สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 92.3 ล้วนแต่เป็นหมาก (3)
เหยียนหลิงจวินค่อยๆ เงยหน้ามามองฉู่ฉีเหยียน แฝงด้วยรอยยิ้มไร้พันธนาการสง่างามเช่นเดิม “ท่านมิต้องมาลองใจข้า แต่ไหนแต่ไรข้ามิเคยปฏิเสธว่าข้ายังมีไพ่ที่ยังไม่เปิด ส่วนที่ว่าจะเปิดได้หรือไม่ หรือว่าเปิดได้เท่าไหร่นั้น คงต้องพึ่งความสามารถของแต่ละคน ลองใจไปลองใจมาเช่นนี้ ต่อไปขออย่าทำเช่นนี้อีก!”
สีหน้าของเขาราบเรียบ ท่าทีมั่นใจเกินไปเช่นนั้นของเขาทำให้ในใจฉู่ฉีเหยียนเตรียมป้องกันไว้มากกว่าเดิม
สองคนสี่ตาจ้องกัน
บรรยากาศรบราฆ่าฟันมลายหายไปจากห้อง คืนกลิ่นหอมอบอวลของชากลับมาอีกครั้ง
ฉู่ฉีเหยียนจับจ้องทุกการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ทว่าสังเกตได้เพียงแค่ชายหนุ่มเหมือนใส่หน้ากากงดงามไร้ที่ติไว้บนหน้าตลอด ไม่มีใครอาจคาดเดาสิ่งลี้ลับภายในได้
เมื่อผ่านไปได้พักใหญ่ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไพ่ที่ยังไม่เปิดของท่าน นางรู้แล้วหรือ?”
เจ้าฉู่สวินหยางนั่นปัญญาเฉียบแหลมนัก นางเองก็ออกจะใกล้ชิดกับเหยียนหลิงจวิน หากไม่สอบเหยียนหลิงจวินให้ถ่องแท้จะมั่นใจได้อย่างไร? ยังอยากจะให้เขามีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างวังบูรพาและจวนอ๋องหนานเหออีกอย่างนั้นหรือ?
ฉู่ฉีเหยียนมักจะคะเนความคิดของฉู่สวินหยางอย่างมีเหตุผลที่สุด ตามจริงแล้วแม้เหลียนหลิงจวินยังยากที่จะคะเนความคิดของนาง…
จากความคิดการกระทำของนางแล้ว ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่ไม่เตรียมป้องกันอะไรกับคนนอกที่มีความคิดไม่บริสุทธิ์กับตนเช่นนี้ เป็นเพราะไว้ใจหรือ?
แต่ความไว้ใจแบบไร้หลักฐานเช่นนี้ ขนาดเขายังไม่กล้าหลอกตัวเองให้เชื่อ
จู่ๆ ในใจเหยียนหลิงจวินก็หมดอาลัยตายอยากไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาอย่างอารมณ์ดีและเอ่ยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน!”
เมื่อพูดเช่นนี้ก็ไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ทำได้เพียงแต่นั่งลงหมากเงียบๆ ไป
ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะในใจ เมื่อรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์จึงไม่ตามถามเรื่องนี้อีก…
ถึงฉู่สวินหยางจะรู้แผนการทั้งหมดของเขาแล้วจะทำไม? จุดอ่อนเขาไม่ได้จับจุดได้ง่ายขนาดนั้น!
ทางด้านฉู่สวินหยางถือโอกาสหลบเถ้าแก่กับสมุนออกไปทางประตูหลังเรือนมีสุขตอนที่พวกเขากำลังนอนพักอยู่ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกสังเกต นางจึงทิ้งชิงหลัวและชิงเถิงเฝ้าเหยียนหลิงจวินและฉู่ฉีเหยียนอยู่ชั้นบน แต่ตอนออกมาอิ้งจื่อกลับตามนางออกมาอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง
เนื่องด้วยหลายวันนี้นางกับเหยียนหลิงจวินต่างฝ่ายต่างไม่อ่อนข้อต่อกัน เมื่ออิ้งจื่อตามออกมาจึงแอบกังวลเล็กน้อย เมื่อเห็นฉู่สวินหยางหันมามองนางจึงหลุบตาลงต่ำอย่างรวดเร็ว “ท่านหญิง!”
ฉู่สวินหยางมองนางแวบหนึ่ง แต่นางกลับไม่ถามอะไรสักประโยคเหมือนที่คาด เอ่ยเพียง “ตามข้ามา!”
อิ้งจื่อถอนหายใจโล่ง แต่เมื่อเห็นท่าทีของนางผันแปรเปลี่ยนไวเช่นนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงไม่กล้าวางใจแม้แต่น้อย และควบม้าตามนางไปทางประตูเมือง
ยามนี้กองทัพขนศพยังทะเลาะกับทหารรักษาการณ์คาอยู่หน้าประตูเมืองไม่หยุด
“ผู้ตายเป็นใหญ่ ผู้เฒ่าของพวกข้าเลือกฤกษ์ฝังศพไว้หมดแล้ว ภิกษุศักดิ์สิทธิ์นอกเมืองล้วนเชิญมารอก่อนแล้ว พวกเจ้าดักไม่ให้ออกเมืองเช่นนี้มีเหตุอันใด?” ผู้เฒ่าที่สวมชุดไว้อาลัยเถียงจนหน้าแดงควันออกหู
“องค์รัชทายาทมีรับสั่ง ในเมืองเพิ่งเกิดเรื่องนักฆ่าไม่สงบ วันนี้จวนอ๋องทั้งสองตระกูลจัดงานมงคลพร้อมกันอีก เพื่อความปลอดภัย พวกโลงไม้ รถม้าพวกนี้จึงห้ามไม่ให้เข้าออกเมือง” ทหารรักษาการณ์เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีอารมณ์หยอกล้อแม้แต่น้อย เมื่อพูดจบก็ผลักชายเฒ่าออกไปอย่างรำคาญ “ไปเสีย กลับไปให้หมด ข้าพูดชัดเจนแล้ว รถม้าหยุดขบวนให้หมด หากอยากเดินเข้าออกเมืองให้ไปทางนั้น ต่อแถวรอตรวจ อย่าคิดจะตามก่อกวนอีก!”
วันนี้เหล่าพ่อค้าเข้าออกเมืองหนาตาจริงๆ ทุกคนล้วนแต่ต้องค้นตัวจนทั่วแล้วจึงจะปล่อยเข้าออกไปได้ สิ่งใหญ่ๆที่ใส่อาวุธได้ล้วนห้ามไม่ให้นำติดตัวไปทั้งหมด ถ้าไม่ยอมสละทิ้งก็กลับออกไปเสีย
ชายเฒ่าต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขาอยู่นานนมแต่ไร้ผล ก็รีบรนจนเหงื่อท่วมตัว พอโดนทหารรักษาการณ์ผลักก็อารมณ์ร้อนเหลือบมองเล็กน้อย แต่ด้วยแรงผลักทำให้เขากำลังจะล้มลงไปกองกับพื้น
ยังไม่ทันจะล้มลงไป กลางหลังก็เหมือนสัมผัสกับของบางสิ่งทำให้ร่างล่นไปแค่ครึ่งหนึ่งก็ไม่ล่นต่อแล้ว
ชายเฒ่าตะลึงงันจนตัวแข็งทื่อ
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะจากที่สูงด้านหลัง “ท่านผู้เฒ่าอายุมากเช่นนี้แล้ว ระวังหน่อย หากล้มลงไปคงจะเรื่องใหญ่!”
ชายเฒ่ารีบลุกขึ้นมา
ผู้คนมองไปตามเสียง ก็เห็นหญิงสาวสวมเสื้อสีแดงเพลิงตัวใหญ่นั่งอมยิ้มอยู่บนหลังม้าท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่ทอลงมาในยามเช้า
นางเอียงร่างมาด้านหน้า แขนวางทับกันอยู่บนอานม้า ใบหน้ารูปไข่เฉิดฉายยิ้มตาหยี แส้ม้าสีทองในมือรองรับกลางแผ่นหลังของชายเฒ่าพอดี รอยยิ้มนั้นเต็มปริ่มไปด้วยความอบอุ่น
สองวันนี้ทหารรักษาการณ์เปลี่ยนเป็นคนของฉู่อี้อันทั้งหมด ทหารพวกนั้นสายตาหลักแหลม เห็นว่าเป็นฉู่สวินหยางจึงทำความเคารพอย่างยิ้มแย้ม “ข้าน้อยคารวะท่านหญิงสวินหยาง ไม่ทันได้มองทาง เลยชนท่านหญิง ขอท่านหญิงโปรดอภัยด้วยเถิด!”
ชายเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ได้สติ
หนุ่มน้อยที่ก้มหน้าก้มตาสะอึกสะอื้นยืนจับรถอยู่นั้นก็เดินก้มออกมาพยุงชายเฒ่าไปอีกด้าน และรีบดึงเขาให้คุกเข่าลงเอ่ยความผิด “ท่านผู้เฒ่าไม่รู้ความ มิได้ตั้งใจไม่ให้เกียรติท่านหญิง ขอท่านหญิงอภัย อย่าลงโทษผู้แก่ผู้เฒ่าเลย!”
สีหน้าชายเฒ่าแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สั่น รีบเอ่ยรับผิดในทันใด “ใช่ขอรับ ข้าน้อยไม่ดูตาม้าตาเรือ เมื่อครู่ยังต้องขอบคุณท่านหญิงที่ช่วยพยุงอีกด้วย”
ฉู่สวินหยางก้มมองสองคนนั้นแวบหนึ่งก็เคลื่อนสายตาไปเอ่ยกับทหารรักษาการณ์ “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ตอบท่านหญิง ไม่กี่วันก่อนนักฆ่าอาละวาด องค์รัชทายาทมีรับส่งให้ตรวจสอบพ่อค้าให้ถี่ถ้วนกว่าเดิม เพื่อมิให้นักฆ่าหลุดลอดออกไป” ทหารรักษาเมืองกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม “ชายผู้นี้จะขนศพออกเมือง แต่โลงไม้และรถพวกนี้เป็นของต้องห้ามที่ใต้เท้าออกกฎ”
“เป็นคำสั่งของท่านพ่อของข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางก้มมองแส้ม้าในมือ
ทหารรักษาการณ์กำลังจะตอบกลับ แต่ชายเฒ่าผู้นั้นอดใจรอไม่ได้เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ท่านหญิง พวกข้าคือตระกูลหลิวแห่งตรอกหกเมืองตะวันตก ท่านปู่บ้านข้าป่วยล้มตาย ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ก็วุ่นอยู่กับวันปีใหม่ จึงเก็บศพไว้ในบ้านตลอด เห็นว่าไม่อาจผลัดต่อไปได้จึงรีบจะไปฝังศพในวันมงคลวันนี้ ขอท่านหญิงพิจารณา ผู้ตายยิ่งใหญ่ จะผลัดต่อมิได้แล้ว!”
ฉู่สวินหยางก็เป็นแค่เด็กหญิงอายุสิบกว่าปี และยังโดนองค์รัชทายาทตามใจจนเคยตัว ทหารรักษาการณ์เห็นท่าทีของนางกับชายเฒ่าอ่อนโยนเช่นนั้น ก็เกรงว่านางจะใจอ่อนปล่อยไป รีบเอ่ย “ท่านหญิง…”
ฉู่สวินหยางกลับไม่รอให้เขาเอ่ยก็ยกมือหยุด ก่อนจะหันไปเอ่ยกับชายสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ “ข้าเองก็รู้ว่าผู้ตายยิ่งใหญ่ แต่ช่วงนี้ในพระนครไม่สงบก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน และวันนี้จวนอ๋องสองตระกูลยังจัดงานมงคลพร้อมกันอีก เรื่องเล็กน้อยของพวกเจ้า…หากเกิดเป็นเรื่องใหญ่คงไม่ดีแน่ เอาเป็นว่าเห็นแก่หน้าของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อนจะเป็นพระคุณกับข้ามาก รอผ่านงานมงคลของจวนอ๋องสองตระกูลวันนี้ก่อน วันรุ่งค่อยออกเมืองจากตรงนี้ไป ว่าอย่างไร?”
“แต่ว่า…” ชายเฒ่ายังจะเถียงต่อ ชายหนุ่มที่คุกเข่าข้างๆเขาก็แอบดึงเขา และเอ่ยขึ้นก่อน “ขอรับ! ขอบพระคุณท่านหญิงที่ชี้แจง เป็นเพราะพวกข้าคิดไม่รอบคอบ มิกล้าลบหลู่งานมงคลของชนชั้นสูงสองตระกูล”
พูดจบก็ไม่รอให้ชายเฒ่าปฏิเสธและเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ทำตามที่ท่านหญิงบอก กลับจวนรออีกวันหนึ่งเถิด!”
“ขอรับ!” พวกคนใช้ตอบรับเสร็จก็รีบยกโลงไม้กลับจวนไปอย่างรวดเร็ว
ชายเฒ่าพยุงชายหนุ่มลุกยืน ก่อนหันไปก็เหลือบมองฉู่สวินหยางด้วยสายตากังวล
คงจะมีเหตุจากที่เสียใจมากเกิน สีหน้าของชายหนุ่มจึงซีดเผือด ดูไม่ปกติเท่าไหร่ ร่างกายก็อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด
ไม่รู้ว่าจงใจหรืออย่างไร เขาก้มหน้าลงต่ำอยู่ตลอด คงกลัวจะเป็นการลบหลู่ฉู่สวินหยางกระมัง ยามนี้เขาก็หันมาขอบคุณสู่สวินหยางอยู่ไกลๆ และแบกโลงไม้เดินกลับเข้าไปในตัวเมือง
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้สนใจคนพวกนั้นมากมาย หันกลับมากำชับทหารรักษาการณ์ “วันรุ่งเช้าตรู่หากคนตระกูลหลิวมาก็ปล่อยพวกเขาออกเมืองไปเถิด หากเกิดเรื่องอะไร ข้าจะรับโทษจากท่านพ่อแทนเจ้าเอง!”
“ขอรับ!” ทหารรักษาการณ์รีบตอบรับ เมื่อเห็นท่าทีของนางก็เอ่ยต่อ “ท่านหญิงท่านนี่…จะออกเมืองหรือ?”
———————————————————————