สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 89.2 ใต้เท้าเหยียนหลิง มืออย่าสั่นสิ! (2)
“หลานมาอวยพรปีใหม่ให้เสด็จย่าเพคะ ขอให้เสด็จย่าสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาวนะเพคะ!” ฉู่สวินหยางไม่แยแสคนที่อยู่ด้านข้าง ตรงขึ้นไปทำความเคารพทันที
หลัวอวี่ก่วนถอยหลังไปด้านข้างอย่างรู้ความ
หลัวฮองเฮานิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ “ลุกขึ้นเถิด! นั่งสิ!”
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่า” ฉู่สวินหยางลุกขึ้น
หลัวอวี่ก่วนเดินขึ้นหน้า คุกเข่าคำนับ “ถวายความเคารพเจ้าค่ะ ท่านหญิงสวินหยาง!”
“ท่านหญิงสามไม่ต้องพิธีรีตองหรอก!” ฉู่สวินหยางยิ้ม จากนั้นเบนสายตามอง
สายตาของหลัวอวี่ก่วนหยุดนิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าสายตาที่นางมองมายังตนมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่พอมองอย่างละเอียดแล้วก็หารู้อะไรไม่
ในขณะที่หลัวอวี่ก่วนยังคงมึนงงอยู่ ฉู่สวินหยางก็หันไปมองฉู่หลิงอวิ้น พลางกล่าวขึ้น “ท่านพี่อันเล่อ! ก็ว่าทำไมเสด็จย่าทรงเอ็นดูท่านพี่มากเหลือเกิน นี่ท่านพี่เข้าวังมากล่าวอวยพรให้เสด็จย่าตั้งแต่เช้าตรู่เลยเหรอเจ้าคะ?”
ฉู่หลิงอวิ้นนั่งดื่มชาอยู่ เดิมทีหากฉู่สวินหยางไม่สนใจนางก็ดีอยู่แล้ว แต่กลับทักทายนางเอาเสียได้ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ฉู่หลิงอวิ้นจึงจำเป็นต้องวางถ้วยชาลงลุกขึ้นยืน แล้วย่อเข่าทำความเคารพ พลางพูดขึ้น “เรื่องแบบนี้ต้องรีบมาอยู่แล้วสิ หาต้องรอโอกาสบังเอิญไม่ วาสนาบารมีของเสด็จย่ามากโข ข้าจึงมาขอรับบุญบารมีด้วยไงเล่า!”
ณ สถานที่ของหลัวฮองเฮาแห่งนี้ ไม่ใช่ว่าใครมาแต่เช้าตรู่ก็เข้าเฝ้าได้ทุกคน
จากเรื่องครั้งก่อนที่ผ่านมานั้น ฉู่หลิงอวิ้นผู้ซึ่งควรโดนหลัวฮองเฮาถีบไสไล่ส่งเป็นคนแรก แต่นางกลับรู้ใจหลัวฮองเฮา แสดงละครร้องขอความเห็นใจ ยังไม่ทันถูกลอยแพ ก็ได้รับความไว้ใจจากหลัวฮองเฮาอีกครั้งเสียได้
แม่หญิงผู้นี้ช่างสุดยอดหาที่ใดเปรียบเสียจริง!
“ใช่!” ฉู่สวินหยางเอ่ยชื่นชมขึ้นในใจ ใบหน้ากลับยิ้มอ่อนโยน กล่าวขึ้นว่า “วันมงคลของท่านพี่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว หากได้รับบารมีของเสด็จย่าไปบ้าง ในภายภาคหน้าไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็จะประสบความสำเร็จ ได้รับความโชคดีกันถ้วนหน้าแน่นอน”
หากหลัวฮองเฮามีบุญบารมีที่สามารถพึ่งพาได้จริง ฉู่หลิงอวิ้นเองก็คงไม่ตกตะกรำลำบากถึงเพียงนี้หรอก
สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นเริ่มเปลี่ยนไป นางควบคุมอารมณ์ที่อุตส่าห์ปิดกั้นเอาไว้ในใจตั้งนานไม่ได้ จนแทบจะปะทุออกมาในทันที
ฉู่สวินหยางเห็นสีหน้าท่าทางนางเปลี่ยนไป ก็หยุดการกระทำของตนไว้แค่นั้น แล้วหันไปนั่งลงบนที่นั่งด้านข้าง
หลัวฮองเฮารู้อยู่แล้วว่าฉู่สวินหยางและฉู่หลิงอวิ้นไม่ค่อยถูกชะตากันนัก บทสนทนาประชดประชันเมื่อครู่เอง ก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดถกเถียงกันระหว่างผู้หญิง พระองค์เองก็หาได้สะดวกที่จะออกหน้าเข้าข้างใครไม่ จึงทำหน้าไม่สบอารมณ์ไปหน่อยเท่านั้น
ฉู่หลิงอวิ้นแพ้อย่างไม่ยินยอม แต่ใครที่ไหนเขาจะยอมง่ายๆ แบบนี้กันเล่า พลางหันไปเอ่ยขึ้นกับหลัวฮองเฮาว่า “เสด็จย่าเพคะ ทรงเรียกให้ท่านหญิงสวินหยางเข้าเฝ้าตั้งแต่เช้าตรู่เยี่ยงนี้ มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือไม่เพคะ? ต้องให้หลานกับข้ารับใช้กลับไปก่อนหรือไม่เพคะ?”
สติของหลัวฮองเฮาถูกดึงกลับมา นิ้วมือที่สวมใส่ปลอกทองยกตวัดขึ้น ค่อยๆ รวบรวมใบชาในถ้วย จากนั้นพูดขึ้นเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “สวินหยาง พ้นปีใหม่เจ้าก็จะอายุสิบห้าแล้ว อีกสองเดือนก็ถึงเวลาอันควรที่ต้องออกเรือนแล้วนะ พ่อของเจ้างานยุ่งล้นมือ วังบูรพาเองก็หาได้มีพ่อบ้านคนใดที่เหมาะสมไม่ ข้ากังวลว่าเจ้าพวกนั้นจะปล่อยปละละเลย ก็เลยสั่งให้กรมวังเตรียมของไว้ให้ เจ้าเอากลับไป ถือเสียว่าเป็นของขวัญออกเรือนของย่าแล้วกัน!”
เมื่อคำพูดของหลัวฮองเฮาจบลง แม่นมเหลียงก็กวักมือเรียกคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก “ไปเอาของมาเร็ว!”
“เจ้าค่ะ!” ข้ารับใช้ทั้งสี่คนรับคำสั่งแล้วรีบเดินออกไป ไม่นานนักก็เดินเข้ามาพร้อมกับหีบไม้หนักอึ้งในมือ
เมื่อหีบไม้ถูกเปิดออก ไข่มุก เพชรนิลจินดาในนั้นพลันส่องแสงระยิบระยับไปทั่วตำหนัก
เพชรพลอยล้ำค่า ส่องประกายสวยงาม ฝีมือการประดิษฐ์ของปิ่นปักผม ต่างหู และเครื่องประดับประณีตไร้ที่ติ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นช่างชั้นสูงของกรมวังเป็นผู้จัดทำขึ้นมาแน่นอน
สี่หีบเต็มๆ!
จำนวนเยอะมาก!
แววตาของฉู่หลิงอวิ้นมั่นคงเยี่ยงขุนเขา มิได้สั่นคลอน ดื่มชาอย่างสบายอกสบายใจ มองเหตุการณ์ตรงนั้นในฐานะคนภายนอก แต่ภายในใจกำลังหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา…
บนโลกใบนี้มีสิ่งใดที่ได้มาง่ายๆ ที่ไหน? นางรู้เหตุผลที่ครั้งนี้หลัวฮองเฮายอมลงทุนมากถึงเพียงนี้ดี นางจึงเพียงรอดูฉู่สวินหยางโชคร้ายอย่างไม่สนใจ
แต่กระนั้นแววตาของหลัวอวี่ก่วนที่อยู่ด้านข้างกลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
นางเป็นลูกของฮูหยินรองแห่งจวนหลัวกั๋วกง ถึงแม้จะเป็นลูกสาวคนโต แต่อำนาจในจวนกลับตกอยู่ในมือของฮูหยินหลัวทั้งสิ้น เนื่องจากสถานภาพของหลัวฮองเฮาเป็นที่เคารพนับถือ นางจึงได้เห็นของล้ำค่าของจวนกั๋วกงมาไม่น้อย แต่ของขวัญออกเรือนยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้นั้น…
มันมากกว่าของขวัญออกเรือนที่มอบให้ฉู่หลิงอวิ้นเมื่อสองเดือนก่อนเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
ตอนนั้นนางเทียบชั้นฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้ แต่ไรมาฉู่สวินหยางก็ใช่ว่าจะเป็นคนโปรดของหลัวฮองเฮา หรือว่าหลัวฮองเฮาสติไม่สมประกอบไปแล้วงั้นรึ?
ฉู่หลิงอวิ้นปรายตามองอากัปกิริยาของหลัวอวี่ก่วนที่เปลี่ยนไป ก็ยิ้มขึ้นอย่างดูถูกจากนั้นเบนสายตากลับ เฝ้าดูการกระทำของฉู่สวินหยางต่อไป
ฉู่สวินหยางลุกขึ้นกล่าวขอบคุณพร้อมกับท่าทางประหลาดใจ พลางพูดว่า “เสด็จย่าทรงเมตตาหลานถึงเพียงนี้ หลานจะรับไว้ได้เยี่ยงไร?”
“หลานข้า อย่าพูดคำพูดห่างเหินพวกนั้นเลย!” หลัวฮองเฮากล่าว
พลางกวักมือ ไฉ่เยว่จึงรับถ้วยชาในมือไปวางเก็บไว้อย่างดี
ฉู่สวินหยางสังเกตสีหน้าและคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นรีบเดินหน้าขึ้นไปช่วย
หลัวฮองเฮาจับมือของนางไว้ แล้วดึงให้นั่งลงข้างกาย พูดแนะนำขึ้นอย่างจริงใจว่า “เจ้าเองก็โตแล้ว อย่าได้คิดมากเลย พ่อเขารักเจ้า เจ้าเองก็หัดเชื่อฟังเสียบ้าง หัดคิดถึงจิตใจเขาหน่อย ช่วยเขาแบ่งเบาภาระถึงจะถูกนะ”
คำพูดของหลัวฮองเฮาอ่อนโยนอ้อมค้อม
ฉู่สวินหยางรู้อยู่แก่ใจดี ถึงแม้ฉู่อี้อันจะส่งข่าวไปที่จวนแล้ว แต่นางก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าตนไม่รู้เรื่องอยู่ดี…
จะให้ฮ่องเต้และฮองเฮารู้ไม่ได้ว่าวังบูรพารู้เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่ฉู่อี้อันถูกคุมขังอยู่ในวัง แต่ข่าวสารนั้น กลับถูกส่งกลับไปอย่างถูกต้องไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อยมาตั้งนานแล้ว
หลัวฮองเฮาเห็นนางทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจเรื่องราวตรงหน้า ก็โบกมือขึ้นเล็กน้อย
แม่นมและบรรดาข้ารับใช้ทั้งหลายต่างออกไปจากตรงนั้น ฉู่หลิงอวิ้นเองก็วางถ้วยชาลงอย่างรู้ตัว พลางพูดขึ้นว่า “เห็นว่าเมื่อครู่ในห้องครัวกำลังตุ๋นยาบำรุงให้เสด็จย่าอยู่นี่? เดี๋ยวข้าไปดูให้นะเพคะ ว่าทำเสร็จหรือยัง!”
หลัวอวี่ก่วนคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ใจจริงอยากอยู่ต่อ แต่ขนาดฉู่หลิงอวิ้นยังขอตัวออกไปเองแบบนี้ นางลังเลอยู่สักพัก จึงตามออกไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
ภายในตำหนักว่างเปล่า เหลือเพียงฉู่สวินหยางและหลัวฮองเฮาสองคน
ฉู่สวินหยางหันไปมองรอบด้าน พูดปนหัวเราะขึ้น “เสด็จย่ามีเรื่องจะคุยกับหลานเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าเพคะ?”
หลัวฮองเฮาจ้องมองนาง แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม ยกมือขึ้นหวีปลายผมของนาง แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็โตแล้ว ย่าก็ไม่อยากพูดอ้อมค้อม อีกไม่นานเจ้าก็ถึงเวลาออกเรือนแล้วนะ พ่อของเจ้าเป็นผู้ชาย ไม่รู้เรื่องจุกจิกภายในพวกนี้ อาจดูแลเจ้าได้ไม่รอบคอบพอ ย่าเองก็เลยคิดจะหาคู่ครองให้เจ้า ถือโอกาสว่าวันนี้ว่างพอดี เลยเรียกเจ้ามาถามน่ะ”
“ขอบพระทัยเสด็จย่ามากเพคะ ที่อุตส่าห์คิดถึงหลานสาวอย่างข้าตลอดเวลา” ฉู่สวินหยางทอดตามองลงต่ำ หากมองจากมุมของหลัวฮองเฮาแล้ว เห็นได้ว่านางกำลังเขินอาย
หลัวฮองเฮาคิดพิจารณาคำพูดอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดขึ้น “ย่าหลานคนกันเอง อย่าได้พูดคำพูดห่างเหินเช่นนั้นเลย ตอนนี้หามีใครอื่นอยู่ไม่ เจ้าพูดความจริงกับย่ามาเถิด เจ้าคิดว่าองค์ชายห้าแห่งแคว้นโม่เป่ยเป็นเยี่ยงไร?”
ในระหว่างที่พูดก็กลัวว่าฉู่สวินหยางจะปฏิเสธ จึงรีบพูดต่อขึ้นว่า “ข้าเองก็รู้ว่าแคว้นโม่เป่ยนั้นอยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก เจ้าอาจจะรู้สึกแย่ แต่ข้าขอบอกเจ้าอย่างไม่ปิดบัง พระราชาแห่งแคว้นโม่เป่ยนั้นอายุมากแล้ว ตอนนี้เองก็เหลือเวลาไม่นาน ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวหลุดมาว่า ซื่อจื่อ[1]เสียชีวิตไปโดยอุบัติเหตุ องค์ชายห้าทั่วป๋าไหวอันในตอนนี้ ก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้รับช่วงต่ออำนาจแห่งแคว้นโม่เป่ยมากที่สุด ในภายภาคหน้าแคว้นโม่เป่ยจำเป็นต้องพึ่งพาราชวงศ์ของเราเป็นแน่ เจ้ายังมีท่านปู่และท่านพ่อของเจ้าคอยหนุน เมื่อไปถึงที่แห่งนั้นแล้ว ด้วยสถานะของเจ้าหาได้มีผู้ใดกล้าแตะต้องแน่นอน ถึงแม้ถึงเวลานั้นทั่วป๋าไหวอันจะขึ้นรับช่วงต่อเป็นพระราชาแห่งแคว้นโม่เป่ย มันก็ถือเป็นเรื่องดีกับเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก ชื่อเสียงเจ้าหญิงแห่งแคว้นโม่เป่ยหาได้มีแต่ชื่อไม่ เจ้าจะได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งผลประโยชน์อย่างง่ายดายเลย”
หลัวฮองเฮาร่ายคำพูดยาวเหยียดออกมาในครั้งเดียว ฉู่สวินหยางฟังไปได้ครึ่งเดียวจิตใจก็ล่องลอยไปไกลแล้ว…
ซื่อจื่อแห่งแคว้นโม่เป่ยเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุงั้นรึ?
ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้เอง!
ถึงว่าที่ฮ่องเต้ต้องจัดการทั่วป๋าไหวอันตั้งสองครั้งภายในวันเดียว ที่แท้ก็ถือโอกาสในขณะที่พระราชวังโม่เป่ยกำลังวุ่นวายนั่นเอง!
หลัวฮองเฮาเห็นว่านางนิ่งเงียบไม่พูดมาเนิ่นนาน ในใจรู้สึกร้อนรนขึ้น จึงฝืนทำจิตใจให้สงบจากนั้นพูดโน้มน้าวนางขึ้นอีก “อีกอย่างเจ้าเองก็เคยเห็นทั้งหน้าตาและนิสัยของทั่วป๋าไหวอันแล้ว แต่ละอย่างดีเลิศไร้ที่ติ เท่าที่ดูแล้วก็มีแค่ต้องออกเรือนไปอยู่พื้นที่ห่างไกลเท่านั้น ไม่รู้ว่าเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?”
ฉู่สวินหยางดึงสติของตนกลับมา ในใจของนางรู้ดี…
เมื่อคืนเรื่องที่เหยียนหลิงจวินไม่ทันได้บอกนาง น่าจะเป็นเรื่องการเสียชีวิตของซื่อจื่อแห่งแคว้นโม่เป่ย แต่ความลับนี้หลัวฮองเฮากลับรู้เข้าได้ นั่นจึงหมายความว่า ที่นางเรียกให้เข้าเฝ้าส่วนตัวตอนนี้ หาได้เป็นความคิดของหลัวฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียวไม่ ต้องได้รับการบงการจากฮ่องเต้ เพื่อดูท่าทีของตนเป็นแน่!
โดยใช้วิธีมอบของมีค่าเพื่อกดดัน จากนั้นค่อยบีบบังคับ หันไปทิศทางใดก็มีแต่คนจับตามอง…
ไม่ว่าจะมองยังไง นางก็ไม่มีสิทธิ์ที่ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย!
————————————————————————
[1] ซื่อจื่อ หมายถึง ลูกชายผู้จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของบิดา โดยส่วนมากจะเป็นลูกชายคนโต แต่บางครั้งก็อาจมีข้อยกเว้นเป็นลูกชายคนรองก็ได้ ตามแต่ความตั้งใจของผู้เป็นบิดา