สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 88.4 ลอบสังหารกลางดึก (4)
“เป็นความต้องการของทั่วป๋าไหวอัน?” เขาไม่ใช่เป็นพันธมิตรกับฉู่ฉีเหยียนไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใจจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ใช้กลยุทธ์ตีเชิงตามไฟ[1]มาทางวังบูรพาแทนเล่า?” ฉู่สวินหยางถาม
ฉู่อี้อันไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทั่วป๋าไหวอันยึดอำนาจเป็นแน่ หากทั่วป๋าไหวอันจะทำโดยพลการ ก็รั้งแต่ยิ่งทำยิ่งเสียเท่านั้น แม้ประโยชน์เพียงครึ่งหนึ่งก็หาไม่เจอ ถ้าให้ฉู่สวินหยางมองเขา ก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่คิดว่าเขาจะทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าเช่นนี้
มุมปากของฉู่ฉีเฟิงรั้งขึ้นเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น ค่อยๆ หันศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธที่อดกลั้นไว้ “ไม่ใช่เขา!”
ฉู่สวินหยางตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ความคิดสว่างวาบเข้ามาในหัว ราวกับเสียงฟ้าร้องที่แยกเมฆขมุกขมัวในท้องฟ้าออกจากกัน ในช่วงเวลาอันสั้นก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
นางเข้าใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน พริบตาเดียวจากที่โกรธก็แค่นยิ้ม “เป็นความต้องการของฝ่าบาท?’
“พระราชโองการยังไม่ออกมา ทว่าเขากลับพูดคุยกับท่านพ่อไปแล้ว” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว แววตาทั้งสับสนทั้งยังถอนใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “ท่านพ่อนั้นยังไม่ได้ตอบกลับไป แต่ว่าพระประสงค์ของฝ่าบาทนั้นชัดเจน แต่งงานเพื่อผูกสัมพันธ์เป็นเรื่องหลอก เขาเพียงต้องการใช้ฐานะเจ้าไปแทรกแซงโม่เป่ยชั่วคราว คอยดูผลที่จะเกิดอย่างเงียบๆ”
หากพูดถึงฐานะ ก่อนหน้านี้ฉู่หลิงอวิ้นและนางนั้นต่างก็มีสูสีกัน ทว่าตอนนี้ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้เป็นสาวบริสุทธิ์อีกแล้ว ทั้งยังเคยแต่งเข้าไปถึงสองบ้าน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้อย่างปีนั้นแล้ว
ฉู่ฉีเหยียนต้องการลากทั่วป๋าไหวอันมาเป็นพันธมิตรด้วย ทั้งสองคนต่างก็ได้ผลประโยชน์ทั้งคู่
แต่กลับยืมมือวังบูรพา…
ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าความหมายต่างกันแล้ว
หากฮ่องเต้พูดเพียงว่า แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ฉู่อี้อันไม่ยอมตอบรับก็ยังพอไปได้ นางไม่ต้องการให้ตาเฒ่าตัดสินใจโดยไม่นึกถึงอะไรก็โยนนางลงหลุมสุดท้าย ใช้เรื่องของแคว้นมาบีบบังคับ
พูดตามตรง ฉู่สวินหยางเองก็เป็นเพียงหินที่ใช้โยนถามทางเท่านั้น
ด้วยความเป็นพ่อ ฉู่อี้อันสามารถยืนหยัดปฏิเสธไม่ให้ลูกสาวสุดที่รักแต่งออกไปไกลบ้านได้ แต่ด้วยความเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นแล้วนั้น…
การเสียสละเช่นนี้ แม้แต่หนทางปฏิเสธก็ยังไม่มี!
“ก่อนหน้านี้ เขาอาจจะไม่เคยฉีกหน้าท่านพ่ออย่างเปิดเผยเช่นนี้ แต่ว่าครั้งนี้ เป็นเพราะว่าถูกเรื่องของทั่วป๋าไหวอันเร่งรัด!” ฉู่สวินหยางค่อยๆปิดเปลือกตาลง หัวเราะอย่างเย็นเยียบ
พบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องรู้สึกลำบากใจ
“สวินหยาง…” ฉู่ฉีเฟิงปรากฏใบหน้ากังวลใจลูบปลอบหลังมือนาง ก่อนจะเผยรอยยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลใจไป ท่านพ่อหาทางไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สำเร็จผลอย่างแน่นอน”
ฉู่สวินหยางตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่มาจากใจ “ข้าเชื่อท่านพ่อ อย่าพูดเลยว่าท่านพ่อไม่ตอบรับ ต่อให้เขาพูดตอบรับ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปไหน!”
หากเปลี่ยนเป็นชาติก่อนนั้น ถ้าฮ่องเต้ทำเช่นนี้นางก็คงจะรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง แต่หากเป็นตอนนี้ แค่ฟังทะลุหูไปก็พอแล้ว!
ไม่ใช่ญาติพี่น้อง กระทั่งยังมอบนางให้กับศัตรูแคว้นเก่า ไม่ว่าฮ่องเต้จะทำอย่างไรกับนาง นางก็แค่เล่นละครตบตาไปเท่านั้น
เจอปัญหาอะไรก็แค่หาวิธีแก้ไข!
ฉู่ฉีเฟิงเดิมทีกลัวว่านางจะเสียใจที่ถูกใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ดังนั้นจึงร้อนใจมาปลอบขวัญ เวลานี้ท่าทีของนางราวกับไม่สะทกสะท้านอะไร จึงรู้สึกโล่งอก ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความสงสัย
ฉู่สวินหยางไม่รั้งรอกล่าวต่อทันที “เกิดในราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ข้าล้วนเข้าใจ ท่านพี่อย่ากังวลแทนข้าเลย”
“เด็กโง่!” ฉู่ฉีเฟิงลุกขึ้นเดิน แย้มยิ้มเล็กน้อย รวบหลังนาง ก่อนจะกดหน้านางลงกับอกของเขากอดเอาไว้
ฉู่สวินหยางอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบๆ ถึงแม้ด้านนอกฟ้าจะพลิกแผ่นดินจะถล่ม นางก็สามารถเพิกเฉยไม่สนใจใดๆได้
ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้กอดจนนานเกินไป เขาพูดปลอบนางอีกสองประโยค เมื่อแน่ใจแล้วว่านางไม่ได้คิดอะไรก็ปลีกตัวออกไป
เจี่ยงลิ่วที่รออยู่ภายนอกเรือน รีบร้อนยืดตัวตรงกล่าวขึ้นมา “ท่านชาย พวกเราจะไปเข้าวังใช่หรือไม่?”
“ไม่ไป!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว เดินด้วยท่าทีที่จริงจังออกไปยังด้านนอก ใบหน้านั้นเผยท่าทีไม่สง่างามอย่างเช่นเคย ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งที่เย็นเยียบ “เตรียมม้า ข้าจะไปเยี่ยมเยือนซื่อจื่อซูเสียหน่อย!”
ความสัมพันธ์ระหว่างวังบูรพาและจวนอ๋องฉางซุ่นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยไยดีต่อกัน เจี่ยงลิ่วแม้จะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป รีบเร่งทำตามคำสั่งของเขา
เวลานี้ภายในวัง ฮ่องเต้กำลังอธิบายจุดประสงค์ของเขาอย่างจริงใจให้แก่ฉู่อี้อันฟัง
ในตอนนี้ราชนิกุลหญิงของราชวงศ์ก็มีเพียงฐานะของฉู่สวินหยางเท่านั้นที่สูงส่ง เหมาะสมที่จะปลอบขวัญและบรรเทาความโกรธของทั่วป๋าไหวอันไว้ได้ เดิมทีเขาก็ไม่อยากจะทำให้ฉู่อี้อันโมโห แต่เมื่อถูกสถานการณ์บังคับเช่นนี้จึงไม่มีทางเลือก เพราะหากว่าฉู่อี้อันไม่รับปาก เขาก็จะไม่เปิดบังอีกต่อไป นำแผนที่ตั้งใจจะสยบโม่เป่ยออกมากดดัน
ฉู่อี้อันที่เป็นรัชทายาทของแคว้นนี้ หากแม้แต่ความทะเยอทะยานและความกล้าหาญยังไม่มี เช่นนั้นก็เท่ากับว่าป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ จึงไม่แปลกใจสักนิดที่หลังจากการสนทนาครั้งนี้ฉู่อี้อันจะทำเพียงก้มหน้ายอมชะตาอย่างเงียบๆ เพียงแต่พอจะเดาออก ตอนที่ออกจากห้องทรงอักษรมาใบหน้าขององค์รัชทายาทผู้นี้จึงไม่น่าดูนัก
ฮ่องเต้อย่างไรก็มีอายุมากแล้ว ผ่านมาค่อนคืนกลับยังไม่ได้นอน ทั้งก่อนหน้านี้ก็ถูกวางยาพิษ เวลานี้จึงมองเห็นความอ่อนล้าอย่างได้อย่างชัดเจน เมื่อทอดสายตาส่งให้ฉู่อี้อันที่จากไปแล้ว ก็ทำท่าราวกับท้อแท้ใจ ช่วงอกที่บีบรัดนั้นได้คลายลมที่อัดแน่นไว้ออกมา
หลี่ลุ่ยเสียงยืนอยู่ด้านหลังของเขา แม้รู้ดีแต่ก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปดูแล
ฮ่องเต้เพียงทำอย่างนั้นสักพักก็กลับมานั่งตัวตรงเช่นเดิม เผยใบหน้าเยือกเย็นและเรียบนิ่ง
เวลานี้ผ้าม่านด้านข้างในห้องที่ไม่มีลมกลับขยับขึ้น เงาร่างสูงเพียวกระโดดพลิ้วลงมาจากเพดาน ยืนก้มหัวอยู่ด้านข้างเขา
“ฝ่าบาท!” น้ำเสียงหนักแน่นและทุ้มลึก ไม่ขึ้นไม่ลงแทบฟังไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด
ม่านตาของฮ่องเต้หรี่ลง กล้ามเนื้อแก้มที่หย่อนนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด
เวลาต่อมา ก็ใช้กำลังที่เหลืออยู่โบกมืออย่างแรงๆ
ฮ่องเต้อย่างไรก็ถือเป็นขุนพลที่มีความชำนาญในการรบคนหนึ่ง ถึงแม้การใช้ชีวิตที่มีเกียรติและอำนาจหลายสิบปีมานี้จะทำให้ไม่มีแรงหาญกล้าดั่งปีนั้นแล้ว ทว่าความโกรธที่อัดแน่นภายในกำมือนี้กลับมิอาจประมาทได้
ชุดคลุมสีดำดูองอาจ กายยืดตรงมั่น บัดนี้ศีรษะถูกบีบจนเอียงไปด้านข้าง ข้างแก้มปรากฏรอยนิ้วสี่รอยสีแดงชาด โลหิตไหลออกที่มุมปาก ล่วงลงบนหลังมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ใช้สายตาเย็นชาจ้องไปที่เลือดสีแดงบนมือ ในดวงตาก็แดงกล้ำอย่างบ้าคลั่ง เมื่อคลื่นความโกรธผ่านไป ก็สบถออกมาทันที “เจ้าคนไร้ประโยชน์!”
น้ำเสียงแหบแห้ง เนื่องจากความโมโหอย่างรุนแรงจึงปะทุออกมาเต็มกำลัง ราวกับเม็ดทรายหยาบที่บดขยี้ในใจคน จนองค์รักษ์ด้านนอกที่ได้ยินต่างก็พากันขนลุก
คนชุดดำนั้นเบ้หน้า ช่วงเวลาที่เปลี่ยนผลัดระหว่างกลางวันและกลางคืน ในตำหนักใหญ่นี้มีเพียงแสงสลัว ใบหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคย ไม่เผยอาการใดๆออกมา เวลานี้ขนตาที่ยาวหนาคลุมปิดลงเห็นเป็นเงา บังแววตาจนเห็นไม่ชัด
หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ระบายอารมณ์กับเขาแล้ว เขาจึงคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและไร้อารมณ์เช่นเดิม “กระหม่อมทำเรื่องไม่สำเร็จ ยินดีรับโทษ ขอฝ่าบาทโปรดลงมือ! ”
ฮ่องเต้จ้องแววตาดุดันไปทางเขา ชั่วครู่จึงเค้นหัวเราะออกมา
คนชุดดำนั้นไม่รั้งรอให้เขาได้พูด ก็พลิกมือใต้แขนเสื้อคว้ากริชที่บางราวกับปีกจักจั่น เฉือนคมเข้าไปในเนื้อจนถึงกระดูก เสียบไปยังใต้ซี่โครง
ในอากาศค่อยๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ฮ่องเต้เมื่อได้กลิ่น ดวงตามืดดำขุ่นมัวนั้นก็ประกายแสงวาบขึ้นทันที
ในตำหนักเงียบงันที่มีคนสามคน สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ก็มีเพียงเสียงลมหายใจครืดคราดภายใต้ความโกรธของฮ่องเต้
เพียงแต่ตั้งแต่เริ่มจนจบ คนชุดดำนั้นกลับไม่ส่งเสียงครวญครางแม้แต่น้อย ราวกับกริชเล่มเมื่อครู่นั้นแทงลงบนซากไม้ ไม่ใช่บนเลือดเนื้อของเขา
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยคำใดออกมา เขาจึงคุกเข่านั่งอยู่อย่างนั้นประมาณครึ่งถ้วยชา[2]จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนแผลเปิด ค่อยๆก้าวทีละก้าวอย่างหนักแน่นออกไป เหลือให้เห็นเพียงเงาทอดยาวและเสียงก้าวเดินที่มั่นคง
เมื่อเวลาผ่านไป ด้านหลังจึงค่อยได้ยินหลี่ลุ่ยเสียงที่กล่าวรายงานกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท เรื่องที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุผล แท้จริงแล้วเรื่องเช่นนี้ก็ไม่อาจโทษเพียง…”
คนชุดดำนั้นเดินก้าวเท้าไปไม่หยุด ผลักประตูออกไป ด้านนอกนั้นอาบไปด้วยแสงของยามเช้า สะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าของหญิงสาวที่ราบเรียบไร้อารมณ์ นางหันหน้ามองไปทางพระอาทิตย์ขึ้นอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นร่างผอมบางที่สวมชุดคลุมดำก็ก้าวเท้าอย่างหนักแน่นเลี้ยวโค้งตรงทางเดิน หายลับไปพร้อมกับแผ่นหลังที่จางๆ นั้น
————————————————————————
[1] กลยุทธ์ตีเชิงตามไฟ หมายถึง ฉวยโอกาสตอนศัตรูอ่อนแอหรือเกิดวิกฤต โจมตีเพื่อให้ได้ชัยชนะ
[2] ครึ่งถ้วยชา เวลาประมาณห้านาที