สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 92.2 ล้วนแต่เป็นหมาก (2)
นางท้าวมือทั้งสองไว้บนราวข้างๆ สายตามองไปยังห้องโถง โรงเหล้าที่เงียบสงัดและค่อยๆ เอ่ย “ขอโทษซื่อจื่อด้วย ข้ารู้ท่านมองการณ์ไกล แต่วันนี้หากมีคนในวังบูรพาของข้าเกี่ยวพันเข้าไปในเรื่องนี้ ท่านคงยากจะปัดความรับผิดชอบได้”
สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนหนักหน่วงดั่งวารี มองนางไม่พูดไม่จา
ฉู่สวินหยางเมินสายตาเยือกเย็นของเขา ยิ้มและเอ่ยต่อ “เมื่อครู่ท่านกับข้าเดินเข้าประตูเรือนมีสุขมาด้วยกัน เถ้าแก่และบ่าวที่นี่ต่างเป็นพยาน หากกลับลำเอาตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว ท่านจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่ปิดบังเรื่องเลว ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย เชิญท่านด้านในเสียจะดีกว่า!”
นางพูดพลางหันตัวไปดันประตูห้องพักด้านหลังออก
เมื่อประตูใหญ่เปิดออก เหยียนหลิงจวินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างก็เหลือบตามอง แต่ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆ และยังมองหนีไปนอกหน้าต่าง
เขาว่าแล้ว จู่ๆ นางนัดเขามาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
และก็จริงตามคาด โดนรู้ทันเสียแล้ว
ฉู่ฉีเหยียนยืนกวาดตามองร่างของสองคนนั้นอยู่หน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วก็ยังไม่ขยับ
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใต้เท้าเหยียนหลิงรสมือปรุงชาเลิศล้ำนัก ซื่อจื่อมาลองคงไม่เสียหายอะไร อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ดื่มชาร้อนๆ ไป ชมทิวทัศน์ท้องถนนไป นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว!”
ทั้งเหยียนหลิงจวินและฉู่ฉีเหยียนก็ไม่มีใครค้าน มีนางเท่านั้นที่พูดเจื้อยแจ้วยิ้มแย้มอยู่คนเดียว ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย
ชาข้างๆ มือของเหยียนหลิงจวินเพิ่งจะต้มเสร็จ นางจึงหยิบมาซดจนหมด
เหยียนหลิงจวินถึงกับขมวดคิ้วแน่น
ฉู่ฉีเหยียนยังคงยืนลังเลว่าจะเข้าดีหรือจะถอยดีอยู่หน้าประตู
ช่วงที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น ม่านฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ เปิดออก ขอบฟ้าด้านตะวันออกเริ่มเผยแสงสีขาวท้องปลา[1]มาให้เห็น
และในยามนี้ จู่ๆ ด้านนอกก็เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมา
ที่ตั้งของเรือนมีสุขอาณาเขตติดกับประตูเมืองเฉิงหนาน หน้าต่างห้องนี้ก็ตั้งตรงเหมาะเจาะกับประตูเมืองพอดี ระยะทางห่างกันไม่ถึงสิบจั้ง
ฉู่สวินหยางได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปใกล้อย่างสนใจ เปิดหน้าต่างออกไปด้านนอกให้กว้างกว่าเดิมพลางเอ่ยกับฉู่ฉีเหยียน “ประตูเมืองเหมือนจะคึกคักขึ้นมาแล้ว ซื่อจื่อไม่อยากดูหน่อยหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนหลบตา…
คำพูดนี้ของนางแฝงด้วยนัยที่เขาเองก็พอแยกแยะได้ไม่ยาก
ยามนี้ราวกับว่าไร้ที่ให้เขาถอยกลับแล้ว…
เมื่อลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายฉู่ฉีเหยียนจึงตัดสินใจเดินหน้าตายเข้าไป
ในยามเดียวกัน ทางฝั่งประตูเมืองกำลังวุ่นกันยกใหญ่ เนื่องด้วยระยะห่างจึงไม่ได้ยินว่าทะเลาะเรื่องอะไร เพียงแต่พอแยกได้ว่ากองทัพขนศพขัดแย้งกับนายทหาร กอปรกับยามนี้ประตูเมืองเพิ่งจะเปิด ผู้คนทั้งในและนอกต่างคอยจะเดินทางจึงทำให้คนอัดแน่นไปหมด วุ่นวายเป็นหม้อโจ๊ก
ฉู่สวินหยางชมอย่างอรรถรสถึงกับหัวเราะเอิ้กอ้ากและวิจารณ์เป็นระยะ
ฉู่ฉีเหยียนนั่งเงียบบนเก้าอี้ตัวข้างๆ
เหยียนหลิงจวินผู้ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นั่งจิบชาเงียบๆ อยู่ตลอด จู่ๆ ยามนี้ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “นับแต่เรื่องนักฆ่าคืนสิ้นปียังไม่สรุปจบ ฮ่องเต้ก็อ้างเรื่องสืบนักฆ่าเรียกทหารรักษาการณ์ทั้งสามประตูกลับไปหมด และเนื่องด้วยทหารราบประตูหยาทำงานไม่ดีจึงโดนสั่งให้กลับเมือง ปิดประตูหยาสำนึกผิด ประตูเมืองต่างๆ จึงยกสิทธิ์ให้ทหารม้าเมืองเก้าในท่านรัชทายาทรับผิดชอบ ฤกษ์งามยามดีเฉกเช่นวันนี้ต่างก็ต้องครึกครื้นมากเป็นธรรมดา เทียบได้กับสายไหมเติมน้ำตาล คุ้มกับที่ท่านโหรคำนวณฤกษ์ออกมาเสียจริง”
สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาหลักแหลมเหลือบมองไปทางเขาและเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ใต้เท้าเหยียนหลิงสนใจเรื่องเล็กน้อยเสียจริง ท่านนี่ช่างว่างนัก ตั้งแต่ท่านมาซีเยว่อะไรๆ ก็ต้องมีท่านแทรกเข้าไปตลอด!”
“เป็นเกียรตินักที่ได้รับคำชมจากซื่อจื่อ ข้าน้อยน้อมรับ!” เหยียนหลิงจวินทำเหมือนฟังคำประชดที่เขาแฝงมาไม่ออก ยิ้มตอบกลับไป
“ยามนี้ก็ดูเรื่องครึกครื้นเสร็จแล้ว สวินหยางหากท่านไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัวก่อน” ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่ถือสาอะไรกับเขา เอ่ยจบก็ยืดตัวขึ้น
ฉู่สวินหยางหันออกจากหน้าต่าง และเดินเฉียดไปด้านหน้า หยุดการกระทำของเขา พลางยิ้ม “พวกท่านดื่มชากันเถิด โอกาสจะมีงานครึกครื้นทีช่างหายากนัก ข้าขอไปดูก่อน”
นางพูดโดยไม่หันกลับ ก่อนวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฉีเหยียนจ้องเขม็งด้วยความสงสัย…
เวลานี้ นางไม่หลบหลีก แล้วยังจะเข้าไปร่วมด้วยมันหมายความว่าอย่างไรกัน?
หญิงสาวผู้นี้ นางคิดอะไรกันแน่?
เมื่อได้สติ ฉู่ฉีเหยียนก็ลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็ว
เหยียนหลิงจวินที่อยู่โต๊ะข้างๆ หัวเราะเสียงด้าน “ธนูที่ยิงออกไปมิอาจหวนคืนกลับได้[2] จื่อซื่อไม่คิดว่ายามนี้อยู่กับข้าน้อยแล้วเหมาะสมกว่าหรือ? อย่างน้อยรอจนเรื่องหน้าต่างตะวันออกวันนี้เกิด เราทั้งคู่ล้วนจะได้เห็นประจักษ์มิใช่หรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนยืนได้ครึ่งหนึ่งก็ชะงัก ขมวดคิ้วมองไปทางเขา
สายตาของเหยียนหลิงจวินมองเขายิ้มๆ ไม่ยอมลดละ “เรื่องนี้ไม่มีที่ให้ถอยกลับแล้ว ยิ่งทำมากก็ยิ่งผิดมาก ซื่อจื่ออยู่เงียบๆ นิ่งๆ จะดีกว่า!”
คำพูดนี้เจตนารมณ์ยิ่งใหญ่ ทว่าความนัยกล่าวเตือนไว้ด้วย
ฉู่ฉีเหยียนมองเขา นิ้วมือค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัดซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ในใจรีบคำนวณชั่งใจอย่างรวดเร็ว เหยียนหลิงจวินก็ลุกเดินเข้ามาวางถ้วยชาไว้ตรงหน้าเขาถ้วยหนึ่ง “รสมือการต้มชาของข้าน้อยนับว่าไม่เลว ซื่อจื่อลองดื่มหน่อยคงมิเสียหาย!”
ฉู่สวินหยางทิ้งเหยียนหลิงจวินไว้ที่นี่เพื่อรั้งเขาไว้!
ฉู่ฉีเหยียนเข้าใจจุดนี้ดี แต่หญิงสาวเหมือนกับมองเจตนาของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเผยจุดอ่อนเช่นนี้ออกมา ยามนี้คล้ายกับไม่มีที่เหลือให้เขาปฏิเสธแล้ว
ครุ่นคิดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายฉู่ฉีเหยียนก็ใจเย็นลง ยกน้ำชาแก้วนั้นขึ้นมาและเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ใต้เท้าไมตรีเปี่ยมล้น หากปฏิเสธคงจะมิได้ ต้องเคารพดั่งคำบัญชาอยู่แล้ว!”
เหยียนหลิงจวินยิ้มเล็กน้อย และหันกลับไปนั่งโต๊ะเช่นเดิม
ฉู่ฉีเหยียนมองเขาแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะเอ่ย “นั่งนิ่งคงน่าเบื่อแย่ หลี่หลิน เจ้าลงไปบอกเถ้าแก่ให้ยกจานหมากล้อมมา”
พูดจบก็กันกลับไปทางเหยียนหลิงจวินและถามต่อ “ใต้เท้าเหยียนหลิงอารมณ์สุนทรีย์นัก ประลองกับข้าสักตาได้หรือไม่?”
“แน่นอน!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้ามองลึกไปทางเขา…
คนสุขุมยามมีภัยเช่นนี้จะดูถูกไม่ได้เลยเชียว
ระยะเผาขนเช่นนี้แล้ว หลี่หลินไม่รู้ว่าเจ้านายตนจู่ๆ ทำไมถึงมีกะจิตกะใจมาประลองกับเหยียนหลิงจวิน แต่ในเมื่อเป็นการตัดสินใจของฉู่ฉีเหยียนเขาก็เชื่อมาตลอด ได้ยินเช่นนั้นจึงลงไปยืมหมากล้อมตามสั่ง
กลิ่นชาหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง ชายหนุ่มทั้งสองนั่งลงหมากกัน
คนหนึ่งเป็นสายลมไร้พันธนาการ ท่าทางหล่อเหลา อีกคนหนึ่งผิวหน้าราวหิมะ สายตาเป็นประกาย มองไปแวบแรกก็รู้สึกอิ่มหนำ ช่างละเอียดงดงามนัก
ทางหมากของเหยียนหลิงจวินลงตามสบายตลอด ทว่าฉู่ฉีเหยียนกลับคิดซ่อนเงื่อน ลงหมากทุกตัวอย่างมั่นคง
ทางหมากต่างกันเช่นนี้ ลงไปลงมาทั้งสองต่างไม่มีใครกล้าอ่อนข้อ แต่ก็นับว่ารู้ผลแพ้ชนะแล้ว
หลังลงหมากไปได้ไม่กี่ตา เป็นเหยียนหลิงจวินที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “เห็นซื่อจื่อใจจดจ่อเช่นนี้ ราวกับว่ากุมชัยชนะไว้ในอกแล้ว”
“เทียบใต้เท้าเหยียนหลิงไม่ได้หรอก ยังไม่ทันลงหมากท่านก็ลงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก่อนแล้ว” ฉู่ฉีเหยียนเสียงเรียบด้วยน้ำเสียงประชด
เหยียนหลิงจวินหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ฉู่ฉีเหยียนถือหมากอยู่นานนม สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองขึ้นมาทางเขาและเอ่ย “มีคำถามหนึ่งที่ข้าไม่มีโอกาสได้ถามท่านสักที วันนี้บังเอิญนัก ขอคลายข้อสงสัยนี้ต่อหน้าท่านแล้วกัน ในราชวงศ์สถานการณ์วุ่นวายกระจายทั่วไปหมด ข้าดูออก ที่ท่านยอมร่วมเกมเป็นเพราะฉู่สวินหยางทั้งหมด แต่ท่านทุ่มสุดตัวเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าเสี่ยงไปหน่อยหรือ?”
“ซื่อจื่อก็อยู่ในตา แต่กลับมาสอนข้า ไม่รู้สึกน่าขันบ้างหรือ?” เหยียนหลิงจวินถามกลับ ยกมือขึ้นมาชี้กระดานหมาก แสดงสัญลักษณ์ว่าเขาควรลงหมากแล้ว
ฉู่ฉีเหยียนวางหมากลงในที่ที่คิดคำนวณไว้แล้ว และยังเอ่ยต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าเป็นคนเล่นหมาก ฉะนั้นคนนอกหมากอย่างท่านข้าเข้าใจชัดเจนดี นั่งเป็นตาอยู่กินพุงปลามัน[3]อย่างนั้นหรือ?”
จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็เย็นลง ยกแขนขวางเหยียนหลิงจวินที่กำลังจะลงหมาก
ข้อมือของทั้งสองต้านกันไว้ ต่างคนต่างไม่ยอม
บรรยากาศในห้องจู่ๆ ก็เย็นเยียบขึ้นมา เหมือนมีเค้าลางว่าจะเกิดการฆ่าฟันอันดุเดือดแผ่ซ่านไปทั่วห้อง
เหยียนหลิงจวินหลุบตาลงต่ำ ขนตาเงายาวปิดแววตาที่แท้จริงไว้ ฉู่ฉีเหยียนแม้นั่งอยู่ตรงข้าม แต่กลับไม่สามารถสังเกตแววตาของเขาได้ชัดเจนเลย
“หึ…” นิ่งเงียบไปสักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากในลำคอส่วนลึก
——————————————————————
[1] สีขาวท้องปลา คือสีโบราณของจีน เป็นสีขาวอมชมพูระเรือ
[2] ธนูที่ยิงออกไปมิอาจหวนคืนกลับได้ มาจากสำนวน ธนูที่ยิงออกไปมิอาจหวนคืนกลับได้ฉันใด วาจาที่กล่าวออกไปก็มิอาจหวนคืนกลับได้ฉันนั้น
[3] นั่งเป็นตาอยู่กินพุงปลามัน เป็นสำนวน หมายถึง นั่งเสวยผลประโยชน์จากการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย