สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 88.1 ลอบสังหารกลางดึก (1)
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซูหลินถามเสียงระคนโมโห
องค์รักษ์ที่คุมกันอยู่ด้านนอกต่างก็เตรียมการคุ้มกัน ก่อนคนสนิทของเขาจะเปิดประตูรถ กล่าวว่า “ซื่อจื่อ ด้านหน้ามีคนสู้กันขอรับ เหมือนว่ารถคันนั้นก็เพิ่งจะออกจากงานเลี้ยงวังหลวงเช่นกัน พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?”
ขณะพูดก็กล่าวเพิ่มอีกประโยคด้วยความกังวล ”ทั้งสองกลุ่มดูอย่างไรก็เป็นคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดา!”
หมายความว่า นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
คืนสิ้นปี คนที่เข้าวังร่วมงานเลี้ยงของแคว้นในวันนี้ได้นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นขุนนางระดับห้าขึ้นไป แต่ก็กลับเกิดเรื่องลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้งกลางเมืองหลวงเช่นนี้?
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องธรรมดาไม่
แววตาของซูหลินนิ่งไปชั่วครู่ รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ ถนนสายนี้ ก่อนจะหน้าเปลี่ยนสี กล่าวอย่างโมโห “นี่ไม่ใช่ทางกลับจวนนี่!”
ซูหว่านนั้นตกใจตามไปด้วย
“ซื่อจื่อโปรดระงับความโกรธ” องค์รักษ์คนนั้นกล่าวด้วยเกรงกลัว “ตอนพวกเราออกจากวัง รถม้าแต่ละจวนก็ล้วนออกตามกันมา ถนนด้านตะวันออกนั้นจึงแน่นขนัด ข้าน้อยเห็นท่านเร่งรีบจึงตัดสินใจมาทางนี้เองขอรับ”
องค์รักษ์ผู้นี้รับใช้ซูหลินมาหลายปี นับว่าเชื่อถือได้ แม้ว่าจะยังไม่วางใจ แต่เมื่ออธิบายมาเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล
“รถม้าสองคันนั้น…” ซูหว่านนั้นยังคงจมอยู่กับความคิด มองไปด้วยความสงสัย ก่อนหัวใจนางจะบีบรัดอย่างแรง “พี่ใหญ่ บนรถคันนั้นเหมือนจะมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์โม่เป่ย หรือว่าผู้ที่ถูกโจมตีจะเป็นทั่วป๋าไหวอัน”
ความสัมพันธ์ระหว่างซูหลินและทั่วป๋าไหวอันนั้นไม่นับว่าเป็นมิตร เห็นแต่จะออกไปทางศัตรูเสียมากกว่า
ซูหลินในตอนนี้ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบหันกลับขึ้นรถม้า ออกคำสั่งว่า “อย่ายุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องดีกว่า กลับรถแล้วไปต่อได้ ”
ทั้งสองฝ่ายที่ประมือกันอยู่ด้านหน้าล้วนแต่มีฝีมือ องค์รักษ์ของสกุลซูทราบเรื่องนี้ดี จึงไม่รอช้าทำตามคำสั่งทันที เตรียมกลับรถไปยังทางที่มักจะใช้เวลากลับจวน
“แต่ว่า…” ซูหว่านชะเง้อออกไปนอกหน้าต่างหันกลับไปมอง เห็นการต่อสู้ดุเดือดทางนั้นจึงรู้สึกกังวลใจ “พี่ใหญ่ ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ว่าท่านไม่ถูกกับทั่วป๋าไหวอัน หากเป็นคนอื่นก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเรากลับไปเช่นนี้แล้วเกิดเรื่องกับเขาขึ้นมา เรื่องอาจจะตกมาที่ท่านพี่ก็ได้”
ซูหลินนั้นยินดีอย่างมากหากจะเกิดเรื่องขึ้นกับทั่วป๋าไหวอัน แต่อย่างไรก็ยังคงเชื่อในคำกล่าวนั้น…
วาจาของคนเป็นสิ่งที่น่ากลัว
แววตามืดมนของเขาลังเลไปชั่วขณะ ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจ ปากซอยตรงหน้าก็ปรากฏกลุ่มคนชุดดำบุกจู่โจมเข้ามา
คนผู้นั้นปรากฏตัวว่องไวปราดเปรียว เห็นได้ชัดว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ถนนด้านตะวันออกนั้นเป็นถนนสายหลัก ส่วนถนนด้านนี้ถึงจะไม่แคบมาก แต่หากเป็นสกุลชั้นสูงที่ออกงานอย่างเป็นทางการย่อมต้องรักษาหน้าตา ดังเช่นรถม้าของสกุลซูสองคันนี้ที่มีขนาดใหญ่ จึงทำให้ติดอยู่ในซอยครึ่งหนึ่ง
ผู้ที่มานั้นติดอยู่ทางปากถนน จึงเกิดความลังเลขึ้นชั่วครู่
องค์รักษ์ที่ได้รับคำสั่งนั้นตกใจ รีบกล่าวออกไปทางด้านหน้า “พวกเราเพียงผ่านมาเท่านั้น เชิญพวกท่านตามสบายเถิด!”
คนชุดดำอีกฝ่ายนั้นดูเหมือนไม่อยากจะมีปัญหา เมื่อเห็นว่ารถม้าคันด้านหน้าไม่ใช่เป้าหมายที่เขาต้องโจมตีจึงไม่อยากเสียเวลาเข้าไปยุ่ง
ตอนที่หัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำนั้นกำลังจะโบกมือ กลับมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้น…
ดาวกระจายแวววับสีเงินพุ่งทะลุผ่านอากาศออกมา
ปฏิกิริยาคนชุดดำนั้นว่องไวเป็นอย่างมาก เบี่ยงกายหลบไปทางด้านข้างทันที จึงรอดตายอย่างหวุดหวิด ทว่าคนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่โชคดีเช่นนั้น เพราะมองเห็นไม่ชัดว่าด้านหน้าเกิดอะไรขึ้น จึงตั้งรับไม่ทันถูกอาวุธลับนั้นปักเข้าที่หัวไหล่ ชั่วพริบตาก็ครางในลำคอ ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงก็ล้มหน้าคว่ำ แขนขาชักกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป
“อาวุธมีพิษอยู่” มีคนส่งเสียงเตือนออกมา
อาวุธนั้นไม่เพียงแต่อาบยาพิษ ทั้งนี้ฤทธิ์ของมันก็รุนแรงจนสามารถปลิดชีพคนได้อย่างทันที
ทว่าหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำที่มีการสังเกตที่เฉียบคมนั้น กลับได้เห็นว่าอาวุธลับพวกนั้นถูกขว้างออกมาจากทางองค์รักษ์ของสกุลซู จึงโบกมือทั้งโกรธเกรี้ยวที่เสียรู้ “พวกมันล้วนเป็นพวกเดียวกัน ฆ่าให้หมด!”
พูดไม่ทันจบก็ลงมือด้วยความรวดเร็ว มีดโค้งรูปร่างประหลาดทะยานจากฟ้าพุ่งจู่โจมไปทางหัวหน้าองค์รักษ์สกุลซู
วรยุทธ์ที่เลิศล้ำ ออกดาบปัดป้องได้อย่างแน่นหนา มีดโค้งรูปร่างประหลาดนั้นวาดออกเหมือนตาข่ายที่กางหุ้มกลางอากาศ
องค์รักษ์สกุลซูคิดว่าฝั่งตรงข้ามนั้นมีฝีมือมาก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจจนตั้งรับไม่ได้ถึงเพียงนี้ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น จึงทำได้เพียงต่อสู้จนร่วงลงจากหลังม้าหนีตายออกไปเท่านั้น
คนชุดดำเหล่านี้คิดไปแล้วว่าพวกเขาสมคบคิดกับทั่วป๋าไหวอัน ชายชุดดำนับสิบคนจึงถือมีดบุกเข้ามา
ภายในรถม้า ซูหว่านนั้นหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือกไปตั้งนานแล้ว
เวลานี้ซูหลินจึงนึกออกขึ้นมา…
เขาได้ตกอยู่ในแผนลับของใครบางคนเข้าให้แล้ว!
แต่ยามนี้บ่นแค้นอยู่ในใจก็ไม่ช่วยอะไร เพราะอีกฝ่ายบุกเข้ามาแล้ว หลบอยู่ในรถม้าก็เท่ากับรอความตายเท่านั้น คิดได้เช่นนั้นก็รีบดึงซูหว่านลงจากรถทันที ฉวยโอกาสตอนที่องค์รักษ์ต้านคนชุดดำไว้ คว้าเอวของซูหว่านมาหลบด้านข้างกำแพงเตี้ยเพื่อเตรียมกระโดดหนี
แม้จะป้องกันอย่างแน่นหนาแต่ก็ยังมีช่องโหว่ ราวกับมีคนตั้งใจสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นพิเศษ เมื่อเห็นว่าเขาเตรียมที่จะหาทางหนี ในความมืดก็ปรากฏดาวกระจายพุ่งเข้ามาหาเขาในฉับพลัน
เมื่อชั่วครู่แม้เขาจะนั่งอยู่บนรถ ก็เห็นภาพคนชุดดำที่ตายอนาถด้วยอาวุธลับนี้อย่างชัดเจน เวลานี้มือเท้าล้วนเย็นไปหมด ท่ามกลางความตกใจจึงไม่สนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว รีบหลบหลีกไปทางด้านข้าง
อาวุธลับที่ส่งให้คนชุดดำนั้นแฝงไปด้วยความรุนแรงดุดัน แต่กับเขานั้นถือว่าเมตตาอยู่บ้าง ซูหลินที่หลบพ้นนั้นโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วายมีเหงื่อเย็นผุดตามร่างกาย
เขาก่นด่าอยู่ในใจ รู้ว่ามีคนจับตามอง จึงไม่กล้าที่จะลองหนี
ซูหว่านที่ตัวสั่นหลบอยู่หลังเขา พูดเสียงสั่นว่า “พี่ใหญ่ คนพวกนี้สังหารคนไม่ได้หมายจะเอาชีวิต พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?”
ซูหลินมองไปรอบกาย วันนี้เขามีองค์รักษ์ติดตามมาสี่สิบกว่านาย ให้สกัดคนชุดดำไว้ชั่วครู่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับน่ากลัวดุดัน ทั้งยังล้วนมีฝีมือ ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเอาชนะได้ ภายใต้สถานการณ์จนมุมเช่นนี้ ในที่สุดก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ โบกมือกล่าว “ถอยไปยังด้านในตรอด”
ตัดสินเอาจากสถานการณ์ตรงหน้า เพื่อที่จะรักษาชีวิตจึงไม่สนใจเรื่องความแค้นส่วนตัวก่อนหน้านี้แล้ว มีเพียงต้องร่วมมือกับทั่วป๋าไหวอันเท่านั้น จึงจะสามารถดึงเวลารอจนกำลังเสริมมาถึง
ซูหลินดึงซูหว่านวิ่งนำไปก่อน
ทางฝั่งของทั่วป๋าไหวอันนั้นถูกมือสังหารกว่ายี่สิบคนล้อมโจมตี องค์รักษ์ของเขามีมาก ทว่าเวลานี้พละกำลังที่มีอยู่คงจะรั้งได้ไม่เกินหนึ่งเค่อเท่านั้น หกสิบคนหายไปกว่าครึ่ง เขานั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว บนไหล่และบริเวณเอวต่างก็มีบาดแผล ถึงแม้จะไม่ถูกจุดสำคัญ แต่เพราะว่าเสียเลือดมาก จึงสูญเสียกำลังภายใน ใบหน้านั้นไร้สีเลือดไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ทั่วป๋าอวิ๋นจีถูกองค์รักษ์สองคนคุ้มกันอยู่ พิงอยู่ด้านข้างของรถม้า ท่าทีที่ทั้งหวาดกลัวและกดดันมองไปยังการต่อสู้ที่เกิดตรงหน้า ลอบขบริมฝีปากจนมีเลือดไหลซิบออกมา
ท่าทางของนางดูคล้ายกับสามารถรักษาท่าทีไว้ได้อยู่ แต่ตัวนางกลับรู้ดีว่า เหตุการณ์ลอบสังหารที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นนี้ เป็นการข่มขู่ให้นางรับความรู้สึกถึงความตายที่อยู่ตรงหน้า
ซูหลินดึงซูหว่านเข้ามา
ทั่วป๋าไหวอันที่กำลังพยายามต่อสู้นั้นมองเห็นเขา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทียินดีขึ้นมาสักนิด
ซูหลินกลับโกรธเกรี้ยว คำรามเสียงดัง “พวกเจ้าใจกล้านัก ไม่รู้หรือว่าพวกข้าเป็นใครกัน? กล้าทำเรื่องเปิดเผยใกล้เท้าฝ่าบาท ลอบสังหารขุนนางต่างแคว้นและเชื้อพระวงศ์ พวกเจ้ายังมีสมองอยู่หรือไม่?”
มือสังหารพวกนั้นกลับไม่ฟังคำขู่ของเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดขึ้นไปอีก
ทั่วป๋าไหวอันนั้นกวาดสายตามอง สายตาเหยียดหยันนั้นราวกับดูตัวตลกก็มิปาน…
คำพูดไร้สาระเช่นนี้เขาไม่คิดที่จะถาม เพราะว่าหากเป็นดั่งที่ซูหลินกล่าว ที่นี่คือเมืองหลวงใกล้หูใกล้ตาฝ่าบาท คนที่กล้าลงมือกับเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ แทบไม่ต้องคิดมากในใจเขาก็มีคำตอบอยู่แล้ว
แต่ว่าฝีมือที่ร้ายกาจของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาตระหนักถึงอันตรายที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไร้ซึ่งความหวัง ทำได้เพียงพยายามต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลังเท่านั้น
การสังหารที่ดุเดือดนั้น ในขณะเดียวกัน บนหลังคาของเรือนเล็กในซอยด้านหนึ่งนั้นได้มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
เสื้อคลุมคอกว้างสีดำ ตะเข็บสีดำ ตรงมือก็เป็นผ้าทอหยาบสีดำเช่นกัน เพียงแต่ตรงปลายแขนเสื้อนั้นมีปลายนิ้วสีราวไข่มุกอ่อนโผล่ออกมา
เวลานี้ในมือของเขาจับด้ามมีดโค้งที่เอวอย่างเงียบๆ มีดเล่มนั้นถูกห่อไว้อย่างลึกลับ ทว่ารูปร่างที่มองไม่เห็นกลับให้ความรู้สึกถึงอันตรายจากภายใน คล้ายกับสามารถบินออกมาตัดหัวผู้คนจนเลือดพุ่งกระฉูดได้ตลอดเวลา
บริเวณที่เขายืนอยู่นั้นถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด เมื่อมองลงมา ไม่เพียงมองเห็นฉากการต่อสู้ในตรอกอย่างชัดเจน แม้แต่สถานการณ์ทางถนนด้านข้างก็เห็นแจ่มชัด เพียงแค่คนของทางการหรือหน่วยลาดตระเวนผ่านมา เขาก็ย่อมได้เปรียบแน่นอน
………………………………………………………