สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 88.2 ลอบสังหารกลางดึก (2)
คนที่อยู่ในตรอกต่างก็สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ประจวบกับเป็นยามค่ำคืนที่มีความมืดแผ่ปกคลุม ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ทว่าอิ้งจื่อที่แอบเล่นงานซูหลินกับมือสังหารเมื่อครู่นั้นกลับรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขานานแล้ว
คนผู้นี้ถึงแม้จะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่ในมือกลับทำท่าทางแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา…
ในตรอกที่เต็มไปด้วยความเดือดพล่าน เหมือนว่ามือสังหารทั้งหมดจะรับฟังคำสั่งจากเขาเท่านั้น มองดูผิวเผินคล้ายเป็นการสังหารที่ดูวุ่นวาย แต่ความจริงกลับเป็นการสังหารที่เตรียมการมาอย่างดี บีบทั่วป๋าไหวอันให้สิ้นทางหนีไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ความสุขุมและเยือกเย็นในการควบคุมสถานการณ์ใหญ่เช่นนี้…
อิ้งจื่อที่มองดูอยู่นั้นถึงกับตกตะลึงอยู่ในใจ นางไม่แน่ใจว่าคนผู้นั้นมองเห็นนางหรือไม่ แม้แต่จะให้คาดเดาจุดประสงค์ของเขานางก็นึกไม่ออก…
ส่วนบางคนนั้น ได้มองจากที่ไกลไกลตั้งแต่เริ่มแล้ว
คำสั่งที่เหยียนหลิงจวินมอบหมายสำเร็จแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รั้งรอ เตรียมที่จะถอนตัว ก้มตัวหลบจากที่ซ่อนตัวอยู่ออกไปด้านหลังกำแพง
ท่ามกลางคืนที่มืดมิดนั้นกลับมีสายตาเฉียบคมราวกับนกอินทรีเพ่งเล็งมา ในช่วงเวลาอันสั้น แววตาที่แฝงไปด้วยสัญญาณอันตรายนั้นก็จับจ้องไปที่ด้านหลังนาง
สัญชาตญาณอันตรายร้องเตือนขึ้น อิ้งจื่อไม่จำเป็นต้องมองไปด้านหลังก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ยืนอยู่บนหลังคาผู้นั้นพบตัวนางเข้าให้แล้ว ขนที่หลังคอทุกเส้นล้วนตั้งชัน นางปล่อยดาวกระจายออกไปทันที
คนผู้นั้นขยับกายเล็กน้อย กระทั่งอาวุธที่ซ่อนอยู่ในมือนั้นสว่างวาบ ชักมีดโค้งประกายแสงออกมา กระโดดไปอย่างเงียบเชียบ ดาวกระจายที่เดิมทีจะต้องพุ่งเข้าจุดสำคัญ บัดนี้ราวกับถูกฟาดสุดกำลังจนเปลี่ยนทิศไปทางอิ้งจื่อที่กำลังหลบหนี โจมตีไปที่จุดตายของนาง
กำลังภายในที่ฟาดไปกับมีด แท้จริงก็เพื่อตั้งใจให้ไล่ตามนางไป ตอนที่อาวุธลับนั้นย้อนกลับมาความแรงก็ยังเพิ่มขึ้นไม่ลดน้อยแต่อย่างใด ท่ามกลางความมืดมิดนั้นเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหวีดหวิว
อิ้งจื่อคล้ายพบเจอกับศัตรูที่ร้ายกาจ เมื่อหลบไปทางด้านข้าง กลับมีคนฉุดข้อมือนางไป
ร่างของนางสั่นสะท้าน ล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น อาวุธนั้นพุ่งผ่านหน้าผากนางไป ตัดเส้นผมร่วงลงแผ่วเบา
พลาดไปเส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ
ในขณะที่เหยียนหลิงจวินคว้าอิ้งจื่อออกมา ซูอี้ก็ลงมือทันที พลิกมือใต้แขนเสื้อ แสงสะท้อนสีทองปรากฏในมือ ก่อนจะปล่อยใบไม้สีทองหลายใบฝ่าอากาศออกไปยังจุดสำคัญของคนผู้นั้น
วรยุทธ์ของอิ้งจื่อนั้นแม้จะมีมากกว่าเขา แต่ถ้าเทียบกับซูอี้ที่ชำนาญในการใช้อาวุธลับ ครั้งนี้จึงต่างอยู่บ้าง เขาลงมือแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด ไม่ออมมือแม้แต่น้อย
ภายใต้ประกายแสงสีทอง คนผู้นั้นกลับยืนมั่นคงดั่งหินผาไม่ขยับกาย หลังจากนั้นจึงค่อยเอนไปด้างหลังด้วยท่วงท่าราวกลับผีเสื้อลู่ลม
กระดูกของเขาคล้ายกับยืดหยุ่นได้อย่างประหลาด มุมที่เอนนี้ทำให้เห็นร่างส่วนบนพับลงไปอย่างทื่อๆ ใบไม้สีทองที่ซูอี้ขว้างมานั้นพลาดเป้าไปกว่าครึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็กวาดมีดโค้งในมือ สะท้อนแสงสีเงินออกมาท่ามกลางความมืดมิด ราวกับสายฟ้าฟาดผ่ากลางอากาศ ใบไม้สีทองสองใบถูกใบมีดปัดออกไป จึงมีเพียงชิ้นเดียวที่เขาไม่สามารถหลบหลีกได้ ปักเข้าไปที่ไหล่ขวา บนเสื้อคลุมสีดำของเขาจึงปรากฏรอยขาดขนาดใหญ่ขึ้น
ซูอี้มองคนผู้นั้นจากที่ไกลๆ ถึงกับตกตะลึง
สามารถหลบอาวุธลับห้าชิ้นของเขาในเวลาสั้นๆ บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เหยียนหลิงจวินที่อยู่ด้านข้างนั้นคว้าตัวเขา “ไป!”
คนทั้งสาม พร้อมกับเงาที่ทอดตาม เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับผ่านสายรุ้ง หนีมาสักพักก็เร้นกายซ่อนตัวเลียบเคียบไปกับกำแพงที่สูงๆ ต่ำๆ
คนชุดดำยังคงทอดสายตาสงบนิ่งไร้คลื่นน้ำ
ซูอี้นั้นหันกลับไปมอง กลับพบว่าเขาปรับเปลี่ยนท่าทางไปตามเดิมแล้ว จับด้ามมีดที่เอวด้วยมือเดียวอย่างเงียบๆ ใช้ท่าทางเหมือนกับกำลังมองดูชีวิตผู้คน มุ่งกลับไปสนใจยังฉากต่อสู้ในตรอกด้านล่างเช่นเดิม
ราวกับว่า…
การปะทะดุเดือดเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เสียงการต่อสู้ในซอยนั้นค่อยๆ ทิ้งห่างออกไป ทั้งสามคนก็ไม่รั้งอยู่ที่ไม่ควรจะอยู่นาน รีบวิ่งกลับไปยังที่พักของเหยียนหลิงจวิน
อิ้งจื่อไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่มวยผมนั้นถูกอาวุธลับจนยุ่งเหยิง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงดูแทบไม่ได้
เหยียนหลิงจวินเหลือบมองนางก่อนจะกล่าว “กลับไปพักเถอะ ที่นี่ไม่มีเรื่องให้เจ้าทำแล้ว”
“เจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อก็ไม่รอช้า รับคำสั่งแล้วจากไป
ซูอี้ที่คุ้นเคยกับห้องนี้ดีจึงรินน้ำชาส่งให้เขา ตัวเขาเองก็นั่งลงบนตั่งนุ่มยกชาขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าสบายแล้วกล่าวว่า “กองบัญชาการทหารเมืองเก้าคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า แต่ว่าการลอบสังหารในวันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ แม้กระทั่งทั่วป๋าไหวอันที่ไม่รู้ว่าจะสามารถจัดการปัญหาได้หรือไม่ เช่นนี้ก็ต้องอาศัยตัวเขาเองแล้ว”
เหยียนหลิงจวินเดินผ่านไป ถอดรองเท้าออกก่อนจะครองบนตั่งยาว ก้มลงนั่งอีกด้านหนึ่ง แววตาแวววับทั้งยังแฝงด้วยความเหน็บแหนมอยู่กลายๆ
เขาไม่ตอบรับ ซูอี้ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแต่จมดิ่งอยู่ในความคิดตัวเอง ในหัวก็ยังหยุดไม่ได้ที่จะคิดถึงการประมือกับคนชุดดำที่เกิดขึ้นก่อนหน้า กล่าวด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าตาเฒ่านั่นจะสามารถฝึกฝนกลุ่มคนเหล่านั้นออกมาได้ดีเช่นนี้ หลายปีมานี้ ผู้คนเพียงแต่รู้ว่า เขาปกครองบ้านเมืองอย่างเข้มงวด ไม่เคยคิดเลยว่า อีกด้านหนึ่งที่ใช้คนลอบสังหารและปฏิบัติภารกิจลับก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกันด้วย”
เหยียนหลิงจวินคิดต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยกยิ้มแผ่วเบา ขยับถ้วยชาในมือกล่าว “เจ้าไม่รู้สึกว่าท่าทางของคนผู้นั้นดูแปลกๆหรือ”
“หื้ม?” ความคิดของเขาถูกขัดขึ้น จึงส่งแววตาที่อยากถามด้วยความสนใจไปให้เขา
เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ยกจุดสีดำขึ้นมาจากกระดานหมากรุกที่อยู่ข้างมือ ขว้างไปชนหน้าต่างบานตรงข้ามจนเปิดออก
กลิ่นอายของความมืดจากด้านนอกแผ่เข้ามา ท้องฟ้ากลับปรากฏสีขาวราวท้องปลาเป็นรางๆ
ดวงตาของเขาดูเงียบสงบและห่างไกล เวลานี้จึงกล่าวขึ้น “ด้วยตำแหน่งที่เขายืนในเวลานี้ พูดได้ว่า มีความรู้หูตากว้างไกลก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินไป ไม่มีเหตุผลที่อิ้งจื่อลงมือสองครั้งแต่เขากลับไม่ค้นหา แต่เหตุใดถึงมาถูกจับได้ในตอนที่กำลังเดินออกมาอย่างเงียบๆ?”
ซูอี้พึมพำไม่เต็มเสียง “ความหมายของเจ้าก็คือ…เขาตั้งใจอ่อนข้อให้? จงใจปล่อยอิ้งจื่อให้หนีไป ดึงซูหลินและพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน”
“เป็นเพราะเหตุใด?” เหยียนหลิงจวินกลับไม่ตอบคำถามนั้น นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนตารางหมากรุกเป็นระยะๆ เผยรอยยิ้มหยอกล้อให้แก่ซูอี้ “สกุลซูจะมีความแค้นฝังลึกขนาดนี้กับใครได้บ้างเล่า? เจ้าก็รู้กฏที่ราชวงศ์สร้างองค์รักษ์ลับ คนแบบนี้แทนที่จะเป็นคน มิสู้เป็นอาวุธสังหารคน แล้วคนแบบนี้…มีเหตุผลอะไรที่จะละเลยภารกิจอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ”
ถ้าไม่ใช่องค์รักษ์ลับหลวง ก็เป็นหน่วยกล้าตายที่ตระกูลสูงศักดิ์ใหญ่ๆ ฝึกฝนมา เช่นนั้นก็ไม่ควรให้พวกเขามีความรู้สึกส่วนตัว เพราะว่า…
ความรู้สึกมักจะนำเรื่องเลวร้ายมา!
ซูอี้ที่ก่อนหน้านั้นถูกวรยุทธ์ที่ร้ายกาจของเขาดึงดูด เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ควรที่จะมองข้าม
“ดูอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล” ซูอี้กล่าว ในขณะที่คิ้วขมวดครุ่นคิดนั้นก็ยิ้มอย่างเหน็บแหนม “ไม่ใช่ว่าตาเฒ่าจะคิดไปทางเดียวกับเจ้าเสียหน่อย ตั้งใจจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว จัดการสกุลซูที่เป็นดั่งตะปูในตาออกไปด้วยกันน่ะสิ?”
เริ่มแรกใช้ตำแหน่งของสกุลซูเพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นความใจกว้างของเขา แต่เตียงนอนของตนจะให้ผู้อื่นมาหลับนอนได้อย่างไร[1]? สกุลซูที่มีเชื้อพระวงศ์ต่างแซ่…
ตั้งแต่การมีอยู่ของมันในวันนั้นก็กลายเป็นดั่งหนามยอกอกของฮ่องเต้
จะเร็วจะช้าก็ต้องหาวิธีที่จะดึงมันออกมา
“อย่างนั้นหรือ?” เหยียนหลิงจวินที่ไม่ได้คิดเช่นนั้นส่ายหน้ายิ้ม “หากเขาวางแผนเช่นนี้จริงๆ ตอนนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ข้าลงมือลากพี่น้องสกุลซูเขาไปเกี่ยว ทั้งปฏิบัติการขององค์รักษ์ลับหลวงนี้ล้วนแต่มีกฎที่เข้มงวด การเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาตั้งแต่ต้น อีกอย่าง พวกเขาต่างก็รู้ว่าฝ่าบาทผู้นั้น ไม่ต้องการที่จะเก็บสกุลซูไว้นาน แต่ว่าครั้งนี้ผู้ที่ฮ่องเต้ถ่ายทอดคำสั่งให้พวกเขาไปลอบสังหารก็คือทั่วป๋าไหวอัน แม้สกุลซูจะวิ่งเข้ามา อย่างไรพวกเขาก็คงไม่สนใจ แต่ว่าครั้งนี้กลับ… ”
ขณะที่เหยียนหลิงจวินพูด ท่าทางนั้นคล้ายกับแฝงความลับที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “ดูเหมือนว่า…จะมีคนแหกกฎเสียแล้ว!”
องค์รักษ์ลับของฮ่องเต้ คนเช่นนี้ ควรจะทำตามคำสั่งเท่านั้นถึงจะถูก!
หากเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ก็แล้วไป มิฉะนั้นถ้าเป็นอย่างที่เหยียนหลิงจวินกล่าว ก็คงมีคนทำลายกฎอย่างลับๆ
นี่หมายความว่าอะไร?
มีคนที่สามารถทำเรื่องที่ผู้อื่นทำไม่ได้ ดึงตัวคนที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ไปเป็นพวก?
ทั้งราชสำนักนี้ มีผู้ใดที่มีความสามารถเช่นนี้ได้? แล้วใครที่มีเหตุผลทำเช่นนี้?
ซูอี้เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้โดยทันที ใบหน้าจึงปรากฏท่าทีจริงจัง รอฟังประโยคถัดไปของเหยียนหลิงจวินอย่างเงียบๆ
————————————————————————
[1] เตียงนอนของตนจะให้ผู้อื่นมาหลับนอนได้อย่างไร1 อุปมาว่า ไม่อยากให้ผู้อื่นเข้ามารุกรานในอาณาเขตของตน เอาผลประโยชน์ไป