สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 87.3 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ทางฝั่งของซูอี้และซูหลินที่เผชิญหน้ากันมาสักพักใหญ่ เป็นซูหลินที่อดไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
ระหว่างที่พูด สายตาก็เหลือบไปทางเหยียนหลิงจวิน
คนผู้นี้และฉู่สวินหยางต่างก็เป็นพวกเดียวกัน ทั้งยังเคยลงมือหมายที่จะเอาชีวิตของซูหว่าน
แล้วเหตุใด? ซูอี้จึงอยู่กับเขา? หรือจะเป็นไปได้ว่า เหยียนหลิงจวินนั้นได้รับความช่วยเหลือจากซูอี้ ดังนั้นจึงกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนอ๋องฉางซุ่นอย่างเปิดเผยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
มิน่าล่ะ? มิน่าล่ะ!
ไม่จำเป็นที่อีกฝ่ายจะออกมายอมรับ เพราะขณะนี้ความโกรธในใจของซูหลินได้เตรียมปะทุออกมาแล้ว
ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นประตูวังที่คนเข้าออกมากมายล่ะก็ เขาคงจะอดทนไม่ไหว ลงมือจัดการกับเจ้าคนชั่วนี่ไปแล้ว!
“พี่ใหญ่ เขาเป็นใครกันแน่?” ใบหน้าของซูหว่านเต็มไปด้วยความสงสัย เริ่มแยกรูปลักษณ์ระหว่างคนสองคนออกแล้ว
“หว่านเอ๋อร์ เขาก็เป็นพี่รองของเจ้ายังไงเล่า!” ซูหลินพูดเสียงราบเรียบ เขากัดฟันพูดเน้นชัดทุกถ้อยทุกคำด้วยความเย้ยยัน “เขาออกจากจวนไปหลายปีแล้ว เจ้าจำไม่ได้ ยังไม่รีบมาดูอีก”
ซูหว่านตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อสติกลับมาจึงค่อยเอ่ยออกมา “ท่านพี่เคยบอกว่าเขาเป็นคนที่ถูก…”
พูดได้ครึ่งเดียว นางจึงค่อยตระหนักได้ว่าแสดงท่าทีไม่งามต่อหน้าผู้คน รีบร้อนหุบปากที่อ้ากว้างด้วยความตื่นตะลึงลง มองไปที่ใบหน้าสง่างามทว่าเรียบนิ่งที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มของซูอี้ อาการนั้นราวกับไม่ใช่อาการที่ปรากฏยามที่ตัวเองได้พบกับพี่น้องที่แยกจากกันไปนาน แต่กลับเป็นอาการที่ราวกับมีสัตว์ร้ายกินคนปรากฏขึ้นตรงหน้า
ซูอี้มองข้ามอาการนั้นของนางไป
ซูหลินเหยียดยิ้มตรงมุมปาก แววตาจับจ้องไปที่หน้าเขา ค่อยๆ กล่าวทวนซ้ำด้วยโทนเสียงเย็น “ใช่แล้ว เขาเป็นพี่รองของเจ้า! หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่พบเขามานาน เป็นอย่างไร คงจะถูกใจล่ะสิ!”
มุมปากของซูหว่านขยับเล็กน้อย นางอยากจะพูด แต่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ใบหน้ายังปรากฏอาการคล้ายกับเจอผี ตื่นตะลึงจนเรียบเรียงเป็นคำพูดไม่ออก
ด้านข้างนั้นก็ยังคงมีคนผ่านไปมาลอบมองมาไม่หยุด
ซูอี้เปรยยิ้มมองไปยังพี่น้องที่แสดงอาการต่างจากเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ วันนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจมาพบท่าน ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ ท่านคงยังมีธุระอื่นอีก เช่นนั้นเชิญท่านตามสบายดีหรือไม่?”
พูดจบก็เบี่ยงกาย เปิดทางให้สองคนนั้นเดินผ่านไป
คำพูด ‘พี่รอง’ ที่ซูหลินพูดขึ้นมา ก็เพื่อใช้ในการเหน็บแนมเขาเท่านั้น ไม่อยากจะมองเขาอยู่ในสายตา แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ซูอี้กลับใช้คำพูดราวกับไม่ใช่คนในตระกูลมากล่าวกับพวกเขา คำว่า ‘พี่ใหญ่’ ยังไงก็ไม่มีทางออกจากปากเขาแน่
แววตาของซูหลินจมดิ่งลึก ความแค้นทั้งเก่าใหม่ปนเปปะทุขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อทนไม่ไหวจึงก้าวมาข้างหน้าดึงคอเสื้อของซูอี้ จ้องมองระยะประชิด เค้นพูดขึ้น “พูดสิ เจ้าต้องการอะไรกันแน่? ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาข้าถึงเมืองหลวง? ทำตัวลับๆล่อๆ บอกข้ามา ว่าเจ้าก่อเรื่องลับหลังพวกเราไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว?”
ครั้งนั้นที่ประตูจวนซู เป็นเขาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยอมรับว่าลูกเล่นของเหยียนหลิงจวินนั้นมีมากมายอยู่จริง แต่ไฉนซูอี้กลับมีความสามารถเช่นนี้ด้วย หากไม่ใช่เพราะวันนี้พบเจอเรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ ไม่แน่ว่าเขาก็ยังจะถูกเล่นงานอยู่แบบนี้เรื่อยๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงมาก่อน เด็กเหลือขอที่สกุลซูเกือบหลงลืม วางแผนทำเรื่องอย่างลับๆ ทั้งยังทำเรื่องมากมายถึงเพียงนี้?
ความคิดต่างๆ ไหลผ่านเข้ามาในหัวของเขา ซูหลินที่อดกลั้นไม่ไหวนั้นค่อยๆ แผ่บรรยากาศเยือกเย็นออกมา มองไปที่แววตาของซูอี้ที่กำลังเตรียมพร้อมรับมืออยู่เช่นกัน
ใบหน้าของซูอี้ยังคงปรากฏอารมณ์เช่นเดิม หลุบตามองตามมือที่จับคอเสื้อเขาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ที่นี่คือประตูวัง ข้างหลังซื่อจื่อไม่เกินสามร้อยก้าว มีทหารรักษาการณ์เฝ้าระวังอยู่ หากเกิดเรื่องขึ้นมา คงมิวายจะถูกลากไปสอบถามต่อหน้าฝ่าบาท ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาจะอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ท่านคิดว่าทำแบบนี้เหมาะสมหรือไม่เล่า?”
วังหลวงเป็นเขตหวงห้าม มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถึงแม้จะอยู่บริเวณภายนอก ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก่อเรื่อง
หากสกุลซูจะปิดประตูทุบตีในจวนอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดสนใจอยู่แล้ว เพียงแต่ที่นี่คือ…
นี่เป็นเรื่องที่ควรจะตระหนัก!
ซูหลินเมื่อได้ยินดังนั้น จึงเกิดลังเลขึ้นมาชั่วขณะ
ด้านซูหว่านที่เวลานี้ปรับท่าทีมาเป็นอย่างเช่นเคย รีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ดึงมือของซูหลิน กล่าวว่า “ท่านพี่ ด้านข้างมีคนมากมายกำลังมองอยู่ เหตุใดพวกเราไม่กลับไปคุยที่จวนก่อนเล่า!”
ซูหลินคลายมือออกด้วยความโกรธ
ซูอี้จึงค่อยๆ จัดแจงคอเสื้อให้เข้าที่เข้าทางอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับไม่มีใครยอมถอยกลับ
ซูหว่านที่ดูอยู่นั้น อดที่จะสับสนไม่ได้ ร้องเตือนออกไป “ท่านพี่!”
ซูหลินถึงค่อยแค่นหัวเราะออกมา กล่าวอย่างเย้ยยันขึ้นว่า “สกุลซูของพวกเรามีเกียรติสูงส่ง ไม่อาจยอมให้เจ้ามาทำเรื่องแปดเปื้อน ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่ามาทำเรื่องลับหลังข้า มิฉะนั้น… ถ้าเจ้ายังตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยกับจวนอ๋องฉางซุ่นล่ะก็ ปีนั้นอาจเพราะท่านพ่อเมตตาจึงไม่สืบสาวเอาความจากเจ้า แต่หากเป็นข้า ไม่ว่าจะบัญชีแค้นเก่าใหม่ของเจ้า ข้าจะนำมาชำระความให้หมด”
เขาย้ำเตือนด้วยความหนักแน่นชัดเจน
แววตาของซูอี้ที่สงบคล้ายคลื่นน้ำราบเรียบ เวลานี้กลับเผยความเยือกเย็นออกมา เพียงแต่อาการนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่มีใครสัมผัสได้
“เชิญทำตามที่ท่านต้องการเถอะ!” เขายิ้มหน้าระรื่น จัดคอเสื้ออย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ก่อนจะวางมือลงแนบกาย
ซูหลินรู้สึกราวกับไม่สามารถจัดการอะไรเขาได้ ในใจจึงโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ด้านซูอี้นั้นเบนสายตาหนีไม่สนใจเขาอีกต่อไป
ท่าทางของเขานั้นไปกระตุ้นความโกรธซูหว่านเข้า นางจึงพูดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ “เจ้าคุยกับพี่ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะว่าเจ้าทำเรื่องพวกนั้น ถูกขับไล่ออกจากตระกูลจึงเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว เป็นเพราะความเมตตาของท่านปู่และท่านพ่อเจ้าถึงได้มีโอกาสอย่างทุกวันนี้ ตอนนี้เจ้ายังไม่แม้แต่สำนึกผิด ยังกล้ากำเริบเสิบสานไม่ให้เกียรติพี่ใหญ่? เจ้า… เจ้ามันบ้าเสียสติ สันดานหยาบช้า!”
คำพูดพวกนี้ไม่ใช่แค่คำวิจารณ์ธรรมดาซะแล้ว
เหยียนหลิงจวินยืนพิงอยู่ที่ข้างประตูรถม้า
เขาไม่ได้ร่วมผสมโรง แต่ก็ไม่ได้ไปไหน เพียงแค่ยกมือสองข้างขึ้นกอดอก มองไปยังผืนฟ้าที่ย้อมสีดำไกลสุดลูกลูกตาพลางครุ่นคิดเรื่องราวของตนเอง ไม่ได้ให้ความสนใจกับสถานการณ์ตึงเครียดที่อยู่ตรงหน้าระหว่างซูอี้และพี่น้องสกุลซูแม้แต่น้อย
ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะหันมาสนใจ ส่งแววตาเจือความกังวลหันไปมองทางซูอี้
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของซูอี้นั้นกำแน่นขึ้นอย่างเงียบเชียบ ราวกับกำลังอดกลั้นอย่างสุดกำลัง แต่เพียงพริบตาเดียว เขาก็เผยรอยยิ้มเยือกเย็น เอ่ยปากพูด
“ใช่แล้ว!” เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ซูหว่านจึงรีบถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ หลังจากที่รอยยิ้มเรียบนิ่งของเขาปรากฏอยู่ในสายตาของนาง จึงค่อยพูดด้วยท่วงท่าอ่อนโยนและสง่างามอย่างช้าๆ ว่า “ในเมื่อรู้ว่าข้านั้นหยาบช้าไม่สู้เจ้า ยังกล้าใช้คำพูดเช่นนี้มากล่าวกับข้างั้นหรือ? หรือเจ้าไม่กลัวว่าอยู่ๆ ข้าอาจจะเสียสติขึ้นมา ทำเรื่องที่เจ้ายากที่จะจินตนาการถึงผลลัพธ์ของมันได้?”
บนใบหน้าของเขายังปรากฏรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและนุ่มนวลราวกับไม่สามารถจะไปทำร้ายใครได้
เมื่อคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ในใจของซูหว่านก็ยิ่งสั่นไหวไม่หยุด ค่อยๆ ถอยหลังกลับไปด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
ซูหลินนั้นดึงตัวนางมาไว้ด้านหลัง ยืดตัวบังซูหว่าน พูดเสียงเย็น “ซูอี้ เจ้าอย่ามาได้คืบจะเอาศอก ข้าจะบอกเจ้าให้ เรื่องระหว่างเราวันนี้ยังไม่จบ วันหลังข้าจะกลับมาคิดบัญชีแน่”
ซูอี้นั้นไร้อารมณ์ที่จะปะทะฝีปากกับเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอยออกมา พูดอย่างสบายๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะคอย!”
ซูหลินนั้นรู้ดีว่าสถานที่แบบนี้ไม่เหมาะแก่การลงมือ จึงสะบัดผ้าคลุมอย่างอารมณ์เสีย หมุนตัวกลับไป ยามที่กำลังจะผ่านเหยียนหลิงจวินคล้ายกับหาที่ระบายอารมณ์ได้ เหยียดยิ้มเย็นกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนอย่างไร เจ้าเองก็คงยังไม่รู้แน่ชัด ข้าไม่รู้หรอกนะว่า เหตุใดเขาจึงยอมรับในตัวเจ้า ถึงขนาดยอมให้เจ้าบงการเช่นนี้ แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา ซื่อจื่อจะเตือนเจ้าไว้ประโยคหนึ่ง…”
ขณะที่เขากำลังพูด ก็สื่อเป็นนัยโดยการหันกลับไปจ้องที่ซูอี้เขม็ง แฝงไปด้วยความเหน็บแหนมรอดูละครฉากใหญ่ที่จะเกิดขึ้น “ฝากเนื้อไว้กับเสือ ถ้าไม่อยากถูกกัดจนเหลือแต่กระดูก เจ้าก็ต้องรีบถอนตัวออกมา!”
“ข้าจะคบสหายอย่างไร หรือจะคบค้าสมาคมกับคนเช่นใด ก็ยังมิวายถูกซื่อจื่อสอดมือยุ่งเกี่ยว!” เหยียนหลิงจวินกล่าวราบเรียบ เหลือบตามองเขา แววตาผ่อนคลายนั้นไม่ต่างจากซูอี้เท่าไร “ข้าไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องในบ้านสกุลซู เป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ อยากให้ซื่อจื่อใคร่ครวญสถานะตนเองดูสักหน่อย หากได้คืบจะเอาศอก! ก็ใช่ว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆ !”
“เจ้าพูดอะไร? เจ้ากำลังขู่ซื่อจื่องั้นรึ?” ซูหลินอ้าปากพะงาบๆ สักพักจากที่โกรธกลับเปลี่ยนเป็นยิ้ม “เหยียนหลิงจวิน เจ้านับเป็นตัวอะไรกันแน่? อาศัยลูกไม้ตื้นๆ มาหลอกลวงผู้คนเอาความดีความชอบเป็นคนดังต่อหน้าฝ่าบาท นี่หรือวีรบุรษของราชสำนัก? น่าขันสิ้นดี! เหิมเกริมเป็นที่สุด!”
“ข้าเหิมเกริมแล้วอย่างไร? หลอกลวงแล้วอย่างไร? อย่างน้อยข้าก็มีความสามารถในด้านนี้” เหยียนหลิงจวินยังคงยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวให้เขา “ท่านถามว่า ข้าเป็นตัวอะไร? แต่เหตุใดไม่ลองถามตนเองก่อนเล่า? ว่าท่านเป็นตัวอะไร? ตัวข้านั้นอาจจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ไม่ได้เอาแต่พึ่งบารมีเก่าของสกุลเพื่อเอาหน้าเอาตาเสียหน่อย ท่านดูแคลนข้า ข้าก็ดูแคลนท่านเช่นกัน ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็เกลียดกันเช่นนี้ เหตุใดจึงจะต้องมาเสียเวลากันอยู่แบบนี้เล่า?”
————————————————————————