สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 88.3 ลอบสังหารกลางดึก (3)
เหยียนหลิงจวินนิ่งไปพักใหญ่ ท่าทางนั้นเรียบเย็นทั้งแฝงท่าทีสบายๆอยู่ตลอดเวลา เอนกายลงบนตั่งมองไปยังแผ่นฟ้าด้านนอกที่ค่อยๆ แยกออกจากกัน
“เรื่องน่าสนใจขึ้นมาแล้ว หากตั้งแต่เริ่มจนจบล้วนเป็นข้าที่คาดการณ์ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าทั้งหมดนี้อยู่เหนือการควบคุมของตาเฒ่า…ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องดี!”
หากมองตอนนี้ ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นฝีมือของผู้ใด ก็ยังไม่ถือเป็นอันตรายต่อพวกเขา
แต่ว่าเบื้องหลังของผู้ที่ควบคุมนี้คงจะไม่ธรรมดา ภายใต้สถานการณ์ที่แยกไม่ออกว่ามิตรหรือศัตรูนั้น ไม่ควรจะเพิกเฉย
ยิ่งไปกว่านั้น…
ฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันสองพ่อลูกมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน อำนาจนั้นสำหรับตัวเขาแล้วล้วนไม่มีคุณและโทษ เพียงแต่สอดมือเข้ามาเกี่ยวขนาดนี้แล้ว…
ในอนาคตการแย่งชิงอำนาจ ก็ต้องมีวังบูรพาเป็นคู่แข่งอย่างแน่นอน!
คนแบบนี้…
สามารถนับได้ว่าเป็นศัตรูในอนาคต!
คิดมาถึงขนาดนี้ เหยียนหลิงจวินก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร
ซูอี้เหมือนกับจะคิดอะไรออก เมื่อเป็นแบบนี้จึงลุกขึ้นจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่ “ในเมื่อเจ้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวก่อน หากมีเรื่องอะไร ก็ให้คนไปส่งข่าวให้ข้าที่หอเชียนจีแล้วกัน”
“อืม” เหยียนหลิงพยักหน้ารับ ทอดสายตามองเขาจากไป คล้อยหลังแววตาจึงค่อยๆเรียบนิ่งลง
เรื่องที่ต้องจัดการของเขาตอนนี้ก็คืออธิบายเรื่องของซูอี้ให้ฉู่สวินหยางได้เข้าใจ เพียงแต่ดูจากท่าทางของเด็กคนนั้น จะหาโอกาสเจอนางในเวลาสั้นๆยังนับเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็คงไม่อาจบุกเข้าไปยังวังบูรพาในกลางดึกได้หรอก?
เหยียนหลิงจวินขมวดคิ้วหมุ่น ยากที่จะเหนื่อยใจเช่นนี้ ค่อยๆเอนกายลงกับตั่งแล้วหลับไป
ทางด้านของฉู่สวินหยาง เนื่องจากบนถนนมีคนมากมายจึงล่าช้า เมื่อถึงวังบูรพาก็เป็นยามโฉ่ว[1]แล้ว
อารมณ์ของนางไม่ค่อยดี สิ่งที่ชิงหลัวกลัวที่สุดก็คือการปลอบคน เวลานี้จึงหาข้ออ้างปลีกตัวออกไปแล้ว
ชิงเถิงเรียกคนมาเตรียมน้ำร้อน คอยอาบน้ำและผลัดผ้าให้นาง ทั้งยังเรียกคนต้มชาสงบใจมาส่งให้
ฉู่สวินหยางนั่งสางผมที่เกือบจะแห้งบนเก้าอี้พลางดื่มชา ด้านนอกชิงหลัวที่ออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง เผยใบหน้าเรียบเย็นก้าวเข้ามาจากด้านนอก กล่าวรายงานว่า “ท่านหญิง เมื่อครู่ข้าได้รับข่าวว่าด้านนอกเกิดเรื่องขึ้นแล้ว กล่าวว่ารถม้าขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับตำหนักรับรองเจ้าค่ะ ”
มือของฉู่สวินหยางที่ยกชาอยู่นั้นชะงักไปเล็กน้อยคล้ายกับแปลกใจอยู่บ้าง แต่คล้อยหลังกลับเม้มปากยิ้ม “ลอบทำร้ายต่อหน้าผู้คนไม่สำเร็จ ก็ส่งคนไปลอบสังหารอย่างเปิดเผยซะงั้น ความหนักแน่นที่ทำอะไรก็ทำอย่างถึงที่สุดช่างเหมาะกับฝ่าบาทของพวกเราเสียจริงๆ ”
ผู้อื่นไม่รู้ถึงความนัยก็แล้วไป แต่นางกลับไม่ต้องคิด…
ซื่อจื่อโม่เป่ยไร้การพัฒนา ทั่วป๋าไหวอันเป็นราชวงศ์แห่งโม่เป่ยเดียวที่สามารถต่อกรกับฝ่าบาทได้ ในเมื่อฮ่องเต้ลงมือ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลิกล้มกลางคัน ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องกำจัดเขาที่เป็นภัยร้ายออกไป
ชิงเถิงกระพริบตาปริบ เมื่อรู้ตัวจึงกลับออกไป
ชิงหลัวกลับหลับตาลง ไม่กล่าวอะไรออกมา
คำบางคำ ฉู่สวินหยางพูดได้ แต่นางนั้นหาพูดได้ไม่!
ฉู่สวินหยางยังคงครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นทั่วป๋าไหวอันล่ะ? ตายแล้ว?”
“ไม่เจ้าค่ะ” ชิงหลัวตอบกลับทันที เงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่…ขณะนี้เขาหายตัวไปเจ้าค่ะ!”
“หายตัวไป?” ฉู่สวินหยางตกตะลึงเล็กน้อยด้วยไม่คาดคิดมาก่อน
“เจ้าค่ะ! หายไปพร้อมกับท่านหญิงจวนอ๋องฉางซุ่นด้วยเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวกล่าว ไม่รอให้นางถามก็อธิบายสิ่งที่ได้รู้ออกมา “รถม้าขององค์ชายห้าและองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยเคลื่อนมาถึงถนนฉางโซ่วก็พบเข้ากับมือสังหารที่ไม่ทราบที่มาแน่ชัดโจมตี หลังจากนั้นซื่อจื่อซูและท่านหญิงซูได้ผ่านมาพอดี กล่าวได้ว่า ตอนที่ออกมือช่วยก็ติดร่างแหไปด้วย ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวายจึงถูกมือสังหารบุกโจมตีแตกกันไปคนละทิศละทาง ภายหลังกองบัญชาการทหารเมืองเก้าตามมาถึง จึงช่วยองค์หญิงหกและซื่อจื่อซูไว้ ทว่าองค์ชายห้าและท่านหญิงซูกลับหายตัวไปอย่างไม่ทราบชะตากรรมเจ้าค่ะ ”
“เป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก!” ฉู่สวินหยางเมื่อฟังจบกลับวางชาในมือลงอย่างไม่เชื่อ หัวเราะราวกับได้ฟังเรื่องตลก “กองบัญชาการทหารเมืองเก้าที่ไร้ความสามารถพวกนั้นจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ทั่วป๋าไหวอันเป็นคนที่รอบคอบเพียงใด รู้อย่างแน่ชัดว่ามีคนเพ็งเล็งเขาอยู่ ตอนออกจากวังรอบกายล้วนแต่จัดเตรียมองค์รักษ์มือดี ทั้งยังมีพวกของสองพี่น้องสกุลซู อย่างไรก็ต้องรับมือได้ ทว่าคนพวกนี้ยังเอาชนะมือสังหารไม่ได้ กลับอาศัยทหารม้าเมืองเก้าที่มีคนจากทางการไม่กี่คนจัดการกับมือสังหารแทนอย่างนั้นรึ? นี่มันไม่เป็นเรื่องหลอกคนโง่ไปหน่อยหรือ? ”
บริเวณเมืองหลวง หลังจากเข้าสู่ความมืดในทุกค่ำคืน ทหารรักษาการณ์ในเมืองก็จะส่งต่อหน้าที่ให้กับกองบัญชาการทหารเมืองเก้าและ กองพลทหารราบรับผิดชอบต่อ ยึดตามหลักแล้ว หน่วยทหารลาดตระเวนทุกหน่วยก็จะมีประมาณสิบแปดนาย ถ้าหากบังเอิญ หน่วยทหารม้าทั้งสองตามมายังที่จุดเกิดเหตุพร้อมกันก็เต็มที่แล้ว
องค์รักษ์ของทั่วป๋าไหวันกับซูหลินที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีกลับไม่ใช้ อาศัยยืมมือคนของทางการกว่าสามสิบคนถึงขับไล่มือสังหารพวกนั้นไปได้? ไม่ตลกไปหน่อยหรือ!
เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร นางคนหนึ่งแหละที่ไม่เชื่อ
แววตาของนางดิ่งลึก มองไปทางชิงหลัว “แท้จริงแล้วเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?”
“คือ…” ชิงหลัวมีหน้าลำบากใจ “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ ได้ยินมาเพียงอีกว่า ซื่อจื่อซูบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หลังจากรอดออกมาแล้วก็รีบเข้าวังไปกับองค์หญิงอวิ๋นจี”
เมื่อฮ่องเต้ถ่ายทอดคำสั่งสังหารออกมาแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่มีทางปล่อยทั่วป๋าไหวอันให้หนีรอดไปได้เด็ดขาด เรื่องราวครั้งนี้แปลกประหลาดจริงๆ
ฉู่สวินหยางคิดวนไปมา เวลานี้จึงคิดออกว่าก่อนหน้านี้ที่ประตูวังเหยียนหลิงจวินได้พูดถึงเรื่องของโม่เป่ยเอาไว้
ฮ่องเต้จู่ๆ ก็ไม่สนใจอะไรลงมือกับทั่วป๋าไหวอันเช่นนี้ ต้องมีที่มาที่ไปเป็นแน่ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องโม่เป่ยที่เหยียนหลิงจวินพูดขึ้น? ราชวงศ์โม่เป่ยเกิดเหตุร้ายขึ้นงั้นรึ? ดังนั้นจึงบีบให้เขารับความเสี่ยง?
พอนึกถึงเหยียนหลิงจวิน ฉู่สวินหยางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เป็นความโกรธธรรมดา แต่เป็น…
หากว่าระหว่างเขาและซูอี้มีความสัมพันธ์มานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องของชาติก่อนที่ซูอี้พยายามจะแย่งชิงอำนาจทางทหารของชายแดนใต้เอามาไว้ในมือตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่านั้นก็ต้องขบคิดให้ดีแล้ว!
นี่ไม่นับเป็นเรื่องธรรมดาอีกต่อไปแล้ว!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของนางก็มีแต่ความสับสน ตอนที่โบกมือให้ชิงหลัวกลับไป ชิงเถิงก็ผลักประตูเข้ามาจากด้านนอก “ท่านหญิง ท่านชายมาแล้ว!”
ฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ ฉู่ฉีเฟิงก็ก้าวเท้ายาวเข้ามาแล้ว ใบหน้าปรากฏอารมณ์เคร่งเครียด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องทั่วป๋าไหวอันเป็นแน่
“ท่านพี่เหตุใดจึงรีบร้อนเข้ามาเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ถนนฉางโซ่วใช่หรือไม่?” ฉู่สวินหยางลุกยืนต้อนรับเขา
“ใช่!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ก่อนจะดึงมือนางจัดแจงให้นั่งลงที่เดิม พลางกล่าวว่า “ท่านพ่อเพิ่งจะส่งข่าวจากในวังมา ทั่วป๋าไหวอันปรากฏตัวแล้ว บุกไปถึงตำหนักฝ่าบาท ต้องการให้ฝ่าบาท…แถลงไข”
ฉู่สวินหยางได้ฟังดังนั้นจึงอึ้งไป “เช่นนั้นฝ่าบาทว่าอย่างไร?”
“จะว่าอย่างไรได้เล่า?” ฉู่ฉีเฟิงแค้นหัวเราะ ท่าทีดูแคลน “ก็ทำเพียงแสร้งปลอบใจเท่านั้น แต่ว่าเรื่องครั้งนี้ไม่สามารถปล่อยไปได้ ถ้าทั่วป๋าไหวอันตายก็แล้วไป ไม่มีผู้ใดรู้ แต่ตัวเขาเองต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าใครกันที่เป็นคนลงมือกับเขา เรื่องเช่นนี้หากเกิดเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถพูดได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ในเมื่อครั้งนี้พลาดมือ เว้นเสียแต่ว่าฝ่าบาทต้องการจะฉีกหน้าเขาอย่างเปิดเผยเพื่อจะเปิดฉากต่อสู้กับโม่เป่ย มิฉะนั้น…จากนี้ต่อไปเขาก็ไม่อาจจะลงมือกับทั่วป๋าไหวอันได้แล้ว ไม่เพียงแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ยังต้องปลอบขวัญและมอบรางวัลถึงจะสามารถปิดเรื่องนี้ไว้ได้”
“เปิดสงครามกับโม่เป่ย?” ฉู่สวินหยางปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ทันที “ข่าวการพ่ายสงครามของแม่ทัพฮั่วในแคว้นฉู่นั้นเพียงสองวันก็คงจะส่งมาถึงเมืองหลวง เรื่องสงครามทางนั้นเคร่งเครียดมาก ทั้งชาวโม่เป่ยยังขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญ กษัตริย์ของเขาก็อายุมากแล้ว เวลานี้จึงกังวลอย่างยิ่ง หากจะเปิดสงครามกับโม่เป่ย เช่นนั้นก็ต้องรับมือกับศัตรูทั้งสองด้าน อย่างน้อยที่สุด หลังจากเรื่องสงครามของแคว้นฉู่กลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็ไม่ทำเช่นนี้แน่”
ดังนั้นตอนนี้ฮ่องเต้ก็คงจะคิดออกอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือทำทุกวิถีทางที่จะระงับความโกรธของทั่วป๋าไหวอัน ยอมสงบศึกชั่วคราว เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกลัวแต่ว่าไม่ว่าทั่วป๋าไหวอันจะร้องขอสิ่งใดเขาก็จะยอมให้ทุกอย่าง มาคิดดูแล้วตาเฒ่าเดินหมากครั้งนี้ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ
ฉู่สวินหยางคิดพลางถอนหายใจเบาๆ เมื่อสติกลับมาจึงค่อยตระหนักได้ว่า…
เรื่องเป็นของทั่วป๋าไหวอัน แล้วเหตุใดฉู่ฉีเฟิงถึงร้อนใจมาหานางเช่นนี้?
ในใจนั้นชะงักไปชั่วครู่ นางลืมนึกถึงสิ่งใดไปกันแน่ ทันใดนั้นก็หันไปหาฉู่ฉีเฟิง “ท่านพี่คงไม่ใช่ว่า…”
“ท่านพ่อส่งข่าวกลับมา” ฉู่ฉีเฟงกล่าว ท่าทีตึงเครียดทั้งยังแฝงความโกรธอย่างเยือกเย็น ทว่าเขายังฝืนฉีกยิ้มออกมา ใช้ฝ่ามือตบปลอบหลังมือของฉู่สวินหยาง “วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือตัวข้า ก็คงไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมารังแกเจ้าได้ จุดประสงค์ของท่านพ่อ ก็เพียงอยากให้เจ้ารับรู้เรื่องนี้ ในใจก็พอจะเดาเรื่องนี้ออกตั้งนานแล้ว”
ฉู่สวินหยางเม้มริมฝีปาก
เรื่องนี้ไม่ถึงกับทำให้นางกังวลสักนิด ทว่าลึกๆ กลับรู้สึกไม่สบายใจ
————————————————————————
[1] ยามโฉ่ว ช่วงเวลาประมาณ 01:00 – 2:59