคนเมื่ออยู่ต่อหน้าแล้ว เขากลับรู้สึกว่าฉู่สวินหยางผิดแปลกไป นางเผยรอยยิ้มก่อนเอ่ยทักทาย “นี่ซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่นมิใช่หรอกหรือ?”
น้ำเสียงสดใสกังวาน ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มหวาน น่าขนลุกเสียจนซูอี้ที่กำลังจะขึ้นม้าทางด้านนี้เกือบจะลื่นล้ม
เวลานี้เหยียนหลิงจวินจึงทำได้เพียงแค่หลับตาลงอย่างเงียบๆ
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดไปว่า สหายของใต้เท้าเหยียนหลิงช่างคุ้นตายิ่งนัก” ฉู่สวินหยางยังคงกล่าวต่อไปน้ำเสียงแฝงด้วยความเย้ยหยันและดูแคลน “อย่าบอกนะว่าที่คุณชายท่านนั้นกับซื่อจื่อยังคล้ายกันอยู่บ้าง เป็นเพราะว่าท่านเป็นญาติสนิทกัน?”
เมื่อครู่ตอนที่ซูอี้พบเจอกับนางครั้งแรก นางยังพูดอยู่เลยว่า ‘ไม่คุ้นหน้า’ เพียงพริบตาเดียวกลับพูดว่า ‘ดูไปดูมากลับคุ้นตา’ ไปเสียแล้ว
พูดได้ว่า ที่นางหาข้ออ้างมาพูดวกไปวนมาตั้งแต่เมื่อครู่ ก็เพียงเพราะรอคอยเวลาที่ซูหลินจะออกมาเท่านั้น
หญิงสาวผู้นี้หากได้ลงมือแล้ว ถ้าตกหลุมพรางไปก็ยากที่จะถอยออกมาง่ายๆ แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนแต่กุมชะตาชีวิตผู้อื่นได้อยู่หมัด
เหตุใดแววตาของซูหลินถึงน่ากลัวเช่นนี้? หลังจากที่โดนข่มขู่จากคนลึกลับในวันนั้น เขาก็ส่งคนออกตามหาชายชุดดำนั้นทุกหนทุกแห่ง แม้จะออกค้นหาทั่วทั้งเมืองหลวงแต่ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรสักอย่าง คนผู้นั้นราวกับเงาผีที่ปรากฏในโลกมนุษย์ พริบตาเดียวก็สลายหายไป ไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรไว้ให้สืบเสาะ
ช่วงชีวิตของเขาล้วนแต่มีเกียรติและสูงส่ง เมื่อได้รับการบังคับข่มขู่ย่อมต้องจำฝังใจ วันนั้นถึงแม้จะไม่เห็นหน้าที่แท้จริงของผู้ที่มาจากหุบเขาหลูผู้นั้น ทว่าเขากลับสลักรูปร่างมันฝังลึกไว้ภายในจิตใจ
วันนี้เมื่อได้พบการปรากฏตัวของซูอี้ ยังรู้สึกว่าเบื้องหลังของคนผู้นี้ยังแปลกไปอยู่บ้าง เวลานี้ฉู่สวินหยางยังเอ่ยปากถามขึ้นมา ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เขาเมินฉู่สวินหยาง ก่อนจะเดินผ่านนางไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ซูหว่านปรายสายตาไปที่ฉู่สวินหยาง กระแอมในลำคอ เดินผ่านนางไปด้วยด้วยท่าทีหยิ่งผยองดั่งหลงเชวี่ย[1]
ฉู่สวินหยางยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ทั้งยังไม่ได้หันกลับไปสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านหลังอีก…
ซูหลินและซูอี้มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันถึงสามส่วน ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่เชื่อว่า เมื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นไปไม่ได้ที่ซูหลินจะไม่รู้จักกับซูอี้
ถ้าหากจุดประสงค์ที่ซูอี้ปกปิดตัวตนที่แท้จริง เพื่อเร้นกายภายในจวนอ๋องฉางซุ่นอย่างลับๆ เวลานี้นางก็เปิดเผยตัวตนของเขาออกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นที่เหลือก็ให้พวกเขาเปิดเผยความลับกันเองก็แล้วกัน
ระหว่างนางกับซูอี้นั้น…
หาได้ต้องเกรงใจไม่!
พอคิดได้เช่นนี้ ฉู่สวินหยางก็ได้แต่เข่นเขี้ยวระบายความโกรธอยู่ในใจ
ชิงเถิงและชิงหลัวต่างก็มองหน้ากัน…
ทั้งสองคนล้วนแต่เติบโตมาพร้อมกับนาง รู้จักอารมณ์และนิสัยนางดี เมื่อตอนที่ออกมาจากวัง ต่างก็คิดว่าท่าทีที่ไม่ปกติของท่านหญิงผู้นี้จะต้องออกไปสร้างความลำบากให้ใครเข้าแน่ๆ จนมาถึงตอนนี้กลับยังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง…
จู่ๆ เหตุใดนางถึงพุ่งเป้าไปที่ใต้เท้าเหยียนหลิงล่ะ?
เมื่อต้นครึ่งชั่วยามทั้งสองคนยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ในวัง ไม่ได้แสดงท่าทีบาดหมางกันแม้แต่น้อย เสียเวลาไปตั้งเท่าใด เหตุใดจึงราวกับจะเกิดฟ้าผ่าขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้นล่ะ?
เพราะเหตุอันใดน่ะหรือ…
ใบหน้าของฉู่สวินหยางตอนนี้ดูไม่ดีเอามากๆ
คล้ายกับเพิ่งจะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ดวงตาของนางนั้นเย็นเยียบและมืดมน แม้แต่สีหน้ายังแฝงด้วยความโกรธเยือกเย็น
ถึงแม้ว่า…
ภายใต้การพยายามปกปิดอารมณ์ของนางจะทำให้มองอารมณ์ที่แท้จริงไม่ออกก็ตาม
————————————————————————
[1] หลงเชวี่ย นกในตำนานจีนคล้ายกับนกฟีนิกซ์ มีขนสีดำและมีนิสัยดุร้าย