สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 92.1 ล้วนแต่เป็นหมาก (1)
หลังจากนั้นหลายวันก็เว้นเสียไม่ได้ ที่จะต้องไปอวยพรปีใหม่ต่อญาติสนิทมิตรสหาย
ฐานันดรของฉู่อี้อันสูงส่งนัก หาต้องออกวิ่งไปทั่วเองไม่ แค่ให้พี่น้องจวนอ๋อง จวนองค์หญิงของพวกฉู่สวินหยางไปเป็นพิธีก็พอแล้ว
แม้สองพี่น้องสกุลซูจะไม่ค่อยถูกกับฉู่สวินหยางนัก แต่สาส์นของทางจวนซูและทั่วป๋าไหวอันก็ยังส่งมายังวังบูรพาตามเดิม
พอเดินทางอวยพรปีใหม่เสร็จทั้งสัปดาห์ วันที่ห้าพักหนึ่งวัน วันที่หกก็ถึงพิธีสมรสของฉู่หลิงอวิ้นและซูหว่านแล้ว
เช้าตรู่วันนั้นฉู่อี้อันก็ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าไปในวัง ฝั่งทั่วป๋าไหวอันก็มีหวงจ่างซุนฉู่ฉีฮุยไปในนามญาติผู้ใหญ่ ด้านฉู่ฉีเฟิงก็พาฉู่เยว่หนิงและฉู่เยว่ซินไปจวนอ๋องหนานเหอช่วยฉู่หลิงอวิ้นแบกหน้า
เหมือนกับที่ซูหลินคิดเอาไว้ไม่มีผิด แขกชั้นสูงที่มาอวยพรในวันนี้เหมือนกับเทกระจาดไปอีกด้าน ในพิธีเห็นได้ชัดว่าแขกส่วนใหญ่ล้วนจับจ้องไปทางด้านทั่วป๋าไหวอันและตระกูลซู ทั้งสองตระกูลแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ตั้งใจจัดเตรียมทุกเรื่องของงานแต่งอย่างเต็มกำลัง
เมื่อเช้า ฟ้ายังไม่ทันสาง จวนอ๋องหนานเหอก็เปิดจวนแล้ว ฉู่ฉีเหยียนนำหลี่หลินเคียงกายออกจากจวนไปยังเรือนมีสุขทางทิศใต้
หัววันฟ้ามืดหมอกลงจัด พื้นดินขาวโพลนไปทั่ว แสงตะเกียงของพวกชาวบ้านที่แขวนไว้ใต้หลังคาก็สะท้อนแสงมาส่องตา
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ตลอดทางใจลอยคิดเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อย เมื่อเดินทางไปได้ครึ่งชั่วยาม ฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา พอเงยหน้าก็เห็นว่ามาถึงประตูเรือนมีสุขที่ปิดสนิทอยู่แล้ว
“ยังไม่เปิดประตู!” หลี่หลินเอ่ย เตรียมตัวป้องกัน กวาดสายตาหลักแหลมไปทั่วทุกสารทิศ “เหตุใดจู่ๆท่านหญิงสวินหยางจึงนัดซื่อจื่อมาเจอที่นี่ จะมีแผนการอะไรหรือไม่?”
“บอกแล้ว หากไร้เรื่องร้อนคงไม่ถ่อไปถึงวัด[1] ถ้านางไม่มีแผนการใดๆ สิถึงจะแปลก!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย กวาดมองไปแวบหนึ่ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างที่เปิดอยู่ชั้นสองทางด้านตะวันออกนั้น
คืนวานนี้ จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็ส่งจดหมายมานัดเขาไปพบที่เรือนมีสุขเวลารุ่งอรุณ
ช่วงสำคัญเช่นนี้ เดิมเขาก็ไม่อยากมา แต่ก็เพราะในใจขบคิดอยู่นานนม คิดไปคิดมาจึงตัดสินใจมาตามนัด
“หน้าต่างบานนั้น…..” หลี่หลินเห็นเขาใจลอย จึงมองตามสายตาเขาไปอย่างสงสัย และเอ่ยถาม “ให้ข้าน้อยไปเคาะประตูหรือไม่?”
นัยน์ตาของฉู่ฉีเหยียนครึ้มลงในทันใด ไม่รู้เหตุใด จู่ๆ ในใจก็ร้อนรนขึ้นมา และเปลี่ยนใจในทันที จึงยกมือรั้งเขาไว้ “ไม่ต้อง กลับเถิด!”
หลี่หลินตกใจเล็กน้อย
“ข้าบอกว่าเรากลับเถิด!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย พอจะหันหัวม้ากลับไปแต่สายไปแล้ว
ฉู่สวินหยางควบม้ามาจากหน้าด้านอย่างกล้าหาญ ค่อยๆ โผล่ชัดออกมาจากแสงฟ้าที่ยังไม่สว่างดี
ฉู่ฉีเหยียนจึงต้องควบบังเหียนหยุดม้าไปโดยปริยาย ฉู่สวินหยางเห็นเขาก็ยิ้มแย้มทักทายมาแต่ไกล “ซื่อจื่อช่างตรงเวลานัก คืนวานหมอกลงจัด ทางลื่นจึงล่าช้าไปเล็กน้อย ขออภัยด้วย!”
“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเหยียนหายใจเข้าลึกและคลี่ยิ้มเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรจึงต้องนัดข้ามาถึงนี่? เมื่อครู่ยังคิดว่าเจ้าล้อข้าเล่นอยู่เลย!”
“ได้อย่างไรกัน?” ฉู่สวินหยางเอียงหน้าส่งสัญลักษณ์ให้ชิงหลัว
ฉู่ฉีเหยียนเองก็อยากจะรั้งไว้แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ชิงหลัวหันตัวออกไปออกแรงผลักประตูใหญ่เรือนมีสุขอย่างไม่เบาแรง
“ข้างนอกอากาศหนาว เข้าไปคุยด้านในเถิด!” ฉู่สวินหยางก็ลงจากหลังม้ามา
ฉู่ฉีเหยียนจึงทำอะไรไม่ได้ ได้เพียงลงจากม้าตาม
“เช้าตรู่เช่นนี้ ประตูก็ยังไม่เปิด ใครกัน?” คนด้านในขยี้ตางัวเงียพลางหาวหวอดๆ และเปิดประตูเตรียมจะออกไปปฏิเสธอย่างขอไปที “อภัยแขกทุกคนด้วยนะขอรับ ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดเรือน ขอเชิญพวกท่าน…”
“เจ้านี่ตาบอดหรืออย่างไร!” เขายังเอ่ยไม่ทันจบก็โดนคนตะครุบเสื้อ
ชิงหลัวดึงเขาออกมาจากประตู จ้องเขาหน้าตาย ก่อนเอ่ย “ดูท่านหญิงและซื่อจื่ออ๋องหนานเหอไม่ออกหรือไรกัน? ไล่แขกชั้นสูงกลับไป เจ้าคิดว่าเจ้ามีหัวกี่หัวให้ตัดกัน?”
คนผู้นั้นโดนว่าจนงงไปหมด
ยามนี้เถ้าแก่ร้านที่อยู่ด้านในก็รีบออกมา
แม้เขาจะไม่รู้จักแขกชั้นสูงอย่างซื่อจื่อหรือท่านหญิงแต่อย่างใด แต่เพียงเห็นการแต่งกายและมาดของพวกฉู่สวินหยางแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้ที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ
“มีตาหามีแววไม่!” เถ้าแก่ผลักบ่าวไปอีกด้านเต็มฝ่ามือ และรีบนำทั้งสองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้านั่นช่างเขลานักจึงได้เมนเฉยกับแขกชั้นสูงเช่นนี้ อย่างไรก็ขอให้ท่านอภัยด้วย เชิญด้านใน เชิญด้านใน!”
ยามเช้าตรู่เช่นนี้ ห้องโถงยังจุดตะเกียงอยู่แสงไฟจึงค่อนข้างมืด ดูๆ แล้วไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไหร่
“สองท่านดูเอาเถิดว่าจะสั่งอะไร” เถ้าแก่ถามอย่างกระตือรือร้น และแอบให้สายตามองระหว่างทั้งสองคนไปมาเพื่อสังเกตรูปลักษณ์ให้ชัดอีกครั้ง
“ข้ากับซื่อจื่อมีเรื่องต้องคุย ขอตัวไปห้องพักชั้นสองก่อน เถ้าแก่ท่านไปทำงานต่อเถิด หากข้าต้องการอะไรจะให้สาวใช้ลงมาสั่ง” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางเคาะแส้ม้าทองที่ถืออยู่ในมือไปพลาง
ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่ได้ค้านอะไร สายตาเหลือบมองไปในฝ่ามือนาง
ใต้แสงตะเกียง แส้ม้าสีทองสง่าอยู่ในมือขาวอมแดงสะท้อนกับแสง ยิ่งเผยให้เห็นผิวงามราวหยกของนาง สิบนิ้วเรียวเล็ก งดงามเป็นที่สุด
ฉู่ฉีเหยียนจึงใจลอยไปชั่วครู่อย่างไม่ทันตั้งตัว
เถ้าแก่ผู้นั้นก็มีสติ รู้ความเป็นที่สุด ในเมื่อฉู่สวินหยางบอกไม่ต้องเอาใจ เขาก็ไม่อยู่ให้รกตา หันกลับเข้าไปในห้องด้านหลังทันที
“ซื่อจื่อเชิญเถิด!” ฉู่สวินหยางยิ้มเล็กน้อย ใช้แส้ม้าชี้ไปยังบันไดด้านหน้า
ห้องยืนเวรของเถ้าแก่และบ่าวก็อยู่ข้างๆ แม้ฉู่ฉีเหยียนจะเดาออกอยู่แล้วว่าที่ฉู่สวินหยางนัดเขามาวันนี้ต้องมีอะไรแอบแฝง แต่หลายๆ สิ่งก็ไม่อาจพูดต่อหน้าคนนอกได้
เขามองนางแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ยอมสาวเท้าขึ้นไปยังชั้นสองแต่โดยดี
ฉู่สวินหยางยิ้มและตามไป
ในยามนี้ห้องชั้นสองทั้งหมดก็ปิดแน่นทุกห้อง
ฉู่สวินหยางเดินตรงไปยังห้องในสุด
ฉู่ฉีเหยียนปรายสายตาเล็กน้อย หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อครู่ที่อยู่ด้านล่าง จึงรู้ว่าห้องที่นางกำลังจะไป คือห้องที่เขาเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ห้องนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉู่ฉีเหยียนจึงเร่งฝีเท้ากว่าเดิม รีบไปหยุดฉู่สวินหยางก่อนที่นางจะยกมือเปิดประตู และเข้าไปยกมือกันนางไว้
“วันนี้พี่หญิงของข้าจัดงานมงคลสมรส ในจวนข้ายังมีงานให้ทำอีกมาก ท่านหญิงมีเรื่องอันใดรีบพูดมาตรงๆ เถิด” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย “อีกครู่ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว!”
“จวนอ๋องหนานเหอจัดงานมงคลก็ต้องมีท่านอ๋องและท่านชายาจัดการอยู่แล้ว ขาดท่านไปสักคนจะเป็นอะไร เหตุใดซื่อจื่อต้องรีบร้อนเพียงนี้ด้วย?” ฉู่สวินหยางเอ่ย ก่อนจะเก็บมือกลับไปจัดการเสื้อผ้าของตน
สายตาของฉู่ฉีเหยียนหยุดอยู่ที่กระเป๋าเสื้อของนาง แต่ก็ไม่ได้มีกำลังมารับมือกับนาง “วันนี้ข้ามีธุระจริงๆ หากเจ้าอยากดื่มชา คุยสารทุกข์กับข้า ไว้เราค่อยนัดจะเป็นไร วันนี้ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
เมื่อพูดจบก็หันตัวเดินออกไป!
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ มองเขาที่เดินไปได้สองสามก้าวแล้วจึงหัวร่อเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ท่านหญิงอันเล่อจัดงานแต่งจนชำนาญไปนานแล้ว นางเองยังรับมือไหวเลย เหตุใจท่านถึงต้องเป็นห่วงเช่นนี้? วันนี้ เรื่องที่ซื่อจื่อเป็นห่วง เห็นทีจะเป็นเรื่องของผู้อื่นมากกว่า!”
ฉู่ฉีเหยียนชะลอฝีเท้าเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางไม่อาจเห็นสีหน้าและอารมณ์ของเขาได้จากด้านหลัง นางเองก็เหมือนกับไม่ได้อยากจะสนใจแต่อย่างใด ไม่นานก็เบือนสายตาหนี
ฉู่ฉีเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หันกลับมา กระตุกมุมปากแล้วเอ่ย “เจ้าหมายความอย่างไร?”
“พูดไปเรื่อยเท่านั้น!” ฉู่สวินหยางเอ่ย “แต่มีบางเรื่อง ข้าคิดว่ามีความจำเป็นต้องสารภาพกับท่านซื่อจื่อเสียหน่อย!”
เมื่อเห็นท่าทีว่านางมีแผนการ ฉู่ฉีเหยียนจึงรู้ว่าตนคาดการไม่ผิด เรื่องวันนี้จะยุ่งยากแล้ว
เขาเตรียมใจไว้แล้ว แต่สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแค่เอ่ยถามอย่างสงบ “สารภาพอะไร?”
“ก็ต้องเป็นร่องรอยของทุกคนในวังบูรพานะสิ!” ฉู่สวินหยางเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำทุกตัวอักษร ดวงตาจ้องมองไปในสายเขาเป็นประกาย “ท่านพ่อของข้าไปในวัง เมื่อฟ้าสางพี่ใหญ่เป็นตัวแทนไปร่วมงานเลี้ยงยินดีของทั่วป๋าไหวอัน ส่วนพี่รองกับพวกพี่หญิงน้องหญิงก็ไปยังดื่มเหล้ามงคลที่จวนอ๋องหนานเหอของท่าน ส่วนข้า…ก็นับว่าขาดวิชาแยกร่าง วันนี้แต่เช้าตรู่จึงนัดท่านซื่อจื่อออกมาดื่มชาที่นี่”
ดวงตาของฉู่ฉีเหยียนยังคงไม่ขยับ ปิดปากแน่นไม่ตอบคำของนาง
ฉู่สวินหยางยักไหล่ขึ้นอย่างไม่สนใจ และเดินหลบไปอีกด้าน
——————————————————————-
[1] ไร้เรื่องร้อนใจคงไม่ถ่อไปถึงวัด เป็นสำนวน หมายถึง หากไม่มีเรื่องบางสิ่งคงไม่เดินทางมาหา