สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 91.1 จะเป็นกับดักหรือไม่ (1)
เมื่อข่าวแพร่ออกมา ผู้แรกที่รู้ก็ต้องเป็นหลัวฮองเฮา
“หืม?” และในเวลานี้ตัวฮองเฮาเองกำลังยืนชมดอกไป่เหอหางจิ้งจอกใต้หน้าต่างในตำหนักอุ่นที่เพิ่งส่งใหม่มาจากห้องดอกไม้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นมือก็เริ่มสั่น เล็บแหลมเรียวกวาดกิ่งดอกไม้อ่อนนุ่ม แล้วยังกวาดเอาดอกไม้ดอกที่บานกำลังงามจนหักครึ่ง
ดอกไป่เหอดอกใหญ่ที่หอมกรุ่นไปทั่วกลีบตกลงสู่พื้น กระแทกกับปลายรองเท้าปักของนาง
“ไอหยา น่าเสียดายเสียจริง!” หลัวอวี่ก่วนเรียกนางกำนัลไม่กี่นางให้ถือขนมจากนอกตำหนักเข้ามาพอดี เมื่อนางเห็นสถานการณ์ดังนั้นจึงรีบเดินไปเก็บดอกไม้พวกนั้นขึ้นมาใส่ไว้ในมือ ก่อนจะส่งออกไป
หลัวฮองเฮาเหลือบมองแวบหนึ่ง และโบกมือขึ้นก่อน
นางกำนัลที่ยืนคอยคำสั่งภายในตำหนักทุกคนล้วนมีสัมปชัญญะเป็นที่สุด ต่างคนต่างออกจากตำหนักไปอย่างสงบเงียบ
หลัวอวี่ก่วนมองใบหน้าที่เริ่มจะอารมณ์ไม่ดีนักของหลัวฮองเฮาด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ
หลัวฮองเฮาหยิบดอกไม้ดอกนั้นในมือนางไป เมื่อนั่งดีแล้วจึงเอ่ยกับไฉ่เยว่อย่างชะล่าใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…ฮ่องเต้มีพระราชโองการอภิเษก[1] ให้ผู้ใด”
“ทูลฮองเฮา ฮ่องเต้มีพระราชโองการเองว่าให้องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยกับท่านหญิงซูแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น อภิเษกกันเพคะ” ไฉ่เยว่ตอบ ตาของนางจ้องไปที่จมูก จดจ้องอยู่กับการก้มมองลงต่ำ คอยหลบสายตาของหลัวฮองเฮาให้ได้มากที่สุด
เมื่อหลัวฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทว่าหลัวอวี่ก่วนที่อยู่ด้านข้างกลับคิดว่าตนหูฝาด เดินหน้าออกมาหนึ่งก้าว เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าฟังผิดหรือ? ยามเช้าขันทีหลี่นำพระราชโองการของฮ่องเต้มาด้วยตนเอง เหตุผลผู้ที่ได้ราชโองการอภิเษกควรจะเป็นท่านหญิงสวินหยางไม่ใช่หรอกหรือ?”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเพคะ!” ไฉ่เยว่ตอบ “ก่อนหน้านี้ท่านหญิงสวินหยางโดนฮ่องเต้เรียกตัวไปที่ห้องหนังสือ ปิดประตูคุยกันอยู่นานนม ยามนั้นองค์รัชทายาทและองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยก็อยู่ คงจะคุยกันเรื่องนี้ แต่ต่อมาไม่รู้เหตุใด…”
เสียงที่ไฉ่เยว่พูดอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว นางค่อยๆ ใช้หางตามองสีหน้าของหลัวฮองเฮาเล็กน้อย ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายก็กัดฟันเอ่ยตามจริง “ระหว่างนั้นจู่ๆ ซื่อจื่อซูแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นก็เข้าวังมาเข้าพบ ไม่ทราบว่าคุยอะไร แต่หม่อมฉันได้ยินเล่อสุ่ยบอกว่า เมื่อองค์รัชทายาทออกมาจากห้องทรงอักษรแล้วสีหน้าไม่ค่อยดีอย่างมาก ต่อมาอีกก็ออกราชโองการมาแล้ว ยามนี้ขันทีที่ส่งพระราชโองการไปยังจวนซูคงกลับมาแล้วเพคะ!”
ไม่ใช่ฉู่สวินหยาง แต่เป็นซูหว่าน?
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อฮองเฮาฟังครั้งแรกก็รู้สึกเพียงแค่เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทว่าคำพูดของไฉ่เยว่ทั้งมีเหตุผลทั้งมีหลักฐาน นางจะไม่เชื่อก็คงยาก
ดอกไม้ในมือไม่รู้โดนบี้เละหมดโฉมไปตั้งแต่ยามใด กลิ่นหอมอบอวลได้จางหายไปจากในตำหนัก
หลัวอวี่ก่วนงุนงงไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก เอ่ย “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
และตามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “ถ้าเป็นเช่นนี้ ของที่ฮ่องเฮาส่งไปแสดงความยินดีกับนางพวกนั้นจะไม่ให้สูญเปล่าหรอกหรือ?”
หลัวฮองเฮาคุมวังหลังทั้งวัง แน่นอนว่าต้องไม่ขาดสิ่งของพวกนั้นอยู่แล้ว แต่นางเองไม่ชอบฉู่สวินหยางมาแต่แรก แม้ฝันก็คิดไม่ถึงว่าตนจะใหญ่โตได้ไม่ง่ายเลย ยังจะทำเรื่องไร้ประโยชน์ กลายเป็นว่าปาก้อนหินลงน้ำหายไป
หลัวอวี่ก่วนไม่สบอารมณ์นัก นางไม่ได้เป็นอะไรเลยอีกเหรอ ?
ทันใดนั้นสายตาเย็นเยียบก็มองมา
หลัวอวี่ก่วนเหมือนโดนสายตาของนางสะกดจนใจฝ่อ ยามนี้จึงเพิ่งเห็นว่านิ้วมือของนางเต็มไปด้วยน้ำดอกไป่เหอเคลือบอยู่ ดังนั้นจึงรีบก้มหน้าก้มตาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดนิ้วมือให้นางอย่างทะนุถนอม
หลัวฮองเฮาสีหน้าไม่ดีนัก นั่งนิ่งไม่ขยับ
ภายในตำหนักใหญ่เงียบสนิท ผ่านไปพักใหญ่แม่นมเหลียงที่ไปสืบข่าวข้างนอกก็เข้ามา
“พวกเจ้าออกไปก่อน!” หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว หลัวฮองเฮาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เพคะ!” หลัวอวี่ก่วนและไฉ่เยว่ต่างก็มึนๆ เมื่อคำความเคารพเสร็จก็ออกไปด้านนอก
“เดี๋ยว!” จู่ๆ หลัวฮองเฮาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยเสริม “คุมปากของตัวเองให้ดี เรื่องเช้านี้ในตำหนักนี้ของข้า จงกลืนลงท้องไปให้หมด ผู้ใดกล้าเอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียวก็ระวังหัวของพวกเจ้าให้ดี เข้าใจหรือไม่?”
หลัวอวี่ก่วนสั่นระริก
ไฉ่เยว่เองก็สั่นเช่นกัน รีบเอ่ยตอบ “เพคะ หม่อมฉันรับทราบ !”
และทั้งสองก็รีบจ้ำออกไปโดยไม่หันกลับมา
แม่นมเหลียงเดินเข้ามา ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย “ฮองเฮา…ใจฮ่องเต้ยากนักจะเดา เรื่องนี้มิได้เป็นดั่งเจตนา แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำสิ่งใดมิได้ ท่านหญิงสามก็ยังทรงพระเยาว์ พระพักตร์บาง ไม่รู้เรื่องอะไร ทรงอย่าไปถือสาอะไรนางเลย !”
“นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจะชั่งใจไม่เป็นเชียวหรือ” หลัวฮองเฮาเอ่ย
หลัวอวี่ก่วนมีปฏิภาณดี แต่ชอบทำตัวฉลาด ชอบออกความเห็นอยู่เรื่อย แม้นางเองจะขัดใจอยู่บ้าง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้เป็นภัยอะไร เลยทำได้เพียงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
คำพูดของหลัวอวี่ก่วนเมื่อครู่ ก็แฝงความหมายอย่างชัดเจนว่าอยากให้นางเก็บรางวัลที่ให้ฉู่สวินหยางก่อนหน้านี้กลับมา
“เรื่องนี้พักไว้ทางหนึ่งก่อน แต่นิสัยของฮ่องเต้เจ้าไม่รู้หรอกหรือ คำพูดที่พระองค์พูดไม่เคยคืนคำ โดยเฉพาะเรื่องใหญ่เช่นนี้ เจ้าเคยเห็นพระองค์กลับคำสักเท่าไรกันเชียว” แต่หลัวฮองเฮากลับไร้กะจิตกะจิตจะคิดอย่างอื่น ได้แต่เอ่ยเสียงเรียบ อารมณ์โกรธเคือง
ก็เพราะรู้นิสัยของฮ่องเต้ ฉะนั้นเมื่อเช้าตรู่ในยามที่หลี่รุ่ยเสียงมา นางก็ไม่เหลือทางถอยไว้แม้แต่น้อย หาทางผูกมัดใจฉู่สวินหยางอย่างเต็มที่ ใครจะไปคิดว่าเรื่องที่ไม่ควรมีอะไรผิดแผน ครั้งนี้…
จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไป!
หลัวฮองเฮาหยิบถ้วยชาข้างมือขึ้นมา ในใจรู้สึกเหมือนติดค้างอะไรอยู่เสียอย่างนั้น ยังไม่ทันถึงปากก็วางกลับไปบนโต๊ะอย่างแรง น้ำชากระเด็นออกจากถ้วย ทำให้มุมหนึ่งของชุดนางเปียกชื้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลัวฮองเฮาเอ่ยด้วยอารมณ์โกรธ คุมอารมณ์ของตนไม่อยู่ วิ่งออกไปชี้ทางนอกตำหนัก “แม่นมเหลียง เจ้าออกไปสืบให้ข้า ข้าจะต้องรู้เรื่องทั้งหมดนี้อย่างละเอียด!”
“ฮองเฮาเพคะ!” แม่นมเหลียงรั้งมือนางเอาไว้ มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าทั้งสี่ทิศไร้ผู้คนจึงเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อครู่ท่านหญิงอันเล่อให้คนมาส่งข่าว…”
แม่นมเหลียงนำเรื่องก่อนและหลังที่ซูหลินจะขอเข้าพบในห้องทรงอักษรให้ฟังจนหมด
เมื่อหลัวฮองเฮาได้ฟังสีหน้าก็ไม่ได้สีขึ้นมามากนัก ได้แต่เอ่ยถามอย่างสงสัย “ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?”
“คงเป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยเรื่องเกิดอย่างกะทันหัน ยามนั้นฝ่าบาทก็รับมือไม่ไหว” แม่นมเหลียงเอ่ย “องค์รัชทายาทเองก็โมโหเพราะเรื่องนี้ ว่ากันว่าเครื่องถ้วยชามภายในโดนตีจนแตกร้าวไปหมด พระองค์ก็คงรู้ว่าองค์รัชทายาทรักท่านหญิงสวินหยางดุจหัวแก้วหัวแหวน ครั้งนี้ก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะพูดให้ยอมปริปากได้ แล้วยังโดนหักหน้าต่อหน้าผู้คน เกรงว่ายามนี้คงยังจะโกรธไม่หาย”
หลัวฮองเฮาครุ่นคิด แม้จะยังรู้สึกว่าเรื่องนี้จะไม่เข้าท่าเสียเท่าไร แต่ก็ไร้เบาะแสใดจะสืบหา สุดท้ายจึงทำได้เพียงเอ่ยประนีประนอม “ช่างเถอะ เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้เถิด ดีที่เรื่องของสวินหยางยังปิดหารือกันอยู่ ในเมื่อไม่สำเร็จ ก็คิดเสียว่าไม่ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน”
“เพคะ หม่อมฉันรู้ว่าควรทำอย่างไร” แม่นมเหลียงเอ่ยอย่างรู้เรื่อง สายตากวาดมองไปยังดอกไม้ที่ดูเหมือนไม่เป็นรูปเป็นร่างริมหน้าต่าง
หลัวฮองเฮาก็มองตาม ก่อนจะโบกมือขึ้นอย่างหงุดหงิด “หยิบออกไปเถอะ”
“เพคะ” แม่นมเหลียงไปหยิบกิ่งดอกไม้ดอกนั้นออกไป
หลัวฮองเฮานั่งอยู่ในตำหนักเพียงผู้เดียว แต่สีหน้ากลับมืดครึ้มจนถึงยามนี้ ไม่ปลอดโปร่งเสียนมนาน
ฉู่สวินหยางโดนทั่วป๋าไหวอันปฏิเสธการอภิเษกต่อหน้า ไม่มีหน้าไปทำอะไรแล้ว ขนาดหน้าของฉู่อี้อันยังพลอยไม่เหลือไปด้วย ยามนี้ ไม่ออกมาปลอบโยนก็ช่าง แต่คงจะไม่เก็บรางวัลที่ให้มาก่อนหน้านี้หรอกใช่หรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้น…
ยามนั้นที่ฮองเฮาให้ของพวกนี้มาก็ไม่ได้บอกว่าให้สินเดิม แต่บอกว่าให้ปิ่นแก่ฉู่สวินหยาง
งานอภิเษกคุยไม่สำเร็จ ทว่าอีกสามเดือน พิธีปักปิ่น[2]ของนางกลับยังคงจัดตามเดิม
หลัวฮองเฮาเองก็มีนึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าให้คนอื่นก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เป็นธิดาของคนแซ่ฟางที่นางไม่ค่อยชอบหน้าเสียนี่
เมื่อครู่แม้นางจะไม่ได้เอ่ยอะไรกับหลัวอวี่ก่วน ทว่าในใจกลับไม่ยินดีมากกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ
ในยามที่หลัวฮองเฮานั่งรู้สึกเสียดายอยู่ในตำหนักของตนนั้น หลานชายที่ฮองเต้ตั้งความหวังมากที่สุดอย่างคังจวิ้นอ๋องฉู่ฉีเฟิงก็ได้คุกเข่าอยู่หน้าห้องหนังสือหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว
แม้อาทิตย์บนนภาจะน่าชม แต่ก็ยังเป็นอากาศที่หนาวจับใจอยู่ ลมเหนือพัดโชยมา ราวกับมีดที่พัดมากรีดบนหน้า
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ยามอู่[3] นั้นคังจวิ้นอ๋องมาขอพบ และนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้รับผิดอย่างไม่ร้องอิดเอียนแม้แต่คำเดียว
ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องทรงอักษรก็ไม่ได้เรียกเขา ปล่อยให้คุกเข่าอยู่ตรงนี้
—————————————————
[1] พระราชโองการอภิเษก การแต่งงานโดยมีกษัตริย์เป็นผู้มีพระราชโองการนับเป็นงานแต่งงานที่ใหญ่และมีเกียรติมากในสมัยก่อน
[2] พิธีปักปิ่น จัดขึ้นสำหรับเด็กสาวที่อายุเกิน 15 ปีที่โตเป็นสาวเต็มวัยและพร้อมที่จะเข้าสู่พิธีแต่งงาน โดยการนำปิ่นมาเสียบบนเรือนผมที่รวบขึ้นมาไว้กลางศีรษะของตน เพื่อแสดงถึงความพร้อมที่จะถูกครอบครองหรือมีเจ้าของ
[3] ยามอู่ คือ เวลา 11.-12.59