สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 90.2 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (2)
ซูหลินตกใจ แต่ในขณะนั้นจะสนใจอะไรมากไม่ได้ เขารีบตอบกลับพลางชี้ไปยังทั่วป๋าไหวอันว่า “ฝ่าบาททรงใจเย็นก่อนนะพะยะค่ะ ที่ข้ากระหม่อมมาขอเข้าเฝ้าตอนนี้ ก็เพราะกลัวว่าจะมีคนใช้ความหวังดีของฝ่าบาทเป็นข้ออ้าง แล้วปฏิเสธความผิดที่ตนเคยก่อมาทั้งหมด!”
แววตาของฮ่องเต้หยุดนิ่ง จู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
ซูหลินโกรธจนควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ จ้องหน้าทั่วป๋าไหวอันอย่างไม่ลดละ “ก่อนหน้านี้เจ้าพาน้องสาวของข้าไปนานถึงสองชั่วยาม กลางดึกกลางดื่นชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง พอกลับมาก็ไม่มีคำอธิบายสักคำ เจ้าคิดว่าปล่อยให้ผ่านไปเรื่องก็จบงั้นรึ?”
ทั่วป๋าไหวอันสบตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นสถานการณ์มันบังคับ ข้าพาท่านหญิงซูไปด้วยเพราะโดนบีบบังคับอย่างช่วยไม่ได้ จะให้ข้าปล่อยให้นางโดนมือสังหารทำร้ายโดยที่ไม่สนใจใยดีได้เยี่ยงไรเล่า!”
“กลับกลอก!” ซูหลินพูดประชดอย่างเย็นชา ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองอย่างโมโห จากนั้นหันไปหาฮ่องเต้ สีหน้าท่าทางทุกข์ทรมานใจ “ฝ่าบาท คนอื่นรู้กันทั่วแล้วว่ามันผู้นี้พาตัวน้องสาวของข้าไป ที่กองบัญชาการทหารและกองพลทหารราบคนมากมายเหลือเกิน ตอนนี้เรื่องทุกอย่างกระจายออกไปทั่วแล้ว หากทั่วป๋าไหวอันไม่รับผิดชอบเรื่องนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาตั้งใจขัดขวางอนาคตของน้องสาวข้า ฝ่าบาททรงโปรดเข้าใจ ช่วยออกหน้าทวงคืนความเป็นธรรมให้ด้วยเถิดพะยะค่ะ”
คำพูดของซูหลินหาได้กล่าวเกินจริงไม่ หากนับเข้าจริงๆ เวลาตั้งแต่ที่พวกเขาเจอมือสังหาร จนถึงเวลาที่ทั่วป๋าไหวอันพาตัวซูหว่านกลับวัง นับรวมกันแล้วได้เพียงแค่สองชั่วยามกว่า[1] หากต้องการคำนวณเวลาที่มือสังหารบุกเข้าทำร้ายจนต่างคนต่างหนีเตลิดไป ก็แค่หนึ่งชั่วยามกว่าเท่านั้น
แต่สำหรับหญิงสาวที่มาจากตระกูลสูงส่งแล้ว กลางค่ำกลางคืนหายตัวไปที่ไหนไม่รู้กับผู้ชายแปลกหน้า หนำซ้ำอยู่ด้วยกันสองต่อสองถึงหนึ่งชั่วยาม ก็ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากแล้ว
ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ดี ก่อนหน้านี้เขาเองไม่ได้คิด จนมาวันนี้ซูหลินกลับโวยวายบุกมาถึงที่นี่
ใบหน้าของฮ่องเต้ราวกับปรากฎหน้ากากน้ำแข็งขึ้นมาหนึ่งชั้น มุมปากแข็งตึงอยู่นานกว่าจะค่อยๆ เอ่ยปากพูดขึ้น “มันก็แค่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าน่ะ ทำไปเพราะช่วยเหลือคน…”
ซูหลินหันไปมองฉู่อี้อันที่นั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน กลัวว่าฮ่องเต้จะเข้าข้างคนในครอบครัวของตน จึงเอ่ยขึ้นเสียงดังอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท การที่เขาช่วยเหลือผู้อื่นหาได้ผิดไม่ แต่เขาไม่ควรทำลายชื่อเสียงความบริสุทธิ์ของน้องสาวข้าแบบนี้!”
คำพูดของฮ่องเต้ถูกพูดแทรกขึ้น แววตานิ่งลึก ราวกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นหันหน้าไปปรายตามองทั่วป๋าไหวอัน
“ท่านหญิงซูถูกมือสังหารทำร้ายจนเลือดไหลไม่หยุด ข้ากระหม่อมเห็นดังนั้นจะไม่ช่วยเหลือก็กะไรอยู่ ตอนนั้นข้าทำผิดกฎผิดเกณฑ์จริง แต่ข้าก็เพียงแค่ช่วยนางพันแผลเท่านั้นเองพะยะค่ะ!” ทั่วป๋าไหวอันตอบ น้ำเสียงเงียบสงบ ไม่วิตกวู่วาม!
คำพูดนั้นทำให้ซูหลินอึดอัดจนหงุดหงิด คิดอยู่แล้วว่าทั่วป๋าไหวอันจะไม่ยอมรับผิด ก็เห็นทั่วป๋าไหวอันกำลังพูดเบี่ยงประเด็น กราบทูลฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่ก่อนที่ซื่อจื่อซูจะเข้ามา กระหม่อมจะกราบทูลถึงเรื่องนี้พอดี ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงซูเสียชื่อเสียง แต่มันก็ถือว่าผิดกฎอยู่ดี ตอนนี้ซื่อจื่อซูก็อยู่ด้วย เรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ขอฝ่าบาทช่วยตัดสินให้ด้วยเถิดพะยะค่ะ!”
เดิมทีซูหลินคิดว่าเขาจะปฏิเสธข้อกล่าวหาไม่ยอมรับผิดชอบ เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่จึงยังไม่รู้สึกตัว
ฮ่องเต้หันไปจ้องมองทั่วป๋าไหวอันด้วยแววตาดุร้าย จู่ๆ ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้…
คนคนนี้แท้จริงแล้วต้องการสร้างความวุ่นวาย มือสังหารพวกนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปยังน้องของซูหลินเสียหน่อย จะทำร้ายซูหว่านได้ถึงขนาดไหน? เกรงว่าคนคนนี้มีความคิดอื่นแอบแฝง คิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อหลบเอาตัวรอดสินะ?
ทั่วป๋าไหวอันจ้องมองอย่างสงบเยือกเย็น ไม่หลบสายตา
ในระหว่างที่ดวงตาสี่ดวงปะทะกันอยู่นั้น ก็ราวกับมีคมมีดพุ่งเข้ามา
ทันใดนั้น สีหน้าของฮ่องเต้ก็แดงขึ้น แล้วไอออกมาเสียงดังอย่างน่ากลัว
“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงรีบจะเดินเข้ามาพยุงกลับโดนฮ่องเต้ผลักออกไป สายตาของเขาไปจ้องทั่วป๋าไหวอันที่อยู่เบื้องล่าง สีหน้าแดงก่ำ ท่าทางแอบแฝงไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะมองยังไงก็เต็มไปด้วยความน่ากลัว พูดขึ้นอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ “ได้…ได้…ได้…”
พูดขึ้นสามคำ แยกไม่ออกว่ายินดีหรือโมโห ทำให้ผู้คนต่างไม่รู้ว่า เขาชื่นชมหรือว่าคับแค้นใจกันแน่!
ทั่วป๋าไหวอันอยากแต่งงานผูกสัมพันธ์กับจวนอ๋องฉางซุ่นงั้นรึ? เรื่องนี้ฮ่องเต้ไม่มีทางตอบรับเป็นแน่!
ฉู่อี้อันเห็นทุกอย่าง เลิกคิ้วขึ้นสั่งฉู่สวินหยางกับคนอื่นว่า “พวกเจ้าออกไปรอด้านนอกตำหนักก่อน!”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ!” ฉู่สวินหยางกับทั่วป๋าไหวอันลุกขึ้นอย่างไม่ลังเล
“ฝ่า…” ซูหลินร้อนรนใจ เดิมทีมีเรื่องจะทูลต่อ แต่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าผิดปกติ เขาหยุดนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ถอยตามคนอื่นออกไป
เมื่อออกมาแล้ว ซูหลินพ่นลมออกทางจมูกอย่างโมโห จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเดินไปยังด้านล่างของระเบียงทางซ้าย
ทั่วป๋าไหวอันหันไปมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นหันหลังออกไปทางด้านขวา
ฉู่สวินหยางออกมาเป็นคนสุดท้าย หันมองไปทางซ้ายและขวาดูพวกเขาสองคน จากนั้นเดินจากออกไปด้วยรอยยิ้ม แล้วสะบัดชายเสื้อขึ้นนั่งบนราวระเบียงด้านข้างทั่วป๋าไหวอัน
“องค์ชายห้าเจอเรื่องแบบนี้แล้วยังใจเย็นอยู่ได้ เจ้าแผนการจริงๆ นะเจ้าคะ ข้าอยู่ในวังมาตั้งนาน ก็เพิ่งเห็นท่านปู่โดนคนอื่นบีบคั้นกดดันจนลงจากหลังเสือไม่ได้ก็คราวนี้แหละ!” ฉู่สวินหยางพูดขึ้นเบาๆ น้ำเสียงใสจังหวะช้าฟังสบาย เสียงไม่ดังแหลมจนถึงขั้นทำให้ขันทีผู้คุมประตูตำหนักและองค์รักษ์ได้ยิน
ทั่วป๋าไหวอันยันแขนลุกขึ้นมายืนอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินนางพูดแบบนั้นก็หันไปมอง
สีหน้าของเขาหาได้เรียบเฉยไม่แยแสสิ่งใดเหมือนอย่างตอนที่อยู่ในตำหนักไม่ แต่กลับยิ้มหัวเราะขึ้นอย่างขมขื่น “ถึงข้าจะเป็นเจ้าแผนการขนาดไหน ก็คงเทียบชั้นกับองค์รัชทายาทและท่านหญิงไม่ได้หรอก”
จากนั้นก็หันกลับไป แววตาดูถูกเหยียดหยามมองไปยังซูหลินที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม “พวกวังบูรพาของท่านเป็นคนเรียกซื่อจื่อซูมาสินะ? หากไม่มีวังบูรพาคอยช่วยเหลืออยู่ลับหลัง ลำพังแค่ความสามารถของข้าเอง คงโดนฮ่องเต้จัดการจนแหลกไม่เหลือสิ้นดีเลยกระมัง?”
ถึงแม้ฉู่ฉีเฟิงจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนางก่อน แต่ไม่ต้องบอกฉู่สวินหยางก็รู้อยู่แล้ว ที่ซูหลินโผล่มาในเวลาแบบนี้ ต้องเป็นเพราะฉู่ฉีเฟิงบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
หากฮ่องเต้ปิดประตูคุยเรื่องนี้กับพวกเขาสองคนพ่อลูกและทั่วป๋าไหวอัน ถึงแม้จะรู้ความจริงของเรื่องนี้แล้ว สุดท้ายก็ต้องประนีประนอมคุยกันอยู่ดี แต่เมื่อซูหลินก้าวเท้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ก็จัดการแบบเรื่องคนในครอบครัวไม่ได้อีกต่อไป
ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องใด หากเกี่ยวพันธ์ถึงสกุลซูแล้ว จำเป็นต้องจัดการอย่างระมัดระวัง ดูท่าฮ่องเต้คงต้องปวดหัวกับเรื่องนี้อีกแล้ว
ฉู่สวินหยางนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ที่ฮ่องเต้ถูกบีบบังคับจนไม่รู้จะทำยังไง ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เมื่อนางหัวเราะ ดวงตาของนางก็ยกงอราวกับพระจันทร์เสี้ยวสองดวง ลูกตาดำสะท้อนให้แววตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ระยิบระยับราวกับดวงดาวที่ส่องแสงสว่างอยู่กลางท้องฟ้า
ทั่วป๋าไหวอันเพิ่งเคยเห็นคนที่คิดมุ่งร้ายอยู่ในใจแต่กลับยิ้มออกมาได้อย่างสดใสงดงามแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่ได้ชักจูงให้คนเกลียดชัง แต่กลับสว่างไสวส่องแสงระยิบระยับ ทำให้คนที่มองอยู่ไม่อาจละสายตาไปได้เลย
อีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น โอกาสมาถึงตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นภาพมายาไปเสียได้!
ความรู้สึกไม่พึงพอใจหลายครั้งหลายคราสะสมจนระเบิดออกมา สีหน้าของทั่วป๋าไหวอันพลันมืดมนลง
“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะตอบรับงั้นรึ?” เขาชิงถามขึ้น สายตาทอดมองลงต่ำ น้ำเสียงเยาะเย้ย
ฉู่สวินหยางมองออกไปยังโคมไฟที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ไม่ชายตามองเขาแม้แต่นิด แล้วเอ่ยปากถามเขากลับ “ท่านจะทำแบบนั้นรึ?”
นางส่ายหัว ไม่รอคำตอบจากทั่วป๋าไหวอัน พูดอย่างเชื่อมั่นว่า “ท่านไม่ทำหรอก! ท่านใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้นิสัยของท่านพ่อข้าล่ะ? หากท่านตอบรับคำของฮ่องเต้ไป ท่านไม่เพียงจะไม่ได้รับประโยชน์ใด แถมยังโดนราชวงศ์ควบคุมอำนาจอีก ไม่เพียงเท่านั้นยังจะทำให้ท่านพ่อของข้าโกรธอีกด้วย แค่เรื่องพวกนี้ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว ส่วนชื่อเสียงที่ถูกกล่าวหาว่าทำลายบ้านเมืองนั่น ก็รีบหาแพะมารับเคราะห์แทนเถิด!”
ตอนนี้ทั่วป๋าไหวอันไม่เหลือทางให้ถอยลับอีกแล้ว เขาโดนฮ่องเต้จับตาจ้องดูอย่างเหนียวแน่น นอกจากจะยอมล้มเลิกผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วกลับไปแย่งชิงราชสมบัติแคว้นโม่เป่ยแล้ว เขาหาได้มีเส้นทางใดให้เดินต่ออีกไม่ หากแย่งชิงราชสมบัติมาได้ ก็จะรับประกันความปลอดภัยของตนได้ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นล่ะก็…
ขนาดชีวิตของตนก็น่าจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ จะมีเวลาที่ไหนไปนึกคิดแผนการอื่นอีก?
ฉู่สวินหยางรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี
เมื่อทั่วป๋าไหวอันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ
“อืม!” สุดท้าย เขาสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นหันไปมองอย่างดุดัน “ท่านพูดถูก ข้ายอมรับว่าท่านหญิงสวินหยางไม่เหมือนผู้อื่น มีอำนาจบอกให้คนอื่นเห็นด้วยคล้อยตาม แต่คำพูดที่ท่านกล่าวขึ้นเมื่อครู่ว่า ชื่อเสียงของคนทำลายชาตินั้น…อย่างน้อยสำหรับข้าแล้ว ท่านหาได้มีอำนาจมากขนาดนั้นไม่!”
ฉู่สวินหยางยิ้ม หาได้แยแสคำพูดประชดประชันของเขาไม่
————————————————————————
[1] สองชั่วยาม เท่ากับสี่ชั่วโมงในเวลาปัจจุบัน