สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 100.4 สมรู้ร่วมคิดกันทำความผิด (4)
วันนั้นตอนบ่ายที่ฝังศพซูหว่าน ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาเพื่อกล่าวคำอำลา แล้วพากำลังคนที่ทั่วป๋าไหวอันทิ้งไว้เดินทางออกจากเมืองหลวงกลับไปยังแคว้นโม่เป่ย
นางอยากกลับบ้านเกิดใจจะขาด นางเป็นแค่หญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ไม่มีค่าให้พูดถึงแม้แต่น้อย แม้ฮ่องเต้จะไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้รั้งนางไว้นาน ปล่อยตัวให้กลับไปได้ทันที
หลังเที่ยงวันฉู่อี้อันและฉู่อี้หมินกำลังช่วยกันเลือกรายชื่อคนที่จะมาแทนที่ผู้บัญชาการทหารแห่งเมืองฉู่อยู่ ฮ่องเต้เรียกให้ขุนนางเข้าเฝ้าเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็ปรึกษาพูดคุยรายละเอียดเบื้องลึกกันที่ห้องทรงอักษรกันตามลำพัง
ในเรื่องนี้ทั้งฉู่อี้อันและฉู่อี้หมินเองก็หาได้ยอมให้อีกฝ่ายไม่ รายชื่อที่เสนอขึ้นไปต่างก็เป็นคนของฝั่งตนทั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน ปรึกษากันเกือบจะสองชั่วยาม[1]ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที
ตกเย็น ฮ่องเต้เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาโบกมือขึ้นแล้วพูดว่า “พอเถอะ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้เช้าตอนที่หารือข้อราชการกันอีกครั้ง วันนี้ดึกแล้ว พวกเจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบ ด้านนอกก็มีเสียงกราบทูลดังฟังชัดลอยเข้ามา “มีสาสน์…สาสน์ลับจากแคว้นโม่เป่ย เชิญฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองพะยะค่ะ!”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้น แล้วบ่นพึมพำ
สายสืบด้านนอกไม่ได้ยินเสียงขานรับจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
ฉุ่อี้อันเห็นดังนั้น จึงพูดกับฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อ มีสาสน์ลับจากแคว้นโม่เป่ย ให้นำถวายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม!” ฮ่องเต้เพิ่งได้สติ เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “นำเข้ามาเถิด!”
“เย่าสุ่ย นำสาสน์เข้ามา!” หลี่รุ่ยเสียงตะโกนออกไปสั่งการด้านนอก ไม่นานนักเย่าสุ่ยก็ใช้สองมือประคองถือนำจดหมายที่ปิดผนึกไว้ด้วยขี้ผึ้งวิ่งเข้ามาด้านใน ยื่นถวายให้แก่ฮ่องเต้บนโต๊ะทรงอักษร
ฮ่องเต้สั่งให้เขาออกไป แล้วเปิดจดหมายผนึกขี้ผึ้งออกแล้วอ่านเนื้อความด้านใน เมื่ออ่านจบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนสี กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกสั่น สายตาจดจ้องไปยังจดหมายฉบับนั้นอย่างไม่ลดละ จ้องเขม็งจนราวกับจดหมายฉบับนั้นไหม้ทะลุเป็นรู
สีหน้าอารมณ์ของเขาเย็นชาไม่พอใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นคลอน
“ฝ่าบาท?” หลี่รุ่ยเสียงกลั้นหายใจ เอ่ยเสียงถามว่า “ฝ่าบาทเป็นอะไรไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ขยำจดหมายลับฉบับนั้นในมือ รูม่านตาที่มืดมิดนั้นหดลงเป็นเส้นเดียว ข้างในนั้นมีประกายไฟค่อยๆ ลุกไหม้ ไม่นานนักเปลวเพลิงก็ลุกลามโหมกระหน่ำไปทั่วทิศ!
“ได้ ได้!” เขากัดฟันกรอด น้ำเสียงของเขาเบากว่าเมื่อกี้ลิบลับ แต่ครั้งนี้กลับแฝงไปด้วยอารมณ์โกรธโมโหอยู่ภายใน
ส่วนฉู่อี้อันและคนที่เหลืออยู่ต่างก็ยืนนิ่งตกตะลึงสีหน้าและอารมณ์ที่ยากจะเดาของเขา ในเวลานั้นไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดคำใดขึ้น เพียงแต่มองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง
“เจ้าทั่วป๋าไหวอันนี่มัน!” ฮ่องเต้อดทนมานาน ในที่สุดก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างทนไม่ไหว เขาขยำสาสน์ลับในมือแล้วโยนลงบนโต๊ะ ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นแล้วกล่าวว่า “คิดจะใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ[2]มาเล่นงานข้างั้นรึ น่าโมโหชะมัด!
ผู้คนตรงนั้นต่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
สิบห้านาทีหลังจากนั้น ฮ่องเต้บันดาลโทสะ พลางชี้นิ้วออกไปทางด้านนอกวัง ตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “สั่งการลงไปให้จับตัวทั่วป๋าอวิ๋นจีกลับเมืองหลวงบัดเดี๋ยวนี้ หากนางขัดขืน ให้สังหารได้เลย!”
สาสน์ลับจากราชสำนักโม่เป่ยกล่าวว่า ทั่วป๋าไหวอันมาถึงแคว้นโม่เป่ยตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว และยังติดต่อกับชนเผ่าตรงชายแดนเฉ่าหยวนที่ยอมอยู่ใต้อำนาจโม่เป่ยอย่างลับๆ ด้วย เพราะกำลังคนของเขาลงมือเร็วมาก จึงฮุบทั้งราชสำนักมาได้ ในขณะเดียวกันนั้นเองยังสั่งกักบริเวณพระชายาอ๋องโม่เป่ยโทษฐานลอบทำร้ายซื่อจื่อ และยังสั่งฆ่าทหารจำนวนหนึ่งหมื่นนายที่พระชายาอ๋องโม่เป่ยซื้อตัวไว้อีกด้วย
สถานการณ์ชายแดนโม่เป่ยเฉ่าหยวนนั้นแสนสาหัสนัก เดิมทีประชากรก็น้อยอยู่แล้ว การสังหารหมู่ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบสามร้อยปีที่แคว้นโม่เป่ยได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมากเลย
เดิมทีการตายของซื่อจื่ออ๋องโม่เป่ย และท่าทีอยากกระหายในการลอบทำร้ายขององค์ชายที่เหลือก็ทำให้เขาตกใจอยู่แล้ว ภายในเวลาค่ำคืนเดียวสิ่งที่ฮ่องเต้กังวลมากที่สุดก็ได้เกิดขึ้นโดยที่หยุดยังไงก็หยุดไม่ได้แล้ว…
ถึงแม้อ๋องยังมีชีวิตอยู่ แต่อำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดกลับตกอยู่ในมือของทั่วป๋าไหวอัน
เขาจะไม่โกรธได้เยี่ยงไร? จะไม่โมโหได้เยี่ยงไร?
เรื่องมันดำเนินไปถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้แล้ว!
เมื่อหลี่รุ่ยเสียงได้รับคำสั่ง จึงออกไปประกาศต่ออย่างไม่รอช้า จู่ๆ บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรก็วังเวงขึ้นฉับพลัน จิตใจของแต่ละคนตื่นตระหนก แต่ก็ยังเยือกเย็นสงบนิ่งอยู่
เมื่อควบคุมอารมณ์ให้คงที่ได้แล้วนั้น ฉู่อี้หมินก็ได้เอ่ยปากขึ้นถามอย่างสงสัยเป็นคนแรก “นี่มันเป็นไปได้ยังไง? เมื่อหกวันก่อนตอนนั้น เขาเพิ่งออกเดินทางจากเมืองหลวงไปไม่กี่วันเอง ทำไมถึงได้…”
พูดไปได้ครึ่งประโยค จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ ใบหน้าของเขาหยุดชะงัดปิดปากสนิทลงทันที
ใช่แล้ว ทั่วป๋าไหวอันไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่มีทางกางปีกแล้วบินกลับไปได้ การที่มีข่าวส่งมาว่าเขาควบคุมอำนาจของราชสำนักโม่เป่ยได้ไวขนาดนั้น ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…
เขาไม่ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงในวันแต่งงาน แต่หนีกลับโม่เป่ยออกไปก่อนตั้งนานแล้วต่างหาก
หากเขาออกเดินทางในวันนั้นจริง การที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีบอกว่าตนไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึก แต่นางให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ นั่นก็หมายความว่าเขาออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นตั้งห้าหกวันแล้ว เวลานานขนาดนี้…
ผู้หญิงอย่างทั่วป๋าอวิ๋นจีเป็นไส้ศึกให้เขา หลอกล่อปั่นหัวฮ่องเต้เข้าให้แล้ว!
การที่ฮ่องเต้โมโหก็สมควรแล้ว!
บรรยากาศภายในพระราชวังเต็มไปด้วยความเงียบงัน รวมถึงฉู่อี้อันและคนอื่นที่อยู่ตรงนั้น ต่างก็เงียบเสียงกลั้นหายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องสะกิดประเด็นนั้นขึ้น
—————————————————
ช่วงเวลากลางคืนท้องฟ้ามืดสนิท ทั้งตัวเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว
“ประมาทเลินเล่อจนเกิดเหตุร้ายเยี่ยงนี้ การที่ฝ่าบาทวางแผนแบบนั้น คงคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกอยู่ในการควบคุมของตนสินะ แต่ดูท่าครั้งนี้คงทำให้เขาโกรธโมโหใหญ่แล้วล่ะ” ทางแยกด้านนอกประตูวังทางทิศใต้ ฉู่สวินหยางในผ้าคลุมตัวหนากำลังยืนมองม้าเร็วที่วิ่งเข้าไปยังประตูวังด้วยความรวดเร็ว ริมฝีปากของนางค่อยๆ ยกยิ้มอย่างเย็นชา
ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนควบคุมนิสัยและอารมณ์ของตนได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เขาก็ควบคุมได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เผยพิรุธใดให้ฮ่องเต้เห็น กลัวเสียแต่ว่าคนอย่างฉู่อี้หมินนั้น พอไปยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้แล้วจะหลุดปากเผยพิรุธออกมาได้
ในวันนี้เรื่องทั่วป๋าไหวอันเป็นที่รู้กันไปทั่วแล้ว ฮ่องเต้ย่อมโมโหแน่นอน เกรงว่าคืนนี้อย่าคิดที่จะหาความสงบสุขภายในพระราชวังเลย
“ในสนามรบหากไม่มีผู้บัญชาการทหารที่รบชนะทุกสนาม ก็อย่าได้คิดแหยมกบฏเจ้าแผนการเลย!” ด้านข้างนางคือเหยียนหลิงจวินที่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างขี้เกียจ ก้มหน้าเล่นแส้หางม้าในมือ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยขึ้นว่า “เขาปกครองบ้านเมืองอย่างเอาแต่ใจมาตั้งหลายปี ก็ถึงเวลาที่เขาต้องลองลิ้มรสความเจ็บปวดที่ตัวเองก่อขึ้นบ้างแล้วล่ะ”
ฉู่สวินหยางกะพริบตา จู่ๆ ก็นึกอะไรออก จึงเปลี่ยนประเด็นพลางชายตามองเขา พูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่ามีคนเคยบอกข้าไว้ ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงเจ้าบงการบ้าอำนาจ แต่ชีวิตนี้ของข้า ข้าตัดสินใจแล้วที่จะไม่ปล่อยให้มันหลุดจากมือ”
คำพูดนี้ เป็นคำพูดที่ฉู่ฉีเหยียนเมื่อชาติก่อนพูดกับนาง
ตอนนั้นเขาพูดเล่นทีจริงกับนาง นางก็แค่ยิ้มหัวเราะให้กับคำพูดนั้น
พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว…
ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยคำเตือนอยู่
เหยียนหลิงจวินเบื่อหน่ายกับแผนการของซูหว่านและฉู่หลิงอวิ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับให้อภัยนางได้ทุกอย่าง การกระทำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ บางครั้งก็ทำให้ฉู่สวินหยางอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้…
เหมือนอย่างสำนวนที่กล่าวว่าพวกขุนนางทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง แต่ชาวบ้านกลับถูกจำกัดสารพัด แม้จะเป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผลก็ตามงั้นรึ?
เพราะเหตุนี้ไงนางถึงได้ทำอย่างเต็มที่แบบนี้!
เหยียนหลิงจวินเงยหน้ามองนาง ทว่ากลับไม่พูดส่งเสริมยุยงคำใดกับคำพูดเยาะเย้ยนั้นอย่างที่คิดไว้แม้แต่น้อย
เขาสบตามองนาง แล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “หากตอนนี้ข้าขอให้เจ้าหยุด แล้วถอนตัวออกจากแผนการทั้งหมดนี่ เจ้าจะรับปากข้าไหม?”
ฉู่สวินหยางตกใจ นางหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่มีทางอยู่แล้ว!”
“ทำไมเล่า?” เหยียนหลิงจวินถาม ใบหน้าของเขาจริงจัง “แผนการแย่งชิงพวกนั้น เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการงั้นรึ? ข้าไม่ชอบเรื่องพวกนี้ แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางเม้มปาก รอยยิ้มมุมปากค่อยๆ หุบลงจนเหลือเพียงความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในแววตา นางเบนสายตาไปมองวังหรูหราที่ถูกปกคลุมอยู่ใต้หมอกด้านหลัง “ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ ก็ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว ในวันนี้สิ่งที่ข้าแย่งชิงมา หาใช่อำนาจบ้านเมืองไม่ แต่เป็นบ้านและแคว้นของท่านพ่อกับท่านพี่ข้าต่างหาก!”
พ่อของนางเป็นองค์รัชทายาทแห่งวังบูรพา หากไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ก็เหลือเพียงความตายเท่านั้น!
มีคนเคยบอกว่าแผนการทั้งหลายในการแก่งแย่งชิงอำนาจนั้น เราต้องเลือกอย่างเสียอย่าง แต่หากใช้ความเป็นความตายเป็นเกณฑ์ชี้วัดแล้ว…
ทุกสิ่งทุกอย่างก็อธิบายได้ทั้งหมด!
หากตัวนางไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ นางก็คงไม่สนใจหรอกว่าโลกนี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง
แต่ในเมื่อวันนี้นางตกอยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว ก็เท่ากับว่าไม่มีโอกาสทางเลือกให้นางได้ถอยหนีอีกต่อไป!
เหยียนหลิงจวินมองนาง
ใบหน้าของหญิงสาวยังคงสละสลวย ความเย็นชาและหยิ่งผยองไม่ยอมใครแผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง เขากุมมือของนางไว้ “ข้าก็เหมือนเจ้า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่ว่าเจ้าจะต้องการบ้านเมืองหรือแคว้น ข้าจะคอยอยู่เคียงเจ้าไปพิชิตผืนดินพสุธามาให้ได้!”
ถึงแม้คำพูดนั้นจะเย่อหยิ่งเพียงใด แต่หากตั้งใจฟังดีๆ แล้วมันก็เป็นเพียงประโยคล้อเล่นเอาใจนางเท่านั้นแหละ
ฉู่สวินหยางเงยหน้าขึ้น นางไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก เพียงยิ้มให้เขาแล้วพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ การเดินทางของทั่วป๋าอวิ๋นจีครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก ไปเป็นเพื่อนข้าไปส่งนางเป็นครั้งสุดท้ายเถิด อย่างน้อยเราก็ต้องดูแลแขกบ้านแขกเมืองของเราให้ดี!”
เหยียนหลิงจวินกับนางมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ทั้งสองคนบังคับม้ากำลังจะออกเดินทาง ด้านหลังก็มีม้าเร็วขี่ข้ามวิวพระอาทิตย์ตกสีแดงชาดผ่านมา
ฝีเท้าของม้าว่องไวจนหิมะบนพื้นลอยฟุ้ง
“ข่าวด่วนพิเศษ สาสน์ท้ารบจากเมืองฉู่!” เสียงของคนบนม้าพูดขึ้นดังสนั่น
ภายใต้แสงจากโคมวังหลวง ยิ่งทำให้ป้ายคำสั่งสีทองในมือของสายลับบนหลังม้าผู้นั้นส่องประกาย
“รีบเปิดประตูวังเร็วเข้า!” ทหารอารักขาประตูรีบเปิดทางให้
เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ห่างออกไป
หิมะค่อยๆ ลอยล่องอยู่กลางนภาอีกครั้ง
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วเป็นปม หันไปมองประตูวังที่ยังไม่ทันได้ปิดลง พูดพึมพำขึ้นว่า “ข่าวด่วนพิเศษอีกแล้วงั้นรึ? เจ้าว่า…ครั้งนี้มันจะเป็นเรื่องอะไร?”
“ไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวกลับมาพวกเราก็รู้แล้ว!” เหยียนหลิงจวินกล่าว หันไปมองทิศทางเดียวกับนาง ทว่าเขาหาได้สนใจไม่ มุมปากายกยิ้มขึ้นอย่างร่าเริง
ฉู่สวินหยางยิ้มแล้วไม่คิดอะไรมาก นางเบนสายตากลับคืน จากนั้นกระตุกบังเหียนม้าขึ้น แล้วตะโกนเสียงใส “ไป!”
—————————————————–
เมื่อทั้งสองคนจากไปได้ไม่ถึงเวลาครึ่งถ้วยชา[3]ดี ประตูวังที่อยู่เบื้องหลังก็เปิดออกอีกครั้ง กองทหารองค์รักษ์สามพันนายกรูออกมาทัพใหญ่ รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้ออกเดินทางจากเมืองหลวงมุ่งตรงไปยังทิศเหนือแคว้นโม่เป่ย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นเงาคนราวกับวิญญาณผีร้ายวิ่งพล่านไปทั่วทิศอย่างว่องไว
ความมืดเข้าแทนที่ แสงไฟจากพระราชวังสว่างไสวโชติช่วงถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างอันหนาวเหน็บ
ในอีกด้านหนึ่งของวังบูรพา ประตูบานด้านข้างถูกเปิดขึ้นอย่างไร้เสียง องค์รักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษแปดนาย คุ้มกันและขับรถม้าสีเทาซึ่งไม่เป็นที่สังเกตเท่าใดนักออกจากเมืองหลวงไปทางประตูเมืองฝั่งตะวันออกอย่างเงียบเชียบ
ในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีนกพิราบบินออกมาจากตรอกด้านในอย่างไร้เสียง แล้วกางปีกสยายขึ้นไปบนท้องนภา
ไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป[4]ดี ก็มีกองทหารออกมาจากจวนอ๋องหนานเหออีก ในค่ำคืนอันมืดมิดพวกเขาดำเนินการอย่างว่องไวไม่เหลือทิ้งร่องรอยให้ตามเจอ
……………………………
[1] สองชั่วยาม เท่ากับเวลาสี่ชั่วโมงในปัจจุบัน
[2] กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ หมายถึง เป็นกลยุทธ์ในการถอยทัพโดยไม่เกิดความกระโตกกระตาก เพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ หรือเป็นการหลีกเลี่ยงความสูญเสียเลือดเนื้อหรือการปะทะที่อาจเกิดขึ้นในกองทัพ
[3] เวลาหนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที
[4] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง