สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 93.1 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (1)
เหยียนหลิงจวินท่าทางกระฉับกระเฉง เผด็จการ เขาใช้แรงมากเสียจนยากที่จะขัดขืน เหมือนกำลังกลัวว่าระหว่างที่เขาดึงนางมากอดจะช้าจะเร็วก็ต้องโดนฉู่สวินหยางผลักออกเสียอย่างนั้น
เมื่อออกแรง ไม่นานหญิงสาวก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
ฉู่สวินหยางยืนเงียบกริบอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าก็แทบจะแนบติดกับหน้าอกของเขาอยู่แล้ว
เหยียนหลิงจวินใจกระวนกระวาย ทำใจเตรียมจะโดนนางขัดขืนผลักออกอยู่ตลอด แม้ท่าทีจะมั่นคง แต่ในอกกลับเต้นรัวขึ้นอย่างน่าประหลาด
เมื่อเขาลองหยั่งเชิงไปได้สักพัก ฉู่สวินหยางกลับไม่มีท่าทีโต้ตอบใดๆ
เนื่องด้วยไม่รู้ว่านางนึกคิดอย่างไร เหยียนหลิงจวินจึงยังไม่กล้าจะวางใจ เลยกระแอมคอถามหยั่งเชิงดู “ซินเป่า หลายวันนี้ เจ้ายังโกรธข้าอีกหรือ?”
คำพูดของเขาทั้งกดดันและตื่นเต้น
ในยามเดียวกับที่เอ่ยพูด ในใจเขาก็รีบคำนวณว่าต่อไปควรจะเผชิญหน้ากับคำถามและอารมณ์ของนางอย่างไร
“โกรธพอแล้ว!” ฉู่สวินหยางเอ่ยสารภาพและเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ในอ้อมอกของเขา
เหยียนหลิงจวินมองต่ำอย่างตกใจ
ทั้งสองคนสบตากัน
ฉู่สวินหยางสบสายตาของเขา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ตอนนี้…ไม่โกรธแล้ว”
ก้อนหินในใจเหมือนตกลงสู่พื้น แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความหนักหน่วงจนหมดอยู่ดี ในใจเหยียนหลิงจวินยังคงกลัดกลุ้ม…
บทที่เขาคิดเตรียมจะพูดกับนางจนปวดสมองนับครั้งไม่ถ้วนในหลายวันนี้เหมือนกับกลับไปอัดแน่นอยู่ในใจ เกือบจะกลายเป็นแผลช้ำในของเขาแล้ว
ชั่วพริบตานั้น จู่ๆเขาเหมือนได้ปลดปล่อย ยิ้มทั้งน้ำตา
ฉู่สวินหยางก้มตาลงต่ำยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่มีท่าทีว่าจะหลบหลีกหรือผลักเขาออกแต่อย่างใด
ดวงตาของนางก้มต่ำลงไปอีกครั้ง นิ้วมือคลำเล่นผ้าต่วนตรงคอเสื้อคลุมของตน ท่าทีสบายอกสบายใจ ไม่มีร่องรอยครึ้มฟ้าครึ้มฝนแต่อย่างใด…
ในที่สุดเหยียนหลินจวินก็ปักใจเชื่อว่านี่คือฟ้าหลังฝนไปแล้ว
อารมณ์ของนางเกรี้ยวกราดมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้กลับสงบลงอย่างคาดไม่ถึงกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นหญิงสาวมีอารมณ์ไม่เหมือนเดิมก็ใช่ว่าจะมิใช่เรื่องดี
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เหยียนหลิงจวินก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เงียบได้พักใหญ่ สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง จึงหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “เรื่องซูอี้ ข้ามิได้มีเจตนาร้าย และก็ไม่ได้จงใจปิดบังเจ้า เพียงแค่…ตอนนั้นสถานการณ์ของเขาพิเศษเล็กน้อย ข้าจำต้องถามความเห็นจากเขาก่อนจึงจะสารภาพเรื่องนี้กับเจ้าได้”
เหยียนหลิงจวินพูดอย่างรีบร้อน ราวกับกลัวว่าหากเขาช้ากว่านี้จะทำให้นางสงสัยและไม่มีความสุข
แต่ฉู่สวินหยางกลับให้ความร่วมมือดี ยืนฟังอย่างเงียบๆ ตลอด รอจนเขาเอ่ยจบจึงค่อยๆ เหลือบไปจ้องตาเขา “แล้วอย่างไร?”
“ความสัมพันธ์ของซูอี้กับคนตระกูลซูไม่ดีนัก แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาคนเดียว ข้ารับรองได้ ต่อไปไม่ว่าเขาทำอะไร จะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าแน่นอน” เหยียนหลิงจวินเอ่ยพลางยกมือปัดปอยผมบนหน้าและจ้องตานาง ก่อนจะเอ่ยด้วยถ้อยคำชัดเจน “ซินเป่า เจ้าเชื่อข้า อย่างน้อยข้าก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้า และไม่ยอมให้เรื่องที่เป็นภัยกับเจ้าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ในตอนข้างขึ้น สีดวงจันทร์บนท้องฟ้ามีแค่เสี้ยวโค้งเล็กๆ ไม่น่ามองเท่าไหร่นัก
ตรอกนี้เป็นถนนกว้างโล่ง คับแคบและเหยียดยาว
สองคนหนึ่งม้ายืนอยู่ที่นี่ก็พอที่จะปิดตายถนนทั้งเส้นแล้ว
ในระยะห่างเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ ลมปราณของทั้งสองใกล้เพียงเอื้อม บรรยากาศเงียบสนิท เสียงเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ ได้ยินชัดเจนขึ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากจะแต่งเรื่องเท็จขึ้นมาก็คงหลอกเสียงเต้นของหัวใจตนเองมิได้
เวลาที่ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันนับว่าไม่มาก ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเจอกันนับครั้งได้ แต่ก็ยังมีความจริงใจที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างน่าประหลาด กลายเป็นฉากป้องกันอ่อนๆ ที่รัดเร้าอยู่ในใจ
ไม่ว่าปัดอย่างไรก็ปัดไม่ออก เหมือนกับยอมโดนรัดพันหายไปในกลีบเมฆจนตายเสียอย่างนั้น
“เหยียนหลิง…” หลังเงียบไปได้สักพัก ฉู่สวินหยางจึงเอ่ยเสียงต่ำ สายตาของนางค่อยๆ เคลื่อนไปทีละน้อย และหยุดอยู่ที่หน้าของเหยียนหลิงจวิน สายตาที่นางมองเขาเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน “พูดตามตรง ข้า…ไม่ไว้ใจเจ้า!”
หากเป็นจริงอย่างที่เหยียนหลิงจวินเอ่ยเมื่อครู่ ซูอี้ก็แค่ไม่ถูกชะตากับตระกูลของตัวเอง เช่นนั้นเขาก็ยึดอำนาจทหารเรือของตระกูลซูก็พอแล้ว หาต้องคิดวิธีเอาชนะเมืองฉู่ซ้ำแล้วซ้ำแล้วไม่
ตราบจนยามนี้มีเพียงข้ออธิบายเดียวเท่านั้น…
ยามนั้น…
เขาทำเพราะเหยียนหลิงจวินจริงๆ!
หาใช่เพราะซูอี้อยากได้กำลังทหารของเมืองฉู่เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนไม่ แต่เป็นเพราะเหยียนหลิงจวินต้องการควบคุมจุดเชื่อมเพียงจุดเดียวระหว่างเมืองซีเยว่และเมืองหนานฮวา!
เขาเป็นคนหนานฮวา แผนการเช่นนี้แค่คิดก็น่าขนลุกแล้ว
ถ้าคิดขึ้นมาจริงๆ ในใจฉู่สวินหยางก็รู้ดี ค่ำวันนั้นยามที่จู่ๆ นางก็รู้ความสัมพันธ์ของเหยียนหลิงจวินและซูอี้ ที่นางโกรธหาใช่เขาไม่ และก็ไม่ใช่เพราะเขาปิดบังตัวตนของซูอี้ แต่นางโกรธการรู้ที่กะทันหันของนาง รวมถึง…
ความจริงที่ปิดไม่ให้ใครรู้!
ในโลกใบนี้ทุกคนล้วนแต่มีความอึดอัดใจและความลับ นางไม่มีเหตุผลจะไปดุด่าที่เหยียนหลิงจวินปิดบัง อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้รับรู้ทุกเรื่องของเขาอยู่แล้ว แต่ว่า…
เรื่องราวต่างๆ นานาเมื่อชาติปางก่อน สิ่งที่เขากระทำได้กลายเป็นหนามทิ่มแทงอยู่ในใจนาง
ฉู่สวินหยางตระหนักเรื่องชาติกำเนิดของเขาขึ้นใจ เหยียนหลิงจวินก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนี่เป็นปัญหาที่เด่นชัดระหว่างทั้งสองมาก เขาเองก็เตรียมตัวไว้บ้างแล้วว่าสักวันหนึ่ง นางจะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาคุยต่อหน้า
“ความจริงช่วงก่อนหน้านี้ข้าก็อยากหาโอกาสคุยกับเจ้า เดิมข้าก็อยากบอกเจ้า ขอเพียงเจ้ายินยอม ข้าจะอยู่ในฐานะนี้กับเจ้าที่นี่ตลอดไป” น้ำเสียงของเหยียนหลิงจวินราบเรียบ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงต่ำสูง
สายตาสับสนของฉู่สวินหยางสังเกตเห็นเด่นชัด…
เห็นชัดว่านางเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูดถึงประเด็นนี้เท่าไหร่
สิ่งนี้ทำให้เหยียนหลิงจวินสบายใจขึ้นบ้าง
“ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้จริงๆ ข้าก็จะบอกเจ้า” เหยียนหลิงจวินเอ่ย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มและจนปัญญาปนๆ กันไป แต่เมื่อพูดเช่นนี้ออกไปก็ไม่ลังเลอีก “หลายวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อและพี่ชายของเจ้า หรือว่าฝ่าบาทที่อยู่เบื้องบนกับพวกฉู่ฉีเหยียนนั่น พวกเขาแอบสืบประวัติของข้าตลอดอย่างไม่ยอมลดละ หากเป็นผู้อื่นก็ช่างเถิด คนในวังบูรพาของเจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ใช่…เหตุการณ์ทหารหนานฮวานั้นเกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ และในยามที่เจ้าพบข้าที่ลานต้นกกนั้นข้าเพิ่งได้ข่าวมาพอดี…”
เช่นนี้นี่เอง เหยียนหลิงจวินเป็นตัวการสำคัญที่เปลี่ยนเรื่องราวของทหารหนานฮวาทั้งสองภพสองชาติ!
แม้จะรู้แต่แรกแล้วว่าผลจะเป็นเช่นนี้ แต่ยามที่ได้ยินเขาพูดออกจากปากของเขาเอง ฉู่สวินหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะขวัญผวาอยู่ดี
“ช่างเถิด!” เหมือนว่าออกมาจากสัญชาตญาณ จู่ๆ นางก็แนบกายไปด้านหน้า ยกมือปิดปากเขาไว้
ราตรีที่หนาวเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาอยู่ในฝ่ามือของนาง
เสียงของเหยียนหลิงจวินหยุดลงในทันที และเหลือบตามองนางอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” ฉู่สวินหยางยิ้มและเคลื่อนสายตาไปทางข้างๆ ก่อนจะเอ่ยกลบเกลื่อนว่า “ยามนี้ศึกทั้งสองเมืองยังไม่สงบ สิ่งที่เจ้าคิดก่อนหน้านั้นถูกต้องทั้งหมด การรู้มากเกินไปสำหรับข้าไม่แน่อาจจะกลายเป็นภาระ ฉะนั้นวันนี้เจ้าก็คิดว่าข้าไม่ได้ถามอะไรเถิด ดังที่เจ้าปรารถนา ข้ารู้จักเพียงใต้เท้าเหยียนหลิง หัวหน้าสำนักหมอหลวงที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าในเวลานี้ เจ้าอยากใช้ฐานะนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร”
ฉู่สวินหยางเอ่ยจบก็ถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ก่อนจะหันตัวจะกลับไป
“ซินเป่า…” ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่ปล่อยแขนที่ทาบทับอยู่ตรงเอวนาง ขมวดคิ้วและมองใบหน้าของนางอย่างลุ่มลึก
“คำที่เจ้าพูด ข้าเชื่อทั้งหมด!” ฉู่สวินหยางเงยหน้าอย่างเสียมิได้ ไม่รอให้เขาปริปากก็เอ่ยพูดขึ้นมา แต่พูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เคลื่อนสายตาออกจากใบหน้าเขาอีกครั้ง มองไปยังสีท้องฟ้าที่มืดเทา “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน ข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะโกหกข้า และก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะมีใจคิดวางแผนทำร้ายข้าหรือหลอกข้าแต่อย่างใด แต่เรื่องทั้งหมดนี้ต้องมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง…นั่นก็คือ ไม่ว่าใคร และไม่ว่าจะวางแผนทำร้ายแบบใด ก็ขอจงอย่าได้ทำอันตรายไปถึงท่านพ่อและพี่ชายของข้า นี่เป็นเส้นตายของข้า เหยียนหลิง ตอนนี้ เจ้ารับรองกับข้าได้หรือไม่ หากมีวันหนึ่ง…”
ที่พูดปาวๆ ว่าไว้ใจนั้น มันขัดแย้งกันตั้งแต่ต้นแล้ว
เขาไม่เคยคิดอยากจะแทนที่ท่านพ่อและพี่ชายในใจของนาง แต่ยามนี้เมื่อได้ยินนางป่าวประกาศคุณค่าของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อนาง เหยียนหลิงจวินก็ยังรู้สึกว่าใจร่วงหล่นลงไปทันใด ราวกับตกลงไปในหุบเขาลึกก็มิปาน ความอึดอัดเดือนพล่านไปทั่วอณูหัวใจ
“ซินเป่า…” เขาเอ่ยพลางใช้นิ้วลูบเค้าหน้าของนาง แต่แม้ความอดทนจะถึงจุดสูงสุดแล้ว น้ำเสียงก็ยังแฝงด้วยเจ็บปวดอยู่ดี “แม้เรื่องเช่นนี้จะไม่มีทางเกิด แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าพูดเช่นนี้โหดร้ายกับข้าเกินไปหรือ?”
เขาทุ่มเทความรักให้นางตลอด แม้จะไม่เคยหวังให้นางตอบแทนใดๆ แต่ยังไงนางก็ไม่ควรระแวดระวังเขาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้หรอกกระมัง?