สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 100.1 สมรู้ร่วมคิดกันทำความผิด (1)
“ยินดีที่ได้พบขอรับ พระชายาอ๋องหนานเหอ!” จางอวิ๋นอี้เดินเข้าไปหาแล้วทำความเคารพ
“อืม!” คนแซ่เจิ้งตอบด้วยท่าทางเย็นชา
ใบหน้าของจางอวิ๋นอี้เผยให้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาหันไปหาฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ด้านข้าง กล่าวทักทายขึ้น “ท่านหญิง!”
ฉู่หลิงอวิ้นปรายตามอง ลุกขึ้นยืนจัดแจงกระโปรงให้เรียบร้อย แล้วพูดว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เวลานี้เย็นมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ ไว้วันหลังข้าจะมาเยี่ยมท่านแม่ใหม่”
“เพิ่งได้คุยกันไม่กี่ประโยคเอง!” ต่อหน้าคนแห่งบ้านสกุลจาง คนแซ่เจิ้งหาได้ไว้หน้าจางอวิ๋นอี้เลยไม่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา
จางอวิ๋นอี้มองเห็นแต่เขาไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา เขาพยายามกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ แล้วยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มไม่คิดรีรออยู่ต่อ สั่งให้จื่อเหวยลงไปเตรียมตัว
คนแซ่เจิ้งเห็นแก่หน้านางจึงไม่เอ่ยอะไรขึ้นต่อ ก็เลยให้แม่นมกู้คอยช่วยเตรียมของด้วยอีกแรง ส่วนตัวเองก็จูงมือฉู่หลิงอวิ้นแล้วกำชับเรื่องจิปาถะกับนางเล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มจนจบจางอวิ๋นอี้เป็นเพียงของตกแต่ง ราวกับว่าตรงนั้นไม่มีเขาอยู่เลยด้วยซ้ำไป
จางอวิ๋นอี้เป็นลูกชายคนโตของสกุลจาง ทั้งยังถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดแห่งจวนเป่ยติ้งโหวอีกด้วย และเพิ่งเข้าสู่วัยสามสิบได้ไม่นาน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนมีความสามารถมากนัก แต่หากเทียบกับน้องชายของเขาจางอวิ๋นเจี่ยนแล้ว ตัวเขาถือว่าดีกว่าเยอะมาก ถึงแม้เขามีนิสัยเจ้าชู้เหมือนผู้ชายคนอื่น แต่อย่างน้อยเขายังรู้จักแยกแยะ จึงไม่มีชื่อเสียงในด้านไม่ดีให้เป็นที่เล่าลือกัน
คนแซ่เจิ้งคุยกับฉู่หลิงอวิ้นไปได้สองประโยค แม่นมกู้ก็เดินเข้ามาบอกว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ เตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิงอวิ้นอายุน้อยกว่า จึงไม่จำเป็นต้องให้คนแซ่เจิ้งเดินมาส่งนางถึงหน้าประตูด้วยตนเอง นางเดินออกมาจากเรือนพร้อมกับจางอวิ๋นอี้ โดยที่คนหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนเดินตามหลัง
ตอนจางอวิ๋นอี้อยู่ในจวนอ๋องหนานเหอ เขาระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงสักนิด
เดินไปได้สองก้าว ก็ได้ยินฉู่หลิงอวิ้นพูดขึ้นว่า “ท่านแม่เป็นคนพูดตรงไปตรงมา นางหาได้มีเจตนาร้ายไม่ ซื่อจื่อ
อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ”
จางอวิ๋นอี้ตกใจ หันหน้ามองขวับ พลันเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มให้
รอยยิ้มของฉู่หลิงอวิ้นเบาบาง แต่ด้วยใบหน้าอันสละสลวยของนางแล้ว ความสุขและความทุกข์บนใบหน้าของนางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหุบนั้นช่างงดงามยิ่งนัก
ราวกับดอกโบตั๋นสีสดใสที่ออกดอกอยู่บนที่สูง ยืนต้นต้อนรับสายลม ภายใต้ความเย่อหยิ่งจองหองนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนโยนสวยงาม
จางอวิ๋นอี้ยืนมองจนตาค้าง รีบพูดระคนหัวเราะขึ้น “มิบังอาจ! ท่านหญิงก็กล่าวเกินไป!”
ฉู่หลิงอวิ้นหัวเราะ แต่มิได้บ่งบอกอยู่ดีว่าหมายถึงอะไร นางก้าวเท้าเดินหน้าต่อไปด้วยท่วงท่าสง่างาม
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินไปถึงประตูใหญ่ แต่จางอวิ๋นเจี่ยนยังมาไม่ถึง มีเพียงข้ารับใช้เด็กผู้ชายที่ฮูหยินจางสั่งให้คอยดูแลอยู่ข้างกายจางอวิ๋นเจี่ยน วิ่งตรงมาด้วยใบหน้าเหงื่อไหลไคลย้อย ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ซื่อจื่อขอรับ ท่านหญิงขอรับ พวกท่านกรุณารออีกสักประเดี๋ยวนะขอรับ คุณชายรองกำลังโมโหอยู่ เขาไม่ยอมกลับขอรับ!”
จางอวิ๋นอี้สีหน้ามืดมนลง กำลังจะเอ่ยปากก่นด่า แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับหัวเราะขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบ! พวกเจ้าเล่นตามน้ำไปกับเขาหน่อยแล้วกัน โอ๋ให้เขาออกมาให้ได้ก็พอ!”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” ข้ารับใช้เด็กผู้ชายตัวน้อยคนนั้นตอบ แล้ววิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อน
ไม่ว่าจะเวลาไหนใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นก็นิ่งเฉยไร้อารมณ์
เรื่องของนางกับจางอวิ๋นเจี่ยนในตอนแรกนั้น ขนาดคนในสกุลจางเองก็ไม่มีใครได้รู้รายละเอียดต้นตอของเรื่องนี้สักคน ข้ารับใช้เด็กผู้ชายของจางอวิ๋นเจี่ยนก็ถูกเหยียนหลิงจวินไล่ออกไปแล้ว ภายหลังก็โดนฉู่ฉีเหยียนฆ่าปิดปากอีก จากนั้นจวนอ๋องหนานเหอก็ให้คำตอบเพียงแค่ว่า จางอวิ๋นเจี่ยนดื่มจนเมาแล้วไปลวนลามฉู่หลิงอวิ้นเข้า ทำให้ซูหลินโมโหเกรี้ยวกราดจนพลาดพลั้งลงไม้ลงมือใส่
เดิมทีจางอวิ๋นเจี่ยนเป็นคนไม่เอาไหนอยู่แล้ว มาในวันนี้ก็กลายเป็นแบบนี้ไปซะได้ ในสายตาของจางอวิ๋นอี้เอง…
ฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นเพียงดอกไม้งดงามที่ปักอยู่บนก้อนขี้วัว
ฉู่หลิงอวิ้นออกเรือนได้ไม่ถึงสองวัน ถึงแม้ต่อหน้าสกุลจางจะให้ความเคารพนางเป็นอย่างมาก แต่ลึกๆ แล้วพวกเขาระมัดระวังทุกอย่างต่างหาก กลัวว่านางโกรธแค้นจางอวิ๋นเจี่ยน แล้วทำอะไรที่เป็นภัยต่อสกุลจางขึ้นมา
แต่ท่าทางและอารมณ์ของนางกลับนิ่งสงบเป็นอย่างมาก ถึงแม้นางจะไม่สนใจไยดีจางอวิ๋นเจี่ยน แต่นางก็ไม่เคยทำเรื่องลามปาม ถือได้ว่ายังเป็นมิตรต่อผู้คนทั้งน้อยและใหญ่ในตระกูลจางอยู่
จางอวิ๋นอี้ถอนหายใจขึ้นในใจ พูดปลอบไปว่า “น้องรองเป็นแบบนี้ คงทำให้ท่านหญิงลำบากใจแย่เลย!”
ฉู่หลิงอวิ้นชายตามองเขาเป็นนัยว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จากนั้นตั้งใจเบี่ยงประเด็นไปว่า “ทำไมซื่อจื่อถึงมาเองแบบนี้เล่าเจ้าคะ มีข้ารับใช้อยู่กับข้าตั้งหลายคน เดี๋ยวไม่นานพวกเราก็กลับไปแล้วแท้ๆ!”
“ช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องวุ่นวายเยอะ ท่านแม่ไม่วางใจที่ปล่อยให้พวกท่านเดินทางกันโดยลำพัง เลยใช้ให้ข้ามาดูน่ะขอรับ” จางอวิ๋นอี้กล่าว “ข้าเองก็ต้องผ่านมาทางนี้อยู่แล้ว จึงแวะเข้ามา”
“ลำบากซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่หลิงอวิ้นก้มศีรษะเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ จากนั้นเบนสายตากลับไปอีกครั้ง
อารมณ์ช่างเย็นชา แต่ก็เป็นมิตร
จางอวิ๋นอี้แอบรู้สึกว่า…
ไม่แน่พวกเขาอาจจะคิดมากเกินไป ฉู่หลิงอวิ้นแค่ไม่ชอบหน้าจางอวิ๋นเจี่ยนก็เท่านั้น ไม่ได้คิดอยากจะเอาความแค้นในใจมาปลดปล่อยใส่คนอื่นในสกุลจางเสียหน่อย
ฉู่หลิงอวิ้นไม่เอ่ยปากพูดเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ผ่านไปได้สักพัก ข้ารับใช้สองคนก็กึ่งลากกึ่งดึงจางอวิ๋นเจี่ยน ออกมาจากด้านใน
ฉู่หลิงอวิ้นชายตามอง แล้วหันหลังขึ้นรถม้าไปทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
จางอวิ๋นอี้มองแผ่นหลังของนางแล้วหยุดคิดไปชั่วขณะ พลางถอนหายใจขึ้นในใจอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง เขารีบเก็บอารมณ์เอาไว้แล้วเข้าไปช่วยพยุงตัวจางอวิ๋นเจี่ยนขึ้นรถม้าคันที่อยู่ข้างหลังไป
ขบวนผู้คนที่นำด้วยจางอวิ๋นอี้ มุ่งหน้าตรงไปยังจวนติ้งเป่ยโหวอย่างเร่งรีบ
บนรถม้าคันนั้น จื่อเหวยขดตัวอยู่ในมุมมาตลอดทาง นางคอยใช้แววตากังวลและไม่สบายใจแอบมองใบหน้าด้านข้างของฉู่หลิงอวิ้นเรื่อยๆ…
ท่านหญิงของพวกนางเกลียดคนสกุลจางเข้ากระดูกดำ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้แสดงท่าทางกับซื่อจื่อติ้งเป่ยโหวอย่างเป็นมิตรแบบนั้นเล่า นางต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว แต่ด้วยนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่านางคิดจะทำอะไรอยู่ จื่อเหวยก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
จื่อเหวยรู้สึกกังวล แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาให้เห็นชัดมากนัก ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาไม่ให้ฉู่หลิงอวิ้นเห็นสีหน้าของนาง
ฉู่หลิงอวิ้นรินชาใส่ถ้วย พลางเอ่ยถามจื่อซวี่ขึ้นอย่างใจลอย “เรื่องที่ให้ไปสืบมาได้ความอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าค่ะ!” จื่อซวี่พยักหน้าไม่หยุด จากนั้นคลานเข้าไปหา แล้วตอบว่า “ข้าน้อยไปถามมาแล้ว พ่อบ้านบอกว่าเมื่อกลางดึกคืนก่อน หลี่หลินเป็นคนพาตัวผู้หญิงคนหนึ่งออกไป แล้วสั่งว่าพอเช้าแล้วให้รีบขายนางทิ้ง หลังจากนั้นข้าน้อยได้ยินมาอีกว่า มีองครักษ์ของซื่อจื่อคนหนึ่งส่งตัวนางผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องหนังสือ เพื่อถวายตัวให้ซื่อจื่อโดยพลการ จนสุดท้ายทำให้ซื่อจื่อโมโหจนผลักนางออกมา ส่วนองครักษ์ผู้นั้นก็โดนหลี่หลินสังหารไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเจ้าค่ะ!”
ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้ว มือที่ยกถ้วยชาขึ้นดื่มสั่นเล็กน้อย ทอดสายตามองด้วยแววตามีพิรุธแล้วพูดว่า “เพราะเรื่องแค่นี้รึ?”
“เรื่องเป็นเยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่กล่าว “ซิ่งเอ๋อร์ข้ารับใช้ของแม่นางชุ่ยเดินผ่านเรือนของซื่อจื่อเห็นเหตุการณ์นั้นเองกับตาเลยเจ้าค่ะ นางตกใจจนล้มป่วย ยังบอกอีกว่าซื่อจื่อโมโหเพราะเรื่องนั้นมากเจ้าค่ะ”
ฉู่ฉีเหยียนผ่านพ้นปีใหม่ก็จะอายุสิบแปดแล้ว ถึงแม้จะกล่าวว่าผู้ชายชนชั้นสูงของแคว้นซีเยว่นั้นมักจะรอให้ถึงอายุยี่สิบก่อนแล้วค่อยแต่งงาน แต่คนแบบฉู่ฉีเหยียนนั้นยากที่จะพบเจอได้นัก แม้เขาจะไม่คิดจะไปหอนางโลมด้วยตัวเอง แต่นี่ยกมาถวายถึงที่ก็ยังถูกผลักไสไล่ส่งออกมาเช่นนี้?
“เขาผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า? แปลกจริงๆ!” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว
ฉู่ฉีเหยียนถึงขั้นโมโหเพียงเพราะหญิงสาวที่ถวายตนเป็นคู่นอนแค่นั้นน่ะหรือ? ไม่ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะคิดอย่างไรก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่จื่อซวี่เองพูดอธิบายชัดเจนทุกรายละเอียด นางจึงไม่สงสัยอะไรเพิ่มเติมอีก
เรื่องของฉู่ฉีเหยียนนั้น ข้ารับใช้สองคนไม่กล้ากล่าวซี้ซั้ว เมื่อนางได้ยินคำพูดนั้นต่างก็ก้มหน้าลงต่ำไม่พูดไม่จา
ฉู่หลิงอวิ้นดื่มชาสองคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คิดถึงเรื่องวุ่นวายมากมายรอบตัว แต่ไม่นานก็สลัดความคิดพวกนั้นทิ้งไป
——————————–