สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 89.1 ใต้เท้าเหยียนหลิง มืออย่าสั่นสิ! (1)
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง เสียงเล็กแหลมดังทะลุมา ทำลายทัศนียภาพและความสงบตรงหน้าไปเสียสิ้น
“ฮองเฮาทรงมีพระราชโองการ รับสั่งให้ท่านหญิงสวินหยางเข้าเฝ้าขอรับ!” หัวหน้าขันทีแห่งวังวั่นโซ่ว หนีอันขุย เอ่ยปากตะโกนเสียงสูงอ่านพระราชโองการของฮองเฮา
เหล่าผู้คนในวังบูรพาต่างก้มหน้าก้มตาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงไม่อยู่ ส่วนฉู่สวินหยางคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ในใจของนางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่ต้องรับพระราชโองการด้วยใบหน้าเคารพนับถือ
พ่อบ้านเฉิงยัดเงินรางวัลลงในมือของหนีอันขุย หนีอันขุยจึงเก็บเข้าไปในแขนเสื้อด้วยความเคยชิน
ฮูหยินใหญ่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินหน้าขึ้นมา พลางพูดว่า “ตามกฎของพระราชวังแล้ว ฮองเฮาให้พวกข้าเข้าเฝ้าช่วงยามเฉิน[1] ตอนนี้เวลายังเช้าตรู่นัก ยังไงเชิญท่านขันทีเดินทางกลับไปก่อนเถิด ไว้ข้าสะสางเรื่องในจวนเสร็จ จะไปเข้าเฝ้าฮองเฮาพร้อมกับท่านหญิงเอง!”
ราชวงศ์ซีเยว่มีกฎเกณฑ์มาตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ ในวันสุดท้ายของปี ฮองเฮาจำเป็นต้องให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้า จัดงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่า จากนั้นช่วงเช้าของวันแรกแห่งปี ฮองเฮาต้องจัดงานเลี้ยงที่วังโซ่วคัง พร้อมทั้งต้องพบปะกับบรรดาสนมของฮ่องเต้และเหล่าญาติผู้หญิงในตระกูล
นี่เป็นธรรมเนียมมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้ ก็หาได้จำเป็นต้องสั่งการซ้ำซ้อนอีกไม่ ตอนนี้หลัวฮองเฮาทรงมีรับสั่งให้ฉู่สวินหยางเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว ฮูหยินใหญ่จะไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงได้อย่างไร? แต่ก็เพราะว่านางรู้ว่าหลัวฮองเฮาโกรธคนแซ่ฟางมาก จึงไม่ได้ประทับใจฉู่สวินหยางมากเท่าไหร่นัก ฉู่อี้อันเองก็ไม่อยู่ นางจึงทำได้เพียงแกล้งไม่รู้เรื่อง เพียงเพื่อไม่อยากปล่อยให้ฉู่สวินหยางเข้าวังไปคนเดียว
“ไม่จำเป็นหรอก!” หางตาของหนีอันขุยยกขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มแต่จิตใจหาได้มีความสุขไม่ “ฮองเฮาทรงรับสั่งว่าให้ท่านหญิงสวินหยางเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวเพียงผู้เดียว ย่าหลานเขาจะคุยธุระส่วนตัวกัน ท่านฮูหยินจัดการสะสางต่อเถิด ถึงเวลานัดแล้วค่อยเข้าวังก็ยังไม่สาย”
พูดจบก็หันไปคุยกับฉู่สวินหยางว่า “ท่านหญิงขอรับ ข้าน้อยเตรียมรถม้าไว้รออยู่ด้านนอกแล้ว เชิญขอรับ!”
เทียบกับการกระทำเมื่อครู่แล้ว ท่าทีนั้นช่างต่างกันลิบลับ
ในขณะนั้นเองฉู่สวินหยางก็ได้เปลี่ยนมาใส่ชุดขุนนางเพื่อรับราชโองการแล้ว ถึงฮูหยินใหญ่จะใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างเพื่อถ่วงเวลาก็ทำไม่ได้อีก ในใจของนางร้อนรุ่มยากจะทน
ถึงแม้หนีอันขุยจะโค้งตัวรออย่างเคารพนับถือ แต่ก็แฝงไปด้วยแรงบีบคั้นกดดัน
ฉู่สวินหยางยิ้มพลางชายตามองเขา มองข้ามแผ่นหลังของเขาไป เห็นรถม้าคันหรูจอดรออยู่ตรงตรอกถนนด้านนอก รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็หนีไม่พ้น จึงตกปากรับคำในทันที
“ข้าได้รับเกียรติจากฮองเฮาเช่นนี้ จะกล้าปฏิเสธได้เยี่ยงไร? งั้นรบกวนท่านขันทีด้วยนะเจ้าคะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว
สีหน้าท่าทีของหนีอันขุยหาได้ยืนนิ่งแข็งทื่ออีกต่อไป ใบหน้าของเขารีบเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแล้วรีบเดินนำทางไปทันที
“เร็วเข้า หยิบผ้าคลุมขนจิ้งจอกของท่านหญิงมา!” ฮูหยินใหญ่เห็นว่าโน้มน้าวไปก็ไม่ได้ผล และก็ไม่คิดที่จะทำให้หลัวฮองเฮาโมโห นางจึงโบกมือสั่งเสียงดัง
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบวิ่งเข้าไปด้านใน อุ้มผ้าคลุมขนสัตว์ของฉู่สวินหยางออกมาด้วยความรวดเร็ว
ฮูหยินใหญ่รับผ้าคลุมมา แล้วคลุมไหล่ให้ฉู่สวินหยางด้วยตนเอง พลางกล่าวขึ้นเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ไม่แน่กลางวันหิมะอาจจะตกอีกก็ได้ อย่าปล่อยให้ร่างกายไม่สบายล่ะ”
ในขณะที่พูดอยู่ก็พยายามส่งสายตาให้นางไม่หยุด
“ท่านฮูหยินใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงไป” ฉู่สวินหยางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ตบลงบนหลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นนัยว่าไม่ต้องกังวล
ถึงแม้ตัวนางเองจะมั่นใจเป็นอย่างมากก็ตาม แต่ถึงยังไงฮูหยินใหญ่ก็ยังวางใจไม่ได้
ฉู่สวินหยางคลุมผ้าแล้วเดินลงจากบันไดไปขึ้นรถม้าที่หลัวฮองเฮาจัดเตรียมไว้ให้
ฮูหยินใหญ่และคนอื่นมายืนส่งอยู่หน้าประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ฉู่เยว่หนิงจับมือฮูหยินใหญ่เอาไว้ พูดปลอบใจขึ้น “ท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลย ฮองเฮาคงเพียงต้องการคุยธุระส่วนตัวกับพี่สามแค่นั้นเอง? เดี่ยวพวกเรารีบตามเข้าวังไปก็ได้แล้วนะเจ้าคะ!”
หลัวฮองเฮารับสั่งให้ฉู่สวินหยางเข้าเฝ้าอย่างเปิดเผยแบบนี้ ไม่มีทางทำอะไรฉู่สวินหยางต่อหน้าผู้คนเป็นแน่ แต่การเรียกตัวเข้าเฝ้าครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน
ฮูหยินใหญ่เป็นกังวลอย่างมาก แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ลูกสาวของตน พร้อมทั้งกำชับว่า “พอได้แล้ว พวกเจ้าก็เลิกมายืนอยู่ตรงนี้ได้แล้ว ควรทำสิ่งใดก็รีบไปทำเสียเถิด!”
พูดเสร็จก็เรียกให้คนช่วยพยุงฉู่เยว่ซินและฉู่เยว่หนิงเข้าไปด้านใน
เมื่อทุกคนต่างแยกย้ายไปหมดแล้ว หรูโม่ก็รีบเดินออกมา เรียนกับฮูหยินใหญ่ว่า “นายท่านหาต้องกังวลไม่ ข้าน้อยถามมาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อเช้าตรู่ก่อนที่ท่านอ๋องจะออกจากจวน ได้ไปพบท่านหญิงมาก่อนแล้ว อีกอย่างเหมือนว่าเมื่อคืนองค์รัชทายาทก็ให้คนมาส่งข่าวด้วย ทางฝั่งท่านหญิงจะไม่มีปัญหาแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อฮูหยินใหญ่ได้ยินดังนั้นถึงค่อยวางใจได้บ้าง แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวลที่ยากจะปกปิดได้มิด นางถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น “ทำไมช่วงนี้ถึงได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเยอะแยะกันนะ ปีใหม่ทั้งทีก็ยังมีเรื่องไม่หยุดหย่อน”
“จริงเจ้าค่ะ!” หรูโม่พูดออกมาจากใจ พลางพยุงนางเดินเข้าประตู
ตัดมาอีกฝั่งในขณะที่กำลังไปพระราชวัง ฉู่สวินหยางเองก็หาได้คิดมาก นางเพียงปิดตาลงพิงอยู่บนเบาะที่อยู่ส่วนในสุดของรถม้าแล้วหลับไป
เมื่อคืนก่อนกลับจวนไปก็เที่ยงคืนให้แล้ว แถมยังมีเรื่องของทั่วป๋าไหวอันเกิดขึ้นอีก ทำให้นางแทบไม่ได้หลับเลยทั้งคืน เพิ่งได้หลับตาพักไปเมื่อตอนเช้าตรู่แค่ชั่วครู่ จากนั้นก็มีพระราชโองการของหลัวฮองเฮามาจากในวัง สองวันที่ผ่านมาในช่วงปีใหม่นี้มีเรื่องติดต่อกันไม่หยุด ฮองเฮากับไทเฮาทั้งสองพระองค์นี่ ยิ่งอายุเยอะแล้วแรงก็ยิ่งเยอะสินะ?
ตัวฉู่สวินหยางเองหาได้สนใจไม่ แต่สาวรับใช้สองคนด้านนอกกลับร้อนตัวไม่สบายใจ โดยเฉพาะชิงเถิง เหมือนมดที่อยู่ในกระทะร้อนอย่างนั้น อดทนมาตั้งนานแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พลางกระตุกแขนเสื้อของชิงหลัว พูดเสียงเบา “มาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านหญิงยังหลับอยู่อีกเล่า? นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มากเชียวนะ! ฮองเฮารับสั่งให้เข้าเฝ้าในเวลาแบบนี้ แสดงว่าต้องได้ยินอะไรมาจากฮ่องเต้แน่นอน จากนั้นต้องมาบีบบังคับท่านหญิงของเราเป็นแน่!”
ชิงหลัวคิดถึงเรื่องนี้แล้วจิตใจก็ร้อนรน แต่เมื่อเทียบกับชิงเถิงแล้ว นางกลับเชื่อมั่นในตัวฉู่สวินหยางมากกว่า จึงพูดขึ้นเพียง “มีองค์รัชทายาทและท่านอ๋องอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน!”
“ข้ารู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่!” ชิงเถิงกล่าว ร้อนรนจนแทบจะร้องไห้ “แต่ถ้าผู้คนรู้เรื่องนี้เข้า งั้นความหมายก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากบทเรียนในอดีตของท่านหญิงอันเล่อ ถึงแม้สุดท้ายมันจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ถ้าถูกเปิดโปงจนผู้คนทั่วทุกสารทิศรู้ขึ้นมาเล่า ชื่อเสียงท่านหญิงของพวกเราก็คงได้รับผลกระทบไปด้วยนะ”
ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ หากความต้องการของฮ่องเต้ถูกเปิดเผยแล้วแพร่งพรายออกไป ในสายตาคนนอกท่านหญิงสวินหยางเป็นคนที่เคยแต่งงานมาแล้ว แถมยังไม่ราบรื่นอีก หลังจากนั้นจะลือกันต่อไปว่ายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
ชิงหลัวเองก็กังวลถึงเรื่องนี้ หันมองคนที่อยู่ด้านใน ก็เห็นฉู่สวินหยางนิ่งเงียบไม่พูดคำใด เดิมทีนางอยากจะพูดออกมาแต่ก็เก็บเอาไว้ พูดขึ้นเพียง “เลิกพูดได้แล้ว เรื่องพวกนี้พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอก!”
ชิงเถิงรู้ดีว่าพวกนางช่วยเหลือไม่ได้แม้แต่นิด คิดแล้วก็รู้สึกไร้ความสามารถ เลยหันหน้างอนไปอีกข้าง
รถม้าเดินหน้าไปอย่างราบรื่น เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามก็มาถึงมาประตูวัง พวกนางได้รับคำอนุญาตจากหลัวฮองเฮา รถม้าจึงขับต่อไปยังวังลิ่วฉง[2]ถึงค่อยหยุดลง
ฉู่สวินหยางลงจากรถม้าจากนั้นขึ้นนั่งบนเกี้ยว
ในขณะนั้นพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้วเช่นกัน บรรยากาศเช้าตรู่ในฤดูหนาว กับพระอาทิตย์วันใหม่ที่ค่อยๆ ขึ้นอยู่ลับขอบฟ้า สีแดงสดใสดงาม แต่หาได้ร้อนแรงจนทำร้ายผู้ใดไม่ รอบข้างมีลมเย็นพัดโชยมา ทำให้มองเห็นเป็นแสงสีรุ้งอยู่รำไร เห็นแล้วจำเริญตาจำเริญใจเป็นอย่างมาก
ฉู่สวินหยางหรี่ตามองดูอยู่ชั่วขณะ จากนั้นโค้งตัวเข้าไปนั่งในเกี้ยว
เวลายังเช้าอยู่ เมื่อหนีอันขุยพาตัวฉู่สวินหยางมาถึงวังโซ่วคัง ขณะนั้นหลัวฮองเฮาก็เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จ กำลังบ้วนปากอยู่ภายใต้การรับใช้ของหลัวอวี่ก่วน
หญิงสาวผู้นั้นกดคิ้วลงต่ำพลางส่งสายตามอง มุมปากมักจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนเชื่อฟังอยู่เสมอ ถึงแม้หลังมือของนางถูกพันด้วยผ้าพันแผล แต่นางยังคงคอยรับใช้หลัวฮองเฮาอย่างสุดความสามารถ
ในเวลานี้นางมาอยู่ที่นี่…
ไม่ต้องสงสัยให้มากความ เมื่อผ่านพ้นเรื่องเมื่อคืนมา หลัวฮองเฮาก็ได้มอบความดีความชอบให้นาง โดยให้นางคอยรับใช้อยู่ข้างกายเป็นแน่
ส่วนสำหรับการดูแลเอาใจใส่ของนางนั้น สีหน้าท่าทีของหลัวฮองเฮาก็นิ่งเงียบอยู่เสมอ ดูไม่ออกออกเลยว่าชอบพอหรือเกลียดชัง
แม่นมเหลียงเดินเข้าไปในตำหนักแจ้งข่าวการมาถึง จากนั้นเดินนำฉู่สวินหยางเข้าไปด้านใน
ฉู่สวินหยางยกกระโปรงขึ้นเดินข้ามธรณีประตู ในขณะที่ลืมตาขึ้นมองนั้นก็พบว่า ด้านล่างของหลัวฮองเฮามีอีกคนนั่งอยู่แล้ว
รูปลักษณ์สะสวย ท่วงท่าสง่างาม กำลังหลับตาดื่มชาอย่างใจเย็น
หาใช่ใครอื่น…
แต่เป็นฉู่หลิงอวิ้นนั่นเอง…
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นว่าเป็นฉู่สวินหยางที่เดินเข้ามา แต่สายตาของนางหาได้สนใจไม่ ราวกับว่าแก้วชาในมือได้ดึงความสนใจของนางไปจนหมดสิ้น จึงดื่มชาเงียบๆ อย่างใจเย็น
——————————————————————-
[1] ยามเฉิน เวลาช่วง 7:00 น. ถึง 9:00 น.
[2] วังที่พำนักบรรทมของฮองเฮา