สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 87.2 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ทางด้านของซูหลินที่บรรยากาศคุกรุ่นนั้น ได้นำรถม้าสองคันผ่านเข้าไปล้อมรอบจวนเฉินไว้อย่างรวดเร็ว
เหยียนหลิงจวินรู้อยู่แล้วว่าฉู่สวินหยางจะต้องนำเรื่องที่เขาปกปิดตัวตนของซูอี้มาเล่นงานเขา แต่กลับนึกไม่ถึงว่านางจะเติมฟืนโหมกองเพลิงจนใหญ่ถึงเพียงนี้
เขาไม่มีเวลาใส่ใจคนอย่างซูหลิน เพียงแต่ส่งสายตามองตามหลังสวินหยางด้วยความกังวล หลังจากที่นางเดินผ่านเขาไป ก็ไม่หันกลับมามองสักนิด เดินตรงดิ่งไปยังประตูวังโดยหันหลังให้เขาที่ยืนอยู่
ไม่นาน ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีฮุยก็ออกมาจากวังพร้อมกัน
ฉู่สวินหยางก้าวตามไปสองก้าว ก่อนจะกล่าวทักทาย
พักนี้เนื่องจากมีเรื่องของคนแซ่เหลย ฉู่ฉีฮุยจึงรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง ทั้งท่าทีก็ยังดูอ่อนล้า เขาเพียงแค่พยักหน้ารับจากนั้นก็เดินนำหน้าไปหาขบวนรถ
ฉู่สวินหยางปรายสายตาไปยังภายในประตูวัง ถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อล่ะ? เหตุใดถึงไม่ได้ออกมาด้วยกัน?”
“ฝ่าบาทถูกลอบสังหารยังคงตกพระทัยอยู่ คืนนี้ท่านพ่อและท่านลุงทุกคนจึงอยู่เฝ้าในวัง” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ยกมือวางที่ไหล่ของนาง “ค่ำมืดปานนี้ พวกเราก็กลับกันก่อนเถอะ!”
“อื้อ!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร สายตาของฉู่ฉีเฟิงที่มองผ่านนางไป ก็ยังคงรับรู้ถึงอาการแปลกๆ
ดวงตาของเขาดำดิ่งลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรออกมา เพียงแต่เอ่ยกับฉู่เยว่ซินและฉู่เยว่หนิงที่อยู่ด้านข้างว่า “ขึ้นรถกันเถอะ เดี๋ยวก็จะออกเดินทางแล้ว”
“เข้าใจแล้ว!” ทั้งสองคนขานรับ ก่อนจะเดินนำขึ้นรถม้าไปก่อน
สวินหยางเม้มริมฝีปาก ไม่ได้ขึ้นไปนั่งกับสองคนนั้น แต่กลับเดินขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหลังแทน
ฉู่ฉีเฟิงหยีตา มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยปรากฏเป็นรอยยิ้ม…
เด็กคนนี้มีเรื่องอยู่ในใจอีกแล้ว ท่าทีที่เปลี่ยนไปนั้นกลับเปิดเผยตัวเองออกมาซะแล้ว
“ท่านชาย!” เจี่ยงลิ่วมองเขาอย่างงุนงง เดินอ้อมมาจากด้านหลัง เอ่ยเตือนด้วยเสียงราบเรียบ “ซื่อจื่อกับใต้เท้าเหยียนหลิงดูเหมือนจะมีเรื่องกันแล้ว!”
ฉู่ฉีเฟิงรวบรวมสติ ก่อนจะปรายสายตามอง
ช่วงเวลาเที่ยงคืน ยามที่ดวงจันทร์เคลื่อนผลัดเปลี่ยน แม้ว่าภายในประตูวังจะแขวนโคมไฟไว้อย่างละลานตา แต่แสงก็ยังส่องสว่างไปไม่ถึง นอกจากเงาผู้คนขมุกขมัวแล้ว อย่างอื่นก็แทบแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด
สายตาของฉู่ฉีเฟิงสั่นพร่าเล็กน้อย ค่อยๆ มองฝ่าความมืดไป…
ตอนที่ออกจากวังมาเมื่อครู่ เขามองเห็นฉู่สวินหยางเดินมาจากทางนั้นไกลๆ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับนาง แม้ว่านางจะไม่พูด ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่คิดจะซักถาม เพียงแค่เผยรอยยิ้มพูดกับเจี่ยงลิ่วว่า “ไปเถอะ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราเสียหน่อย!”
พูดจบก็เดินอย่างรวดเร็วไปทางรถม้าที่จอดคอยอยู่
องครักษ์ลากม้ามาให้เขา แต่เขากลับรั้งมือกลับ เดินตรงดิ่งผลุบหายเข้าไปในรถม้าแทน
ฉู่สวินหยางเดิมทีกำลังขลุกกับการรินชาให้ตนเองอยู่ พอเงยหน้าก็พบเข้ากับฉู่ฉีเฟิงที่ตามขึ้นมา จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย“ท่านพี่ เหตุใดจึงขึ้นมานั่งรถคันนี้ล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ข้าดื่มสุราในงานเลี้ยงมากไปหน่อย อยากจะยืมรถม้าของเจ้าพักผ่อนสักครู่” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เข้ามาก่อนจะจัดแจงหาที่นั่งลง
ฉู่สวินหยางมีท่าทีเหนื่อยหน่าย จึงไม่มีอารมณ์ต่อกรกับเขา ทั้งยังคลำหาหมอนนุ่มแถวนั้นโยนส่งให้เขาไปพลาง
ฉู่ฉีเฟิงรับไว้ ก่อนจะนำไปซ้อนพิงด้านหลัง
ฉู่สวินหยางรินชาส่งให้เขา ทั้งยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา
ฉู่ฉีเฟิงยกถ้วยชากระเบื้องลายครามชั้นดีขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ สายตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเอาแต่จ้องมองไปที่ใบหน้านางไม่หยุด
ภายใต้แสงตะเกียง นางหรี่ตาลง ขนตาที่งอนยาวซ้อนทับกันเป็นเงา ปกคลุมดวงตาไปเกือบครึ่ง ทำให้มองเห็นแววตานั้นไม่ชัด ขบเม้มริมฝีปาก ไม่ปริปากพูดใดใด
เป็นลักษณะท่าทางที่นางมักจะทำในเวลาโมโห แม้แต่นางเองก็สังเกตไม่เห็นถึงความคุ้นชินนี้
ไม่เปิดเผย ไม่แสดงอะไรออกมา แต่เมื่อพบเจอแล้วกลับทำให้รู้สึกปวดหัว
นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้เห็นเด็กคนนี้อารมณ์เสียอย่างนี้?
สายตาฉู่ฉีเฟิงยังตรึงอยู่ที่ใบหน้า ในดวงตาส่องประกายความอ่อนโยน ค่อยๆ จมดิ่งลงไป ย้อนคิดกลับไปในอดีต
ครั้งที่แล้วที่นางโกรธจนไม่สนใจใครไปหลายวัน เป็นเพราะปีนั้นหลังจากที่เขาหลบอยู่ในอุโมงค์สวนดอกไม้ตำหนักโซ่วคัง ไม่ให้นางได้พบเจอ นางก็ร่ำไห้สะท้านฟ้าสะเทือนดินต่อหน้าผู้คนมากมาย ครั้งนั้นที่นางออกมาจากวังก็ไม่มองหน้าเขาถึงห้าวันเต็มๆ ทั้งยังไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ การตั้งแง่ตั้งงอนของนางนั้น แม้แต่จะอาศัยฉู่อี้อันมาสอนนางด้วยใบหน้าจริงจังก็ใช้ไม่ได้ผล ท้ายที่สุดแล้ว ดีที่ประจวบเหมาะกับเทศกาลชีซี[1] เขาตะล่อมนางอยู่นานกว่านางจะยอมไปเดินเที่ยวงานวัดกับเขา เรื่องนี้จึงจบลงไปได้ด้วยดี
เวลานี้ผ่านไปหลายปีแล้ว ยากนักที่จะพบนางอารมณ์เสีย เห็นได้ชัดว่ามีคนไปแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว
ฉู่ฉีเฟิงที่กำลังคิดนั้นสติไม่อยู่กับตัว
ฉู่สวินหยางที่ถูกเขาจ้องอยู่พักใหญ่ ถึงแม้จะแค่ถูกมอง แต่นางก็ไม่ปล่อยผ่านไป มองกลับไปด้วยความขุ่นเคือง“ท่านพี่ อย่าบอกนะว่าท่านเมาสุรา? เหตุใดจึงจ้องมองข้าเช่นนี้เล่า?”
ฉู่ฉีเฟิงหัวเราะร่า ดึงสติกลับมาก่อนจะยื่นถ้วยชาส่งคืนให้นาง “เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ก็เลยคิดว่าข้าทำอะไรผิดต่อเจ้าไปน่ะสิ!”
ฉู่สวินหยางมึนงง ก่อนจะเริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย พอคิดได้ว่าคนที่นั่งตรงข้ามนางคือฉู่ฉีเฟิงท่าทีก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นไม่แยแสอะไร ก่อนจะหันหน้าหนีไม่สนใจเขา
ฉู่ฉีเฟิงส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาก็ไม่เคยไล่เอาคำตอบ เขาค่อยๆหลับตาลงครุ่นคิด
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหยียนหลิงจวิน ข่าวคราวที่เขาได้ยินมาช่วงนี้ก็มีไม่น้อย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องกัน เป็นความห่วงใยที่พี่ชายมีต่อน้องสาว ระหว่างเขาและฉู่สวินหยางหากแม้ต้องพูดตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการก้าวก่ายมากมายแต่อย่างใด เพียงแต่เขาไม่อยากจะเอ่ยปาก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็คือยังมีความไม่เต็มใจที่จะบอกอยู่บ้าง
พูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนผู้หนึ่งที่มีภูมิหลังไม่ชัดเจนทั้งยังอาจจะแอบแฝงความอันตรายเอาไว้ ในใจเขาก็มีสัญชาตญาณเตือนให้ออกห่างจากความลึกลับนั้น…
ฉู่สวินหยางไม่พูด เขาก็จะไม่ถาม!
ถึงแม้ว่า…
ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่อยากได้ยินนางพูดถึงผู้ชายคนนั้น!
ความรู้สึกนี้ ยังมีความซับซ้อนอยู่บ้าง เวลาที่ผ่านมาสิบสี่ปีของเขาล้วนแต่มีความขัดแย้งในการยึดมั่นหลักการและบรรทัดฐาน แต่ว่าครั้งนี้เขาเองก็ยอมปล่อยตัวเองไปกับความคิดแปลกๆ เช่นนี้ หรือว่า…
พูดตามตรงก็คือ เป็นแค่ความคิดส่วนตัวของเขาเอง
บนรถม้าเงียบสงัดไร้เสียง สองพี่น้องต่างก็นั่งขบคิดเรื่องราวภายในใจอย่างเงียบๆ
นั่นกลับเทียบไม่ได้กับ ซูอี้และเหยียนหลิงจวินที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังไกลๆ คลับคล้ายกลับจะถูกพายุโหมกระหน่ำเข้ามา เวลานี้ยังไม่พร้อมตั้งรับกับความโกรธเกรี้ยวของซูหลิน
ด้านหลังของวังมีผู้คนทยอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย เวลานี้ซูอี้อยากที่จะหลบหนี
ไม่ใช่ว่าเพราะเรื่องวันนี้
แต่เป็นเพราะ…
เมื่ออยู่ต่อหน้าซูหลินและสกุลซูคนอื่นๆ เขาไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้
โดยเฉพาะซูหลินนั้น…
ครั้งนี้ฉู่สวินหยางสร้างความลำบากให้เขาแล้วจริงๆ
กล่าวว่าถึงจะแพ้ก็ต้องแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี ถึงจะว่าอย่างนั้นในใจกลับคร่ำครวญไม่ขาดสาย ซูอี้รีบปรับใบหน้าเคร่งครึมคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว รอคอยเวลาที่กลุ่มของซูหลินจะเดินผ่านมา
ตอนที่ซูอี้ออกจากตระกูลนั้น ซูหว่านยังเป็นเพียงเด็กน้อย จึงแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขา จากที่ฉู่สวินหยางพูดมา รูปลักษณ์ของคนผู้นี้กับพี่ชายใหญ่ของเขาดูคล้ายกันจริงๆ นางถึงกับตกตะลึง มือชี้ไปที่ซูอี้อย่างคาดไม่ถึง “จะ…เจ้า เหตุใดถึง…”
เสียงของนางขาดหายไป ราวกับค้างอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ใบหน้าของซูหลินมีน้ำแข็งค้างปกคลุมไว้ แววตาดุดันเย็นเยียบจ้องมองไปที่ชายหนุ่มแปลกหน้ารูปงามคนนั้น
เขากัดฟันอดกลั้นความโกรธสุดกำลัง และเพราะว่าอดกลั้นเอาไว้ กล้ามเนื้อกรามนั้นจึงกระตุกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อซูอี้ยืนประจันหน้ากับเขา ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มที่ส่องสว่างราวกับหยกเม็ดงาม ดั่งคลื่นน้ำที่เงียบสงบ เพียงแต่ดวงตานั้นกลับซ้อนทับด้วยความเยือกเย็น ดูยากที่จะรับมือ
ทางด้านของเหยียนหลิงจวินกลับไม่สนใจสองคนนั้น เอาแต่มองไปตามทางที่รถม้าของวังบูรพาเคลื่อนห่างไกลออกไป แววตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ลึกลงไปในตาคู่นั้น ราวกับว่ายังคิดอะไรอยู่
สักพัก เขาก็โบกมือเรียกอิ้งจื่อ ออกคำสั่งกับนางสองประโยค
อิ้งจื่อฟังด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ
เหยียนหลิงจวินปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก โบกมือสั่งอีกครั้ง “ไปเถอะ! ไม่ใช่ว่านางโกรธข้า แล้วนางจะไม่สนใจข้าสักหน่อย เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว!”
อิ้งจื่อเป็นองค์รักษ์ลับมือดีที่สุดของเขา ทุกครั้งที่เขาออกคำสั่งก็จะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงแม้ครั้งนี้นางจะไม่ได้ขัด แต่ก็ยังลังเลอยู่บ้าง แววตาซับซ้อนมองไปยังเขา ก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง หมุนตัวเร้นกายไปท่ามกลางความมืด
————————————————————————
[1] เทศกาลชีซี เทศกาลแห่งความรักของจีน