สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 92.4 ล้วนแต่เป็นหมาก (4)
“ข้ายังดีๆ จะออกเมืองไปทำอะไร?” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางกวาดตามองรอบๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลายวันนี้ทุกที่ล้วนแต่ประดับด้วยงานเลี้ยงดื่มเหล้าดั่งน้ำหลาก ข้าเห็นจนเอียนแล้วเลยออกมาเดินเล่นในเมือง! เอาเถิด ทำภารกิจของพวกเจ้าไปเถิด!”
พอเอ่ยจบก็ควบม้ากลับเข้าไปทางตัวเมือง
ในยามนี้ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นมากแล้ว โลงไม้ของตระกูลหลิวขนผ่านถนนหลักไม่ค่อยสะดวก จึงเลือกย้ายไปขนในตรอกที่ลับตาคนข้างๆ แทน เหล่าคนใช้ขนโลงไปทางตรอกหกเมืองตะวันตกอย่างเป็นระเบียบ ส่วนชายหนุ่มที่พยุงศพก่อนหน้านี้ก็เดินตามชายเฒ่าไป แต่เมื่อเลี้ยวเปลี่ยนถนนเขาก็ค่อยๆ ถอยออกมาอย่างเงียบๆ
เมื่อแน่ชัดว่ารอบๆ ไม่มีคน ชายเฒ่าก็เอ่ยด้วยสีหน้าร้อนรน “องค์หญิง ที่นี่จะทำอย่างไรดี? หากท่านไม่ไปตอนนี้ รอจนความลับถูกเผย คงยากนักจะปลีกตัวออกได้!”
ชายหนุ่มผิวขาวถอดชุดไว้อาลัยตัวใหญ่ออก เผยให้เห็นชุดสีเรียบกระชับกับตัว เอวคอด แม้จะแต่งเป็นชาย แต่กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นร่างอ้อนแอ้นของหญิงสาว
ที่น่าตกใจคือ…
คนนั้นคือทั่วป๋าอวิ๋นจีองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยที่ปลอมตัวมา
คิ้วงามดกของนางขมวดชนกันเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจฟังชายเฒ่าพูดพล่าม แต่อารมณ์ก็สับสนลนลานบ้างเล็กน้อยและหันกลับไปมองด้านหลังเป็นพักๆ
ไม่นาน ทางนั้นก็มีเสียงกีบเท้าม้าวิ่งเข้ามาใกล้และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ชายเฒ่ายกมือคลำหามีดสั้นในกางเกงเพื่อเตรียมป้องกัน
“เหล่าเฮ่อ!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีลดมือเขาลงและเดินขึ้นไปข้างหน้าพลางเอ่ยสั่ง “เจ้าออกไปก่อน!”
ฉู่สวินหยางและอิ้งจื่อควบม้าตามมาจากในตรอกด้านหลัง
องครักษ์นามเหล่าเฮ่อไม่ค่อยวางใจนัก แต่เห็นท่าทีเด็ดขาดของทั่วป๋าอวิ๋นจีจึงมิได้ขัด หันตัววิ่งไปเฝ้าถนนอีกฝั่งของตรอกอย่างรวดเร็ว เพื่อกันไม่ให้คนนอกเข้าใกล้
อิ้งจื่อก็อยู่เตรียมป้องกันอีกด้านของตรอกเองโดยไม่ต้องให้ฉู่สวินหยางเอ่ยสั่ง
“ท่านหญิงสวินหยาง!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้าไปทักทายด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความอึดอัด
ฉู่สวินหยางพลิกตัวลงจากม้า สายมองการแต่งกายของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะยิ้มและเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ยามนี้เจ้าอยากออกนอกเมืองก็แค่เอ่ยบอกข้าก็พอ ข้ารับรองว่ามิใช่เรื่องใหญ่ไม่ได้วุ่นวายอะไรแน่ ครั้งก่อนหากมิได้เจ้าบอกข่าวข้าก่อน เหยียนหลิงจวินอยากถอนตัวจากงานเลี้ยงรับรองก็มิใช่เรื่องง่าย บุญคุณครั้งนี้เป็นข้าที่ติดหนี้เจ้า แต่แค่…เจ้าแน่ใจหรือว่าจะออกไปยามนี้?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีวางตัวไม่ถูกไปเล็กน้อยเมื่อโดนนางรู้แผน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ประหลาดใจตะลึงไป ในใจสงสัย ในยามเดียวกันก็ยิ้มเจื่อนๆ “ในเมื่อท่านหญิงรู้แผนของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องปิดท่านต่อ สภาพของข้าตอนนี้ท่านเองก็น่าจะรู้ดี หากข้าไม่คิดวิธีหลีกหนีไปตอนนี้ ต่อไปเห็นทีคงจะไม่ได้โอกาสแล้ว! สภาพของข้ายามนี้ไม่มีตัวเลือกใดๆ ให้เลือก ข้าไม่สามารถนั่งรอเป็นหมากที่ผู้อื่นใช้เสร็จแล้วทิ้งได้”
“เจ้าไม่อยากเป็นหมากของผู้อื่น” ฉู่สวินหยางผู้ย้อนคำของนาง สายตามองไปยังสุดขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ไม่นานก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้ารู้ไหมว่าคนเช่นไรจึงจะหลุดพ้นจากชะตาเป็นหมากของผู้อื่นหรือไม่?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีคิดไม่ถึงว่านางจะถามเช่นนี้ เมื่อได้สติก็กลั้นหายใจทำหน้าสงสัย
ฉู่สวินหยางหันมามอง ริมฝีปากก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ย “เจ้าเป็นคนฉลาด ในใจคงจะเข้าใจอย่างดี ข้าช่วยเจ้าครั้งนี้ ครั้งหน้าอาจมิได้มีชะตาเช่นนี้อีก ในโลกานี้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ใครกันที่ไม่ได้มีชะตาเป็นหมากตัวหนึ่งของผู้อื่น ไม่เพียงแค่เจ้า ข้าเองก็เช่นนั้น หากเจ้าอยากหลุดพ้นจากชะตาการเป็นหมากของผู้อื่นนั้นมีเพียงทางเดียว นั่นก็คือขึ้นตำแหน่งสูงๆ มองผู้คนจากด้านบน ไปเป็นผู้เดินมากที่กำหนดทางเดินหมากของตานั้น นอกจากนี้แล้ว มิมีทางเลือกอื่น!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีตะลึงไม่น้อย คำพูดพวกนี้ของฉู่สวินหยางตามจริงนางก็เข้าใจทั้งหมด แต่แค่ไม่กล้าคิด และไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น
ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนโดนฉู่สวินหยางจับต้นชนปลายได้หมด จู่ๆ ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ลนขึ้นมา
อารมณ์ในใจผันแปรไปอย่างรวดเร็ว สุดท้าย นางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับฉู่สวินหยาง “เรื่องแบบนี้ พอทำจริงใช่เป็นเรื่องง่าย ท่านหญิงมีความมั่นใจและปณิธานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้จะไปเป็นหมากให้คนอื่นใช้งานหรือ?”
“ข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้มเป็นประกาย
นางส่ายหัว ทิ้งใบหญ้าในมือที่ถือมาเล่นลงและปัดมือ “ข้าไม่ต้องการไปเป็นคนคุมหมาก เรื่องนี้มีท่านพ่อและพี่ชายของข้าทำอยู่แล้ว อีกอย่าง ขอเพียงมีพวกเขาอยู่ ข้ากลับรู้สึกสุขใจนักที่มีชะตาเป็นหมากของผู้อื่น”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
ฉู่สวินหยางจะต้องเชื่อใจฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงมากเท่าใด นางถึงได้ยอมก้มอยู่ภายใต้การแก่งแย่งชิงอำนาจของกษัตริย์จอมปลอมเช่นนี้อย่างเป็นสุข?
“ตระกูลกษัตริย์ไร้คำว่าครอบครัว ท่านเชื่อใจว่าพวกเขาจะปกป้องท่านทั้งชีวิต ถ้าหาก…” ทั่วป๋าอวิ๋นจีหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ย
“ไม่มีถ้าหาก!” ฉู่สวินหยางแทรกหยุดคำพูดของนางด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
ตระกูลกษัตริย์ไร้คำว่าครอบครัว แต่ท่านพ่อและพี่ชายของนางเป็นข้อยกเว้น ชาติที่แล้วพวกเขาชดใช้ให้นางราวคีรีทั้งลูก ยอมตายแทนนาง หากมีการหักหลังจริงๆ ท้ายสุดของชาติก่อน ทุกคนคงจะไม่จุดจบเช่นนั้น
ทั่วป๋าอวิ๋นจีกลั้นหายใจ มองนางอย่างคาดไม่ถึง สุดท้ายก็ยิ้มออกมาแห้งๆ “เสียดายที่ข้าไม่มีชะตาเช่นนั้นเหมือนท่าน”
“องค์ชายห้าก็นับว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า!” ฉู่สวินหยางเอ่ย และมองนางให้ลึกลงไป “ในเมื่อเจ้าคิดว่าครอบครัวไม่น่าพึ่ง แต่ความสัมพันธ์ใหญ่หลวงเช่นนี้ยังนับว่าเป็นประโยชน์ แค่ต้องเปลี่ยนวิธีเท่านั้น ข้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงอยากตักเตือนเจ้า และแน่นอน ตอนนี้เจ้าอยากไปก็มิใช่ไม่ได้ องค์ชายก็ไม่ได้มีเวลาว่างไปสะกดรอยตามเจ้า แต่ถึงเจ้าจะกลับไปถึงโม่เป่ยอย่างราบรื่น เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าทางที่เหลือจะเดินอย่างไร? หรือจะเฉกเช่นตอนนี้ที่เป็นหมากตัวหนึ่งในมือพี่ชายที่จะใช้เมื่อใดก็ใช้ จะทิ้งเมื่อใดก็ทิ้งอย่างนั้นหรือ?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่กัดปากไม่เอ่ยอะไร
ฉู่สวินหยางมองนางและค่อยๆ คลี่ยิ้มเล็กน้อยเช่นเดิม “องค์หญิงหก วันนี้วันมงคลขององค์ชายห้า ท่านในฐานะที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา ในยามนี้ก็ควรจะไปช่วยเขารับแขกในจวนจะมิเหมาะกว่าหรือ?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วอยู่ตลอด ในใจที่ตะเกียกตะกายมาช้านาน ผ่านไปครึ่งวันจึงยอมตัดสินใจและกัดฟันพูด “ใช่ งานมงคลพี่ห้าของข้า ทางนั้นข้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ไม่อยู่คุยกับท่านหญิงต่อแล้ว”
ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้ม พยักหน้าให้นางเล็กน้อย
ทั่วป๋าอวิ๋นจีเม้มปาก หันตัวไปทางอีกด้านของตรอกและเดินออกไป ทุกย่างก้าวของนางเชื่องช้า เชื่องช้าแต่เด็ดเดี่ยวแปลกๆ
องครักษ์นามเหล่าเฮ่อรีบวิ่งขึ้นมาอย่างร้อนรน และเอ่ยอย่างเป็นกังวล “องค์หญิง!”
“เรากลับไปเถิด!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีเอ่ย
เหล่าเฮ่อตกตะลึง ไม่นานก็ได้สติ รีบเดินตามไป
อิ้งจื่อเดินจากด้านหลังมายืนหลังฉู่สวินหยางและเอ่ยเสียงเบา “แม้จะเสี่ยง แต่กลับเป็นโอกาสดีที่นางจะได้รับความพึ่งพาและไว้วางใจจากทั่วป๋าไหวอัน ในภายภาคหน้าหากทั่วป๋าไหวอันได้รับช่วงต่ออย่างราบรื่น มีนางอยู่ข้างๆ ท่านหญิงจะทำอะไรจะได้สะดวกขึ้น”
ตามที่ฉู่สวินหยางพูดก่อนหน้านี้ เด็กหญิงผู้หนึ่ง นางยังจะมีเป้าหมายอะไร? นางอยากตั้งมั่นอยู่ครอบครัวโม่เป่ยก็ต้องขอพึ่งพิงทั่วป๋าไหวอันได้เท่านั้น ครั้งนี้…
เป็นโอกาสดีที่จะให้นางแสดงความจริงใจ
เมื่อใช้สายตาส่งทั่วป๋าอวิ๋นจีออกไปจนลับตา ฉู่สวินหยางก็ไม่อยู่ตรงนี้ต่อ หันตัวพาอิ้งจื่อกลับไปทันที
วันนี้ทั้งวัน จวนอ๋องหนานเอ๋อ จวนซูและทั่วป๋าไหวอันต่างก็โกลาหลชุลมุนไปหมด ไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยของฉู่สวินหยาง แต่ทางฟากจวนอ๋องหนานเหอนั้นกลับพลิกแผ่นดินหาฉู่ฉีเหยียนตลอดทั้งวัน
แค่ซื่อจื่อท่านนี้ที่จะทำอะไรเป็นเหตุเป็นผลมาแต่ไหนแต่ไรกลับมีท่าทีผิดแปลกไป ไม่โผล่หน้ามาตลอดวัน กระทั้งยามสองเกิงหลี่หลินจึงพยุงกลับจวนอ๋องด้วยสภาพมอมเมา เมื่อเข้าประตูก็ล้มหัวลงนอนอย่างไร้สติ
ประตูเรือนมีสุขค่อยๆ ปิดลงอยู่ด้านหลัง ฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินยืนเคียงไหล่กันชั่วครู่ ก่อนจะหันไปจูงม้าเดินทอดน่องเลี้ยงเข้าไปในตรอกถนนข้างๆ
พวกอิ้งจื่อและชิงหลัวไหวพริบดีจึงไม่ตามมา
เมื่อเดินไปได้พักหนึ่ง เหยียนหลิงจวินก็หยุดฝีเท้า ยกมือวางบนไหล่ของฉู่สวินหยางและออกแรงดึงมาหาตัว อีกมือก็ดึงเอวนางให้เข้ามาในอ้อมกอด
——————————————————————–