สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 100.2 สมรู้ร่วมคิดกันทำความผิด (2)
เป็นอย่างที่หลัวฮองเฮาคิดเอาไว้ไม่มีผิด ทั่วป๋าอวิ๋นจีทิ้งเรื่องพิธีกรรมของซูหว่านให้ซูหลินทำ โดยให้เหตุผลว่าต้องเตรียมเก็บของเดินทางออกจากเมืองหลวง
ซูหลินเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ จึงไม่พูดอะไรมากแล้วตอบรับทำธุระชิ้นนี้ไป ก้มหน้าก้มตาทำพิธีศพไปอย่างไม่พูดไม่จา
เพื่อเป็นการแสดงถึงมารยาทที่มีต่อแคว้นโม่เป่ยและสกุลซู ฮ่องเต้เองจึงส่งของขวัญมีค่ามาให้จำนวนมาก
ฮ่องเต้แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว ทุกคนในราชสำนักต่างต้องปรับตัวตามสภาพการณ์ งานพิธีศพของซูหว่านจัดขึ้นอย่างใหญ่โตมากไปด้วยผู้คน แต่เนื่องด้วยหาศพไม่พบ จึงมีเพียงโลงศพว่างเปล่าที่วางไว้อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
ทั่วป๋าอวิ๋นจีทูลขอออกจากเมืองหลวงวันที่สิบ แต่โดนฮ่องเต้ปฏิเสธ บังคับให้นางอยู่ต่อถึงวันที่สิบสามเดือนมกราคม หลังจากเสร็จพิธีฝังศพของซูหว่าน
งานศพของซูหว่านหลายวันนี้ มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาแสดงความเสียใจอย่างไม่หยุดหย่อน
ทางฮ่องเต้นั้นได้ส่งตัวเย่าสุ่ยมาพร้อมกับราชโองการ ส่วนทางหลัวฮองเฮาเองก็สั่งให้หลัวอวี่ก่วนและนางกำนัลข้างกายนำของขวัญมาส่งให้
ซูหังอ๋องฉางซุ่นไม่อยู่เมืองหลวง ทั้งสกุลซูจึงมีเพียงซูหลินคอยจัดการดูแลอยู่เพียงผู้เดียว
เมื่อหลัวอวี่ก่วนเข้าไป ซูหลินจำเป็นต้องต้อนรับ เพราะนางได้รับพระบรมราชโองการจากหลัวฮองเฮาสั่งให้มา
ทั้งสองทำความเคารพซึ่งกันและกันในห้องโถง
นางสนองพระโอษฐ์คนนั้นเป็นผู้แทนพระองค์ถ่ายทอดคำกล่าวของหลัวฮองเฮา กล่าวปลอบใจคนบ้านสกุลซูได้สองประโยค ก็ต้องรีบกลับไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่อ
ในระหว่างที่นางพูดอยู่ หลัวอวี่ก่วนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง ก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “คนตายมิอาจฟื้นคืนชีพได้ ขอแสดงความเสียใจกับซูซื่อจื่อด้วยนะเจ้าคะ!”
ระหว่างที่พูดนั้นนางก้มหน้าตลอด คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น แต่คนในเหตุการณ์ทั้งสองคนต่างรู้ดี…
นางตั้งใจเลี่ยงไม่สบตากับซูหลิน
ซูหลินปรายตามองนางอยู่หลายครั้ง แต่ไม่กล้าแสดงออกมากไปจนผิดสังเกต
แต่นางสนองพระโอษฐ์คนนั้นไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ พลันหันไปคุยหลัวอวี่ก่วนว่า “คุณหนูหลัวอวี่ก่วน ท่านจะกลับไปจวนกั๋วกงมิใช่รึ? ให้ข้าไปส่งท่านก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอีก!”
“ได้!” หลัวอวี่ก่วนรีบขานตอบ ราวกับว่าอยากรีบหนีออกจากที่นี่ให้ได้เสียที
แววตาของซูหลินส่องประกายขึ้น พลางเดินขึ้นหน้าไปคุยกับนางสนองพระโอษฐ์ผู้นั้นอย่างใจเย็น “เจ้ารีบกลับวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาก่อนเถิด เดี๋ยวข้าเรียกให้คนไปส่งแม่นางหลัวอวี่ก่วนกลับเอง!”
หลัวอวี่ก่วนตกใจ เงยหน้าขึ้นรวดเร็ว มองไปที่เขาอย่างนึกไม่ถึง รีบพูดปัดปฏิเสธขึ้นว่า “ไม่ต้อง ข้า…”
น้ำเสียงนั้นอ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจ
ซูหลินราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มปรายตามองนางหนึ่งที
หลัวอวี่ก่วนสะดุ้งตกใจ แล้วค่อยก้มหน้าก้มตาลงอย่างอึดอัดอีกครั้ง
นางสนองพระโอษฐ์ผู้นั้นอุตส่าห์ได้ออกจากวังมาทั้งที ก็อยากหาเวลาปลีกตัวไปทำธุระส่วนตัวบ้าง แต่กลับไม่ได้อย่างที่หวัง เมื่อเห็นว่าหลัวอวี่ก่วนไม่แสดงท่าทีคัดค้าน นางจึงยิ้มแล้วพูดกล่าวขอบคุณกับซูหลินว่า “หากเป็นเยี่ยงนั้นก็ขอรบกวนซูซื่อจื่อด้วยนะเจ้าคะ!”
ซูหลินพยักศีรษะเล็กน้อย แล้วเรียกพ่อบ้านให้ออกไปส่งนาง
ส่วนท่าทางของหลัวอวี่ก่วนเห็นได้ชัดว่ากระวนกระวายใจมากแค่ไหน นางไม่กล้าแม้แต่จะสบตามองซูหลินตรงๆ ด้วยซ้ำ
ซูหลินมองนาง แล้วพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินนำออกไปด้านนอก
หลัวอวี่ก่วนเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขาอย่างร้อนรนใจ ลังเลอยู่ชั่วขณะ ถึงค่อยกัดฟันยอมเดินตามไป
ซูหลินเดินนำอยู่เบื้องหน้า ฝีเท้าของเขาปกติดีไม่เร็วไปไม่ช้าไป
หลัวอวี่ก่วนก้มหน้าเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่มั่นใจ เดินอ้อมระเบียงทางเดินจากนั้นเดินทะลุสวนดอกไม้ไป ยิ่งนางเดินไปก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ นางหยุดฝีเท้าลงแล้วหันมองไปรอบทิศ จู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นางไหวตัวทันแล้วพูดขึ้น “นี่มัน…นี่มันไม่ใช่ทางออกจากจวนนี่”
ซูหลินหันหลัง
หลัวอวี่ก่วนรู้สึกตัวได้แล้วจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว
แต่เขากลับเดินเข้ามาหา แล้วยิ้มพูดขึ้นอย่างไม่สนใจว่า “แล้วใครบอกเจ้าล่ะว่านี่เป็นทางออกจากจวน?”
ใบหน้าของหลัวอวี่ก่วนซีดขาว หันหลังจะวิ่งหนี แต่กลับโดนซูหลินคว้าข้อมือเอาไว้ แล้วดึงตัวนางกลับมา
หลัวอวี่ก่วนกระวนกระวายใจ พยายามปัดมือของเขาออกพลางมองไปรอบทิศอย่างร้อนใจ “ซื่อจื่อปล่อยมือข้านะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น…”
“กลัวอะไรเล่า? ที่นี่คือจวนซูนะ แค่ข้าบอกว่าพวกมันมองไม่เห็น พวกมันก็มองไม่เห็นแล้ว!” ซูหลินกล่าว พลางออกแรงดึงตัวนางเข้ามาใกล้อีก
หลัวอวี่ก่วนเซไปมา จึงชนหน้าอกของเขาอย่างจัง จากนั้นรีบยกมือขึ้นผลักเขาออก ไม่รู้ว่าเพราะอับอายหรือโมโหกันแน่ หน้าของนางแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้า
อย่างไรก็ตามเรี่ยวแรงของนางมีขีดจำกัด ทำอะไรซูหลินไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
พยายามอย่างไรก็ไม่เห็นผล หลัวอวี่ก่วนยิ่งร้อนรน เงยหน้ามองเขาแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ พวกเราตกลงกันแล้วนี่ว่าหลังจากนี้จะต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่มย่ามกับอีกฝ่าย ท่านปล่อยข้าก่อน หากมีคนมาเห็นเข้าจะไม่ดี!”
“ที่แท้เจ้าก็ยังจำได้อยู่นี่!” เมื่อซูหลินได้ยินดังนั้น เขายิ้มออกมาอย่างสบายใจ เขามีเรื่องอยากจะพูดอีก แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนาง เขาก็ใจอ่อน เลยลากนางเข้าไปในห้องนอนสำหรับแขกที่อยู่ด้านข้าง
หลัวอวี่ก่วนโดนเขาลากไปจนเดินเซ เมื่อเข้ามาในห้อง ตรงหน้ามีแต่ความมืด นางรู้สึกกลัว กำลังจะหันหลังผลักประตูออกไป
แต่ซูหลินไวกว่า เขายกมือปิดประตูบานนั้นลง
หลัวอวี่ก่วนตัวสั่น ผลักมือของเขาออกอย่างสะเปะสะปะ พลางพูดขอร้องว่า “ไม่เอานะเจ้าคะ พวกเราตกลงกันแล้วนี่ ซูซื่อจื่อ ท่านรับปากข้าแล้วนี่”
“ทำไม? แค่นี้ก็แปรพักตร์ทำเหมือนคนไม่รู้จักแล้วรึ?” ซูหลินหยุดลง จู่ๆ ในแววตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเย็นชา เขาใช้มือบีบคางของนางแล้วค่อยๆ เพิ่มความแรงขึ้น
“ข้าไม่ได้…” หลัวอวี่ก่วนตอบเสียงสั่น เจ็บปวดจนน้ำตาไหลรินออกมา
“เจ้าไม่ได้อะไร?” ซูหลินพูดพลางส่งสายตามองนางอย่างกดดัน “ดูท่าเจ้าคงคิดจะหลอกใช้ข้าเสร็จ แล้วจะถีบหัวส่งข้าสินะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีโอกาสนั้นรึ?”
ภายใต้แววตาประชดประชันของเขาแฝงให้เห็นถึงความเย็นชาชัดเจน
หลัวอวี่ก่วนเบิกตาโพลงพูดไม่ออก ริมฝีปากของนางขยับหลายครั้ง สุดท้ายทำได้เพียงพูดพึมพำซ้ำคำเดิมขึ้นว่า “ท่านรับปากข้าแล้ว…”
“แล้วถ้าตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วล่ะ?” ซูหลินไม่รอให้นางพูดจบ เขาพูดชิงตัดหน้าขึ้นก่อน ใช้มืออีกข้างโอบเอวนางไว้แล้วดึงชิดเข้าหาตัว ก้มศีรษะลงกระซิบข้างหูเสียงเบาว่า “ความรู้สึกเมื่อคืนวานนั้นไม่แย่เลยทีเดียวนะ ทำให้คนโหยหาซะเหลือเกิน อยากลิ้มรสมันอีกครั้งไหมล่ะ?”
ร่างกายของหลัวอวี่ก่วนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความอับอาย
นางเงยหน้ามองซูหลินอย่างตกใจ
นิ้วมือของซูหลินกดอยู่บนคางของนาง จากนั้นค่อยๆ ลูบเข้าในคอเสื้ออย่างไม่เอ่ยคำพูดใดขึ้น ประกายไฟลุกโชนขึ้นในแววตาของเขา เขาไม่ได้พูดล้อเล่น
หลัวอวี่ก่วนยังไม่ทันตั้งตัวก็โดนเขาอุ้มขึ้น แล้วตรงดิ่งไปยังเตียงที่อยู่ด้านใน
ซูหลินวางนางลงบนเตียง แล้วรีบเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางออก
เมื่อหลัวอวี่ก่วนรู้สึกตัวได้ ก็พยายามต่อต้านขัดขืนรุนแรง ใช้มือปิดคอเสื้อเอาไว้แน่น น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า
นางทั้งเตะทั้งดิ้นอย่างแรง ตกใจสะบัดแขนขึ้นจนเล็บขูดคอของซูหลินเป็นแผลยาวจนเลือดออก
ซูหลินตกใจจนชะงักลง เขาหยุดนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองไปที่นางอย่างโหดเหี้ยม
หลัวอวี่ก่วนรีบเก็บเสื้อผ้าแล้วเขยิบไปด้านในสุดของเตียงด้วยสายตาหวาดกลัว
ซูหลินมองนางอย่างเย็นชา พูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “ที่เจ้าทำไปก็เพื่อหลอกใช้งานข้าเองงั้นหรือ? แล้วเจ้าคิดว่าเรื่องจะจบลงง่ายๆ หรือไง? คิดจะทรยศตอนนี้มันเร็วไปหน่อยหรือเปล่า? หากข้าต้องการฆ่าปิดปากคนจริง ตอนนี้ข้าก็ทำได้”
หลัวอวี่ก่วนกัดริมฝีปากล่าง เผชิญหน้ากับการข่มขู่ที่โหดเหี้ยมของเขา จู่ๆ นางก็ยิ้มออกมาอย่างเศร้าโศกเสียใจ
“หากซูซื่อจื่อคิดเปลี่ยนใจ ก็ลงมือฆ่าข้าเสียเถิด!” หลัวอวี่ก่วนกล่าว เช็ดน้ำตาอย่างแรง แล้วหยิบเสื้อผ้าคลานลงไปที่ข้างเตียง
ซูหลินเห็นนางสภาพเยี่ยงนี้เข้าก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นเอื้อมมือออกไปจับข้อมือของนางไว้
หลัวอวี่ก่วนพยายามสะบัดออก แต่สุดท้ายก็ดิ้นไม่หลุดและล้มกลับไปบนเตียงอีกครั้งอย่างยอมแพ้
ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันภายใต้ความเงียบ
“ซื่อจื่อ ทำแบบนี้ท่านเคยคิดถึงข้าบ้างไหม?” เวลาผ่านไปนานนัก หลัวอวี่ก่วนถึงได้เอ่ยปากเยาะเย้ยตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยแววตาเสียใจ “ข้าน่ะกลัวตายจริงๆ แต่การร่วมมือกับคนอื่นไปโดยที่รู้ว่าเรื่องนั้นจะไม่สำเร็จ ในอนาคตข้างหน้าหากความลับถูกเปิดเผยขึ้นมา อย่างไรข้าก็ต้องตายอยู่ดี อีกทั้งยังต้องแบกรับชื่อเสียงเลวทรามที่กระทำลงไปด้วย ในเมื่อผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน ทำไมข้าต้องลำบากเสี่ยงตัวเองไปเพื่อการนั้นด้วยเล่า?”
ซูหลินตกใจ เขาคิดไม่ถึง อ้าปากขึ้นจะพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคำใดออกมา
หลัวอวี่ก่วนเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จา จึงหัวเราะขึ้นอย่างสลดใจ ยกมือขึ้นแกะนิ้วของเขาออก พูดดูถูกตัวเองอีกว่า “หากท่านคิดแบบนั้น งั้นท่านก็คิดเสียว่าที่ข้าหลอกใช้งานท่านไป เพียงเพราะแค่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็เท่านั้น ข้าจะกลับแล้ว ข้าเสียเวลามานานแล้วท่านแม่คงเป็นห่วงแย่”
นางเอ่ยพลางคลำหาทางลงจากเตียง
—————————–