สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 91.4 จะเป็นกับดักหรือไม่ (4)
ในจวนอ๋องหนานเหอ ฉู่ฉีเหยียนและฉู่หลิงอวิ้นกำลังนั่งจิบชากันอย่างเงียบๆ สีหน้าของทั้งสองต่างไม่ได้มีอารมณ์ใดใดไปมากกว่ากัน
ผ่านไปนาน เป็นฉู่หลิงอวิ้นที่เอ่ยก่อน “เป็นการกระทำของวังบูรพาอีกแล้วหรือ”
สายตาของฉู่ฉีเหยียนจับจ้องอยู่ที่ใบชาสีเขียวที่จมอยู่ไม่นิ่งในถ้วยชานั้น ราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่นางพูด ได้แต่คิดเรื่องในใจของตน
แต่ความอดทนของฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้ดีเท่าเขา เมื่อรอสักพักแล้วไม่ได้ยินเขาตอบก็ลุกโพลงไปแย่งถ้วยชาในมือมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ เรื่องนี้เจ้าเตรียมจะทำอย่างไร ?”
“ไม่ต้องสงสัย นักฆ่าวานนี้เป็นฝีมือของฝ่าบาท ข้าแค่แปลกใจเหตุใดซูหลินสองพี่น้องจึงพลอยเกี่ยวพันเข้าไปด้วย!” ฉู่ฉีเหยียนก็ยังคงไม่มองนาง และหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำชาที่เลอะอยู่ตรงนิ้วมืออย่างเอื่อยเฉื่อย “เป้าหมายของฝั่งนั้นคืออะไร ยืมมือฆ่าคน? อยากยืมมือนักฆ่ากำจัดสองพี่น้องตระกูลซูอย่างนั้นหรือ?”
“หากทั่วป๋าไหวอันมีเจตนา อยากฉวยเอาแรงสนับสนุนจากตระกูลซูล่ะ” ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย
“กรมทหารม้าเมืองเก้าข้าถามความแล้ว คืนวานสถานการณ์คับขันนัก ทุกคนอยู่ในอันตราย หากไม่ได้เป็นเพราะจวนรุ่ยซินอ๋องน้ำหลากรีบให้กรมทหารม้าเมืองเก้าส่งทหารม้าไป แล้วระหว่างทางบังเอิญเจอเรื่องนี้ ยามนี้ทั่วป๋าไหวอันจะรอดหรือไม่ก็ยากจะพูด” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย “เช่นนี้แล้ว ท่านยังคิดว่าเขามีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้ได้อยู่อีกหรือ?”
ชีพตนแทบม้วย ยังจะมีกะจิตกะใจไปวางแผนทำร้ายผู้อื่นอีกหรือ?
คิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้!
“เช่นนั้นก็แปลกแล้ว!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย คิ้วก็ขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หันไปนั่งบนเก้าอี้ “คงจะไม่เป็นฝีมือของวังบูรพาจริงๆ หรอกใช่หรือไม่? เร่งให้โม่เป่ยแต่งกับตระกูลซูดีต่อพวกเขาอย่างไรกัน? เพราะไม่อยากให้ฉู่สวินหยางแต่งออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ? เมื่อเสด็จพ่อรู้เรื่องนี้ ยากนักจะรู้ว่าท่านจะคิดเห็นเช่นไร”
ฉู่ฉีเหยียนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ตามจริงหากเรื่องนี้ด้านวังบูรพาเป็นผู้จัดการเขากลับรู้สึกว่ามันอธิบายได้…
เพราะฉู่หลิงอวิ้นไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาได้ตกลงปลงใจกับทั่วป๋าไหวอันว่าจะเร่งแต่งงานผูกมิตรทั้งสองตระกูล หากแต่ด้านวังบูรพาเสนอซูหว่านออกไปเพราะอยากทำลายความสัมพันธ์ครั้งสำคัญนี้ของพวกเขา ถ้าเช่นนี้ก็พอดูออก
เพียงแต่…
ฮ่องเต้ทรงตอบรับเรื่องนี้ได้อย่างไร? นี่ถึงเป็นจุดที่เขาคิดไม่ตกที่สุด…
“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็วางจุดจบไว้แล้ว พูดไปก็ไร้ประโยชน์” เมื่อเรียกสติกลับมาฉู่ฉีเหยียนจึงเอ่ย พลางใช้สายตาเคร่งขรึมมองไปยังฉู่หลิงอวิ้น “ฤกษ์สมรสของซูหว่านก็กำหนดไว้แล้ว เป็นวันเดียวกับท่าน หากเป็นวันนั้น…”
เขาพูดๆ อยู่ จู่ๆ ก็หยุดเว้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นมา “คงจะลำบากท่านหน่อยแล้ว!”
เมื่อพูดถึงเรื่องงานสมรสของตัวเอง ฉู่หลิงอวิ้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่แยแส และเอ่ยอย่างไม่สะท้าน “ไม่มีสิ่งใดที่ข้ารับไม่ไหวหรอก”
พิธีสมรสนั้น นางเองก็หวังไม่อยากไปร่วม แล้วจะไปใส่ใจกับสิ่งพวกนั้นทำไม?
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้า เมื่อเงยหน้ามองสีฟ้าก็มืดลงมากแล้ว จึงสะบัดเสื้อยืนขึ้น “ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน กี่วันนี้ท่านพักผ่อนมากๆ เถิด เรื่องภายนอก ปิดประตูทำเป็นไม่รู้ก็เพียงพอแล้ว หาต้องเก็บไปคิดไม่”
“เรื่องถึงยามนี้แล้ว ข้ายังจะกลัวอะไรอีก?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบอย่างไม่คิดอะไร “เจ้าไปธุระเถิด ไม่ต้องสนใจข้า!”
แม้นิสัยของพี่สาวตนผู้นี้จะแย่ไปนิดหน่อย แต่ใจคอเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ฉู่ฉีเหยียนจึงค่อนข้างวางใจ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มและลุกเดินออกไป
ทางฟากวังบูรพา ฉู่สวินหยางก็กำลังเตรียมน้ำหมึกเตรียมจะไปฝึกเขียนพู่กัน
ยามนี้ฉู่ฉีเฟิงเพิ่งกลับออกมาจากในวัง เปลี่ยนเสื้อผ้ากำลังจะออกไป ก็เห็นนางเดินมาจากด้านนอก
“ทำไมมายามนี้เล่า?” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มต้อนรับนางเข้าไปด้านใน
“ท่านพี่ทนเหนื่อยรับโทษแทนข้า หากข้าไม่มาดูท่าน ท่านคงจะแอบด่าทอในใจว่าข้าใจดำเป็นแน่” ฉู่
สวินหยางก็ยิ้มตอบให้เขา เห็นชุดใหม่ที่เขาเพิ่งเปลี่ยน จึงเอ่ย “ข้ามาผิดเวลา? ท่านพี่จะออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่มีอะไร เพียงแต่เตรียมจะไปคุยเรื่องอะไรเล็กน้อยที่ห้องหนังสือกับท่านพ่อเท่านั้น” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย จู่ๆ ก็นึกได้ว่าฉู่อี้อันเพิ่งจะกลับมาเมื่อเช้าเลยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสั่งกับเจี่ยงลิ่ว “เจ้าไปดูที ท่านพ่อตื่นแล้วหรือยัง”
“ขอรับ ท่านชาย!” เจี่ยงลิ่วรับคำสั่งและไปทันที
ฉู่ฉีเฟิงหันหลังกลับเข้าไปในห้องกับฉู่สวินหยาง ช่วงกี่วันมานี้เขายุ่งไปหมด จึงไม่อ้อมค้อมและเอ่ยตามตรง “ฤกษ์สมรสของซูหว่านและทั่วป๋าไหวอันกำหนดไว้วันที่หกนี้!”
ฉู่สวินหยางตกตะลึง เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
ริมฝีปากของฉู่ฉีเฟิงก็โค้งยิ้มขึ้นมากกว่าเดิม พลางก้มหน้าดื่มชาแล้วเอ่ย “เป็นคำขอของทั่วป๋าไหวอัน ฤกษ์สมรสฤกษ์หน้าเห็นทีจะเป็นปลายเดือนยี่แล้ว ยามนี้โม่เป่ยกำลังวุ่นวาย เขาจะมีกะจิตกะใจว่างมาหยุดอยู่ที่เรื่องนี้ได้อย่างไร”
ฉู่สวินหยางเห็นด้วย ยิ้มเล็กน้อย ไม่คัดค้านใดใด
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองสีหน้าของนางพลางลังเลอยู่นานนม สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ “เรื่องนี้ช่างแปลกนัก คืนวานซูหลินสองพี่น้องโดนลอบทำร้ายอาจจะเกี่ยวเนื่องจากอดีต แต่ทางหยางเฉิงกังนั้นยากจะเห็นเค้าลาง”
คำพูดของเขาฟังดูรื่นหู ระหว่างพูดสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่แต่บนใบหน้าของฉู่สวินหยางเพื่อดูพฤติกรรมของนาง
ฉู่สวินหยางก้มหน้าดื่มชาทำเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อถึงขั้นนี้จะแกล้งโง่ต่อไปคงจะยากแล้ว ในที่สุดก็ขยับปากอย่างไม่สนใจเท่าไร “เรื่องนี้ เมื่อเช้าระหว่างทางกลับท่านพ่อได้แจงให้ข้าฟังแล้ว นับว่ามีลับลมคมในจริงๆ เรื่องซูหลินคืนวานนี้พวกท่านจะสงสัยว่าเขาเป็นคนทำก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ฝั่งหยางเฉิงกังนั้น…ขนาดท่านพ่อยังไม่กล้าแตะข้อห้ามง่ายๆ เลย เขาเอาฝีมือมาจากไหนกัน?”
หากจะบอกว่าเป็นเหยียนหลิงจวินวางแผนให้ซูหลินสองพี่น้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องที่ทั่วป๋าไหวอันโดนลอบฆ่าก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจนัก ทว่าตอนนี้สิ่งที่แปลกที่สุดคงจะเป็นคำพูดของหยางเฉิงกัง เขาพูดราวกับว่ามีกำลังที่จะทำเรื่องครั้งนี้ออกมาเสียอย่างนั้น…
ทำลายข้อตกลงระหว่างฉู่ฉีเหยียนและทั่วป๋าไหวอัน ในยามเดียวกับที่บีบบังคับฮ่องเต้ให้ออกพระราชโองการอภิเษกยังดันให้ตระกูลซูเข้าสู่สนามรบ พูดปาวๆ ว่าเป็นงานสมรสที่เหมาะสมนัก ทว่าฮ่องเต้เดิมก็ไม่เชื่อตระกูลซูอีกต่อไปอยู่แล้ว ครั้งนี้จะไม่เป็นการโยนตระกูลซูลงในน้ำมันร้อนเลยหรือ?
ฉู่ฉีเหยียน ทั่วป๋าไหวอัน อีกทั้งซูหลินสองที่น้อง เมื่อมาคิดๆ คำนวณดูแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนกลายมาเป็นตัวช่วยสนับสนุนผลประโยชน์ของด้านวังบูรพาโดยปริยาย
ไม่สิ หากพูดให้ถูกต้องแล้วควรจะ ‘ช่วยสนับสนุนแผนของนาง’ ฉู่สวินหยาง!
ถ้าเป็นเพราะบังเอิญก็ช่างมันไป แต่ถ้าไม่ใช่…
เรื่องนี้ช่างควรค่าแก่การสืบเสาะนัก!
“ท่านพี่ ท่านคิดว่า…” เนื่องด้วยไม่รู้ถึงเบื้องหลังเบื้องลึก ฉู่สวินหยางจึงไม่กล้าวางใจนัก ยกถ้วยชาในมือขึ้นมาครุ่นคิด “นี่จะเป็นกับดักหรือไม่?”
สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่งก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันใด
“เมื่อครู่ที่ข้าอยู่ในวัง ข้าสังเกตพฤติกรรมของฮ่องเต้ทุกชั่วขณะ เรื่องนี้…” ฉู่ฉีเฟิงครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ส่ายหัว “หากเป็นแผนการของพระองค์ แต่สีหน้ากลับไม่ผิดแปลกแต่อย่างใด ช่างเดายากนัก !”
“งั้นก็ช่างเถิด !” ฉู่สวินหยางเห็นเขาคิ้วขมวดไม่คลายก็คลี่ยิ้มออกมา “อย่างไรเสียทั่วป๋าไหวอันและฉู่ฉีเหยียนต้องไม่นิ่งนอนใจอยู่แล้ว ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้เราเลี่ยงไปก็พอแล้ว กลัวไม่มีละครดูในวันดีๆ กันหรือ”
“เจ้านี่นี่!” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มขึ้นมาอย่างเอ็นดู
สองคนพี่น้องคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาพี่น้องอยู่พักหนึ่ง จนเจี่ยงลิ่วกลับมาบอกว่าฉู่อี้อันตื่นแล้ว ฉู่สวินหยางจึงวางน้ำหมึกนั้นแล้วออกไป
เมื่อกลับมาเรือนจิ่นฮว่าก็พบว่าชิงหลัวไม่อยู่ มีเพียงกระดาษสีเรียบฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
ฉู่สวินหยางหยิบขึ้นมาดูแวบหนึ่งก็ทิ้งลง
ชิงเถิงเห็นท่าทางของนางก็สงสัยจึงไปหยิบมาดู เมื่อเห็นก็ตาเป็นประกาย “ใต้เท้าเหยียนหลิงทิ้งสาส์นไว้ให้ท่านหญิงนี่!”
โบกรถระหว่างทางไม่มีผล นี่ใต้เท้าเหยียนหลิงจะเปลี่ยนกลยุทธ์ เชื้อเชิญกันโจ่งแจ้งอย่างนี้เลยหรือ?
ฉู่สวินหยางปิดปากเงียบไม่พูด หยิบถ้วยออกมารินน้ำให้ตัวเอง
ชิงเถิงเห็นท่าทีของนางจึงถอนหายใจอย่างผิดหวัง “หม่อมฉันจะตีกลับไปเดี๋ยวนี้!”
“ตีกลับไปยังจะทำอะไรได้?” ฉู่สวินหยางหันข้างมองไปแวบหนึ่ง น้ำเสียงยังคงไม่เร่งไม่ร้อนใดๆ
ชิงเถิงหยุดฝีเท้าหันกลับมา สุดท้ายก็ทนไม่ไหวและเอ่ย “ท่านหญิง…ท่านไม่โกรธแล้วหรือ?”
ฉู่สวินหยางสีหน้าเหมือนปกติ ค่อยๆ ดื่มน้ำ แต่กลับไม่ตอบคำถามของนาง ทำเพียงหมุนตัวเดินเข้าไปด้านในพลางเอ่ย “ตอบสาส์นเขา บอกว่าวันรุ่งข้าไม่ว่าง ถ้าเขาอยากพบข้าก็ค่อยพบวันที่หกตอนที่ไปร่วมงานเถิด!”
—————————————————–