สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 91.3 จะเป็นกับดักหรือไม่ (3)
แต่เห็นบทเรียนของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ซูหลินจึงเตรียมการป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ จับตามองนางอย่างถี่ถ้วนเป็นที่สุด จัดล้อมจวนในสามชั้นนอกสามชั้นไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้ภายในเล็ดลอดสิ่งใดออกไปแม้กระทั่งเสียงลม…
โทษดูแคลนบุญคุณกษัตริย์ ตระกูลซูของพวกเขานั้นรับไว้ไม่ไหวแน่!
“พี่ใหญ่ เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อยากแต่งไปโม่เป่ย! ที่ที่คีรีสูงหนทางยาวไกลนกไม่ออกไข่[1]เช่นนั้น ถ้าข้าไปแล้วคงอยู่ไม่รอดแม้แต่วันเดียว ท่านอยากเห็นข้าตายทั้งเป็นหรืออย่างไรกัน?” ในห้อง ซูหว่านคุกเข่าจับชายเสื้อของซูหลินร้องไห้ยกใหญ่
ซูหลินสีหน้าเย็นชา มองนางโดยไม่ปริปาก ไม่ว่านางจะร้องโวยวายเช่นไรก็ไม่ขยับเคลื่อนไปไหน
ซูหว่านตะโกนจนเสียงแหบไปหมด ก่อนจะกระโดดลุกขึ้นมาอย่างไม่มีวิธี และไปหยิบแจกันดอกไม้ข้างชั้นฟาดลงไปที่พื้นเต็มแรง
น้ำของดอกไม้กระเด็น เครื่องเคลือบกระเบื้องแตกกระจายไปทั่วพื้น
สุดท้ายซูหลินโดนนางทำอารมณ์เสีย เบ้ปากอย่างเย็นชา ก่อนเอ่ยประชดประชัน “ทำไมกัน เจ้าเลียนแบบฉู่หลิงอวิ้นที่อาละวาดจะจบชีวิตเลยหรือ”
เดิมซูหว่านเตรียมจะโค้งตัวไปเก็บเศษกระเบื้องพวกนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามามองยิ้มประชดกับดวงตาที่เยือกเย็นของเขา ทำให้นางหยิบจับไม่ถูก และนั่งลงไปบนเก้าอี้ ก่อนจะเอ่ยด้วยความโกรธ “อย่างไรเสียข้าก็ไม่แต่ง !”
ซูหลินก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งอื่น ล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อหยิบพระราชโองการสีเหลืองสว่างที่ม้วนอยู่ด้านในโยนมาตรงหน้านาง “เจ้าไม่อยากแต่งใช่หรือไม่? ได้! พระราชโองการอภิเษกของฝ่าบาทอยู่นี่แล้ว เจ้าก็ถือเข้าวังไปขอยกเลิกเองเถอะ ต่อไปเจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น ข้าจะไม่บังคับเจ้าอีก!”
น้ำตาของซูหว่านไหลนองลงมาบนหน้า มองพระราชโองการนั้นด้วยความตะลึง สักพักก็ล้มลงไปร้องห่มร้องไห้บนโต๊ะอย่างอดไม่ได้
พระราชโองการของฮ่องเต้ นางจะกล้าไปขัดได้อย่างไร
“พอเถิด” ซูหลินรู้ว่านางมีนิสัยรักตัวกลัวตาย เมื่อตวาดไปแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมา “เอาเวลาคิดว่าคืนวานนี้เกิดเหตุอันใดขึ้นดีกว่า”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น” ซูหว่านเอ่ยอย่างโมโห ร้องเสียงแหลม “ยามนั้นที่นั่นฆ่าอย่างมืดฟ้ามัวดิน ข้าไร้สติไปนานแล้ว พอข้าตื่นมาท่านก็อยู่ที่นี่แล้ว แล้วยังบอกว่าจะบังคับข้าให้แต่งงานกับคนอื่น ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น!”
หลังจากที่โหวกเหวกโวยวายด้วยความโกรธเสร็จ นางก็รู้สึกเหมือนคิดอะไรออก เงียบเสียงร้องและหันหน้ามองทางซูหลินอย่างถึงบางอ้อ “คำพูดนี้ของพี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ที่แท้ท่านสงสัย…”
ซูหลินยิ้มเจื่อน สายตาจับจ้องไปทางเรือนด้วยความมืดครึ้ม “ยามเช้าวันนี้ ศาลาว่าการพระนครส่งคนให้ส่งจดหมายไปตรวจสอบศพขององครักษ์ที่ถูกฆ่าเมื่อคืนนี้ หูกวงอยู่ไม่เห็นร่างตายไม่เห็นศพ[2] หลังจากคืนวานก็หายไป”
หูกวงก็คือหัวหน้าองครักษ์ที่ออกไปสำรวจเหตุการณ์ทั้งหมดแทนเขา
ซูหว่านเบิกตาโพลงอย่างไม่คาดคิด “ท่านหมายถึงหูกวงทรยศเราอย่างนั้นหรือ?”
“คนอื่นต่างก็ย้ายจากถนนใหญ่ตะวันออกไปตามฝ่าย แต่ทำไมเขาถึงตัดสินใจเปลี่ยนทางด้วยตัวเอง แล้วบังเอิญเรียกเราจนเจอะกับทั่วป๋าไหวอันอย่างนั้นหรือ?” ซูหลินเอ่ย สายตาดูถูกเหลือบมองไปที่นาง “คำพูดนี้ถ้าพูดออกไป เจ้าเชื่อหรือ?”
เรื่องเมื่อคืน เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาก็ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก พอจนวันนี้จึงได้เข้าใจ จะหาตัวหูกวงมาถามก็ตามตัวไม่เจอแล้ว หากไม่ได้หนีไปเพราะกลัวความผิดจะเป็นอะไรไปได้
ซูหว่านตกใจไม่น้อย และลืมความเสียใจไปชั่วขณะ สายตากลอกไปมาพันกันไปหมด สุดท้ายจึงจับแขนของซูหลินไว้แล้วเอ่ย “พี่ใหญ่ ท่านรีบไปเรียกจนให้จับเขากลับมา ท่านพูดถูก เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำ ต้องมีคนวางแผนทำร้ายเราเป็นแน่!”
“ข้ารู้แน่อยู่แล้วว่าเบื้องหลังต้องมีผู้บงการ แต่เจ้าว่าจะเป็นใครกัน” ซูหลินกลับไม่ร้อนรน เพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบ
หูกวงเป็นไส้ศึกที่ถูกผู้อื่นว่าจ้าง และก็หนีไปท่ามกลางความชุลมุน ยามนี้จะตามตัวกลับมาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เขาเองก็คร้านจะไปทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น
ในหัวของซูหว่านสับสนไปหมด ทว่าจะคิดอย่างไรกลับคิดไม่ออกเสียทีว่าใครกันที่ลงทุนลงแรงวางแผนทำร้ายนางเช่นนี้
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็อย่าพูดในสิ่งที่ไร้ประโยชน์อีกเลย เจ้าเองก็เลิกโวยวายเสีย แต่งเข้าโม่เป่ยก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร” ครุ่นคิดอยู่ร้อยรอบแต่ก็ไม่เป็นผล ซูหลินจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ไปชั่วคราวก่อน และตบบ่าซูหว่านและเอ่ยปลอบใจ “อ๋องโม่เป่ยอายุมาก ซื่อจื่อก็เหมือนจะไร้อนาคต อนาคตของทั่วป๋าไหวอันยังพัฒนาได้อย่างไม่จำกัด เจ้าแต่งกับเขา ไม่แน่อนาคตอาจจะได้สุขในความโชคร้ายก็ได้ หากได้ขึ้นเป็นภรรยาอ๋องโม่เป่ยนั้น นับว่าเป็นเรื่องดีของตระกูลซูของพวกเราอย่างยิ่ง”
“ข้า…” ซูหว่านเตรียมจะเอ่ยแย้งอย่างรวดเร็ว
แต่ซูหลินกลับไม่ให้นางเอ่ยออกมา รีบหุบยิ้มในทันใด และเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าเตรียมใจแต่งงานก็พอแล้ว เรื่องนี้มิใช่กงการอะไรของเจ้า หากก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ผู้ที่เดือดร้อนก็คือตระกูล ซูทั้งตระกูลนี้ ถึงตอนนั้นถ้าท่านพ่อตำหนิอะไร ข้าก็มิอาจคุ้มกะลาหัวเจ้าได้”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็ไม่รอให้ซูหว่านตอบอะไรก็สะบัดชายเสื้อหันตัวเดินออกไป
ในใจของซูหว่านกึ่งกล้ำกลืนกึ่งโกรธแค้น กลับหลังหันไปล้มตัวลงบนเตียงนอนและร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง
นางไม่ใช่ฉู่หลิงอวิ้น ไม่มีเสด็จแม่อย่างหลัวฮองเฮาคอยออกหน้าแทนนาง ในโลกนี้คงจะไม่มีทางเหลือรอดให้นางจริงๆ เสียแล้ว
ซูหลินออกมาจากห้องของซูหว่าน คนที่เขาสั่งให้ไปตามหาหูกวงก่อนหน้านี้ ยามนี้ก็กลับมาถึงแล้ว
เมื่อซูหลินเห็นท่าหดหัวของเขาก็รู้ทันทีว่าทำเรื่องไม่สำเร็จ
“หาไม่เจอหรือ?” เขาเอ่ยถามพลางเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น
“ขอรับ ที่ที่ซ่อนตัวได้ในเมืองก็ค้นทั่วแล้ว ไร้ซึ่งข้อมูลใดใดคงจะ…ออกจากเมืองไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว” ผู้นั้นเอ่ย พลางหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองสีหน้าของเขา “เนื่องด้วยเรื่องนักฆ่า ทำให้พระนครปิดเมือง คนของเราก็มิกล้าค้นหากันอย่างเอิกเกริก ซื่อจื่อท่านเห็นว่า….”
“เช่นนั้นก็ถอยเถิด!” ซูหลินเอ่ย หัวเราะเสียงหึขึ้นจมูก
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาเองก็คิดโยงได้หมดแล้ว คงทำได้แค่คิดไปทีละขั้นเท่านั้น
ระหว่างที่กำลังพูด ผู้ดูแลตระกูลซูก็เดินลุกลี้ลุกลนเข้ามาจากนอกจวน เอ่ย “ซื่อจื่อ ในวังปล่อยข่าวมา บอกว่าองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยอยากเร่งแต่งงานให้เสร็จ แต่ท่านโหรนับวันดูแล้ว ฤกษ์ดีช่วงนี้มีเพียงวันที่หกเท่านั้น ทางฝั่งนั้นจึงอยากมาถามความเห็นของท่านหญิง…ท่านเห็นว่า…”
วันที่หก? ไม่ใช่วันที่ฉู่หลิงอวิ้นแต่งออกเรือนหรอกหรือ?
ซูหลินสีหน้าครึ้มลง นัยน์ตาแฝงด้วยความเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่อเป็นวันที่ท่านโหรเสนอมา ยังจะต้องเลือกอะไรอีกเล่า? บอกทั่วป๋าไหวอันเสียว่าจวนเราไม่ขัดอะไร”
ซูหว่านไม่ค่อยยินดีกับเรื่องงานแต่งนี้เท่าไร พ่อบ้านจวนซูเองที่มาก็เพราะเป็นกังวล ยังคิดว่าซูหลินจะขอให้เลื่อนออกไปอย่างเต็มที่ จะได้มีเวลาเกลี้ยกล่อมนางให้ยอมรับเรื่องนี้ ทว่าไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบรับอย่างยินดีเช่นนี้
พ่อบ้านปรับตัวไม่ทัน เมื่อได้สติจึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “ขอรับ ข้าน้อยจะไปตอบความบัดนี้!”
“เดี๋ยวก่อน!” ซูหลินยังคงยิ้ม และเรียกเขาไว้อีกครั้ง มองเขาอย่างนิ่งลึกด้วยสายตาจริงจัง “บอกทั่วป๋าไหวอันเสีย หว่านเอ๋อเป็นทายาทหญิงเพียงผู้เดียวของตระกูลซู งานแต่งของนางจะทำลวกๆ มิได้ ข้าต้องการให้นางออกเรือนอย่างสง่า ไม่ว่าจะซ้อมพิธีก็ต้องให้โม่เป่ยทำให้ดีที่สุด!”
พ่อบ้านตะลึงไปครู่ แต่ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
ซูหว่านออกเรือนวันเดียวกับฉู่เหลิงอวิ้น และยังจัดงานในพระนครเหมือนกันอีก ซูหลินจึงอยากกดจวนอ๋องหนานเหอ เจตนาอยากให้ฉู่หลิงอวิ้นรับไม่ได้!
เห็นที งานผูกมิตรนี้คงไม่สำเร็จ และกลับกลายมาเป็นผูกแค้นไปเสียแล้ว!
“ขอรับ ข้าน้อยจะนำคำของซื่อจื่อไปบอกกับฝ่าบาทให้อย่างมิขาดตกแม้แต่คำเดียว”พ่อบ้านจวนซูเอ่ย ก่อนจะหันตัวเดินออกไป
ซูหลินมองแผ่นหลังของเขาและยิ้มเย้ย…
เขาอยากจะให้ฉู่หลิงอวิ้นลิ้มรสของจากตกจากปุยเมฆมาในโคลนตม นางไม่อยากแต่งกับเขามิใช่หรือ? เช่นนั้นนางก็ให้แต่งกับจางอวิ๋นเจี่ยนด้วยความอัปยศ ฐานะในวงผู้ดีในพระนครของตระกูลจางก็เก้อเขินเต็มทน ตัวฉู่หลิงอวิ้นเองก็ถอนหมั้นมาแล้วหนึ่งครั้ง กอปรกับฐานะพิเศษของทั่วป๋าไหวอัน คิดดูก็รู้ สองตระกูลจัดงานมงคลวันเดียวกัน สุดท้ายผู้ที่จะได้รับคำชื่นชมยินดีจากชั้นสูงคงเทมาที่ตระกูลซูของพวกเขาอย่างมิต้องสงสัย
ฉู่หลิงอวิ้นช่างเป็นหญิงที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี โดนคนเลี้ยงดูอย่างสูงส่งมาตลอด ถึงยามนี้รสชาติเย็นชาเช่นนี้นางก็ควรลิ้มรสดูบ้าง นางจะได้รู้ถึงจุดจบของการไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คนตระกูลซูของเขาใช่ว่าจะแกล้งได้ง่ายๆ
งานแต่งของทั่วป๋าไหวอันและซูหว่านถูกกำหนดวันอย่างเร็วรวด ข่าวก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน แต่ก็เป็นแค่บทละครกู้หน้าที่เหมาะกันราวกับกิ่งทองใบหยกเท่านั้น
————————————————————–
[1] คีรีสูงหนทางยาวไกลนกไม่ออกไข่ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึง ที่ที่ทุรกันดาร
[2] อยู่ไม่เห็นร่างตายไม่เห็นศพ เป็นสำนวน หมายถึง หายไปอย่างไร้ร่องรอย