สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 93.2 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (2)
ฉู่สวินหยางหลุบตาลงต่ำ แสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาเจ็บปวดหดหู่ของเขา ต่างฝ่ายต่างเงียบสนิท
การกระทำนี้ของนางเท่ากับว่ายอมรับแล้ว
เหยียนหลิงจวินเห็นอยู่กับตา ประกายในตาลอยเคว้งคว้าง เผยให้เห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน
“ท้ายสุดแล้ว เจ้าก็ยังไม่ยอมเชื่อข้าอยู่ดี!” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงนัยประชดไว้ด้วย “รับรองไปมีประโยชน์หรือ? หากเจ้ามิเชื่อข้า แม้นข้ารับรองกับเจ้าเช่นนี้ อย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อข้าอยู่ดี…”
“ไม่! ข้าเชื่อเจ้า!” ฉู่สวินหยางเอ่ยขัดคำพูดของเขา นางเงยหน้ามองไปทางเขา ทว่าชั่วนาทีที่ทั้งสองสบตากันอีกครั้ง นางกลับเคลื่อนสายตาหลบไปทางอื่น ก่อนเอ่ยด้วยความสลด “ข้าเชื่อเจ้า! แต่อย่าใช้ชีวิตของท่านพ่อกับท่านพี่ของข้าเป็นเดิมพัน ถึงความเป็นไปได้จะมีเพียงแค่หนึ่งในล้านเท่านั้น…การพนันเช่นนี้ ข้าขอยอมแพ้แต่แรก หากเจ้าบีบบังคับให้ข้าตัดสินใจระหว่างพวกเขา เช่นนั้นข้าก็ขอถอนตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้เถิด!”
สำหรับฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิง ชาติก่อนนางเป็นหนี้พวกเขามากแล้ว ชาตินี้พวกเขาก็อาจจะถูกดึงเข้ามาในคมมีดของนางเมื่อใดก็ได้ ตั้งแต่ที่นางกลับมาเกิดวินาทีนั้นนางก็สาบานกับตนไว้…
ชาตินี้ นางจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำร้อย ไม่ว่าเป็นเช่นไร นางก็จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายพ่อและพี่ชายของนางแม้แต่ปลายเล็บ
เพราะเช่นนี้นางจึงคิดวางแผนต่อหน้าฉู่อี้อัน เพียงแค่ยุยงให้ชายารองสามเป็นศัตรูกับนางอีกครั้ง และทำให้ฉู่อี้อันมีความคิดที่จะเปลี่ยนผู้สืบทอดอย่างไม่มีทางเลือก ความอดทนของฉู่อี้อันมีเท่าใดนางรู้ดี แค่เพียงตัดสินใจให้ฉู่ฉีเฟิงเป็นผู้สืบทอด เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ทุกสิ่งราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาด และสิ่งเหล่านี้ทำให้เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อฮ่องเต้ เช่นนี้แล้ว จะได้เตรียมป้องกันฮ่องเต้ไว้ก่อนด้วย
ถึงยังไงฮ่องเต้และฉู่อี้อันก็เป็นพ่อลูกกัน นางก็คงจะยุยงฉู่อี้อันให้ไปลงมือกับพ่อของตัวเองเพราะตนไม่ได้หรอกกระมัง?
จนถึงวันนี้ทุกย่างก้าวของนาง ณ ที่นี้ล้วนหนักอึ้งราวกับเคลือบด้วยน้ำแข็งชั้นบางๆ ฉะนั้นนางจะสร้างความวุ่นวายเพียงเพราะเจตนาส่วนตัวของตนไม่ได้
ยามที่ฉู่สวินหยางเอ่ยคำเหล่านั้น น้ำเสียงของนางสงบเรียบ ไม่มีความล้อเล่นแฝงแม้แต่น้อย
เหยียนหลิงจวินใจสะท้านไหวสั่น ท่าทีเหมือนจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขารู้ นางพูดได้ทำได้ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงมีความคิดยึดติดกับฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงเช่นนี้ แต่ที่รู้อย่างแน่ชัดก็คือ…
หากเขายังจะยืนหยัดก็จะต้องผลักนางไปให้ไกลกว่าเดิม
“ช่างเถิด!” สุดท้ายเหยียนหลิงจวินก็ต้องยอมประนีประนอม ยกมือหยุดไม่ให้นางพูด ก่อนจะเอ่ยนัยทิ่มแทงเล็กน้อย “หาต้องพูดเสียหนักหนาเช่นนั้นไม่ เจ้าพูดเช่นไรก็เอาเช่นนั้นเถิด พวกเขาเป็นพ่อ เป็นพี่ชายของเจ้า คือญาติของเจ้า ข้าเองก็มิเคยคิดจะแย่งตำแหน่งอะไรกับพวกเขา ต่อไปขอจงอย่าพูดเช่นนี้อีก!”
เขาหยุดเว้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่างเรื่องของข้า ตอนที่ข้าจะพูดกับเจ้า เจ้าก็เปลี่ยนใจไปแล้ว ต่อไปอย่าเอาเหตุผลนี้มาแกล้งทำหน้าบูดหน้าบึ้งกับข้าอีก”
ฉู่สวินหยางที่เดิมกำลังนึกถึงเรื่องอดีตที่แสนบั่นทอนจิตใจอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ใจอ่อนยวบ ฟังเขาบ่นไปอีกมากมาย ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ข้าไปแกล้งทำหน้าบูดหน้าบึ้งกับเจ้าตอนไหน”
“ไม่ใช่เหรอ?” เหยียนหลิงจวินเอ่ยโดยไร้อารมณ์โกรธ พลางใช้แรงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด “ทั้งๆ ที่ไม่โกรธแล้ว ยังจะวางท่าเมินข้าไปเสียหลายวัน ข้าก็คิดว่าทำผิดต่อเจ้าร้ายแรงจริงๆ น่ะสิ!”
เขากระวนกระวายไปหลายวันก็นับได้ว่าเป็นเพราะเขาคิดแผนรับมือว่าควรทำอย่างไรให้นางหายโกรธจนปวดสมอง สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่กังวลมาหลายวันนั้นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี จะมีอะไรน่าโกรธไปมากกว่านี้อีก
ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้มซุกอยู่ในอ้อมอกเขา “นั่นเป็นเพราะเจ้าคิดไม่ตก ข้าเป็นคนขี้น้อยใจเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ใช่ ทั้งหมดเป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง!” เหยียนหลิงจวินก็ไม่มีแรงจะไปเถียงกับนาง เพราะไม่ว่าจะเถียงอย่างไร เมื่อถึงจุดสำคัญที่ต้องเลือกจริงๆ เขาก็ต้องยอมอยู่ดี นิสัยของหญิงสาวผู้นี้ไม่ยอมคนแม้แต่น้อย
“เหยียนหลิง” ฉู่สวินหยางยิ้มแย้ม ลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็เอ่ย “ข้า…ถามอะไรเจ้าสักข้อได้หรือไม่?”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินโอบเอวนางไว้ วางคางบนเส้นผมที่มีความหอมละมุนของนาง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับอย่างไม่คิดอะไร
“หากตอนนั้นข้าไม่ได้พบเจ้าที่ลานต้นกก หากทหารในกองทัพหนานฮวากำเริบจนมิอาจควบคุมได้ เจ้าจะทำอย่างไร” ฉู่สวินหยางเอ่ยโดยพยายามเลือกใช้ศัพท์ที่สุด เพื่อให้น้ำเสียงของนางราบเรียบที่สุด ด้วยกลัวจะยั่วโมโหเขา
“อยู่ต่อ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย
คำตอบนั้นฟังดูมั่นใจเกินกว่าที่คาดการณ์ ไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย
“หืม?” ฉู่สวินหยางตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งตัวไม่ทัน
“อยู่ต่อ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยย้ำ “และใช้กำลังทั้งหมดของข้าชำระสะสางทุกสิ่งให้หมดอย่างไม่คำนึงถึงผล ไม่เลือกวิธี ทวงทุกอย่างคืนกลับมา!”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ เหมือนคลุมลงมาจากส่วนหัวของนาง ไร้ซึ่งกลิ่นอายการฆ่าอย่างดุเดือด แต่ทุกถ้อยคำล้วนหนักแน่นชัดเจน ผู้ใดได้ฟังล้วนแต่ต้องใจสั่น
เลือดของในอกของฉู่สวินหยางเดือดพล่าน ราวกับก่อเป็นคลื่นใหญ่ทะยานสู่ฟากฟ้า
นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยถามนัยหยั่งเชิง “อย่างนั้นหรือ? แล้วจะทวงคืนไม่เลือกวิธีอย่างไร?”
“เจ้าทำให้พ่อกับพี่เจ้าได้เท่าใด กลับกัน ข้าจะทำให้มากกว่าเจ้าอีก!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยเหมือนไม่ได้คิดมาก “หากมีคนวางแผนฆ่าท่านพ่อและท่านพี่ของเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มร้าย “กล้าทำร้ายญาติที่รักของข้า ข้าจะฆ่ายกตระกูลก็ไม่นับว่าเกินไป!”
เหยียนหลิงจวินคลี่ยิ้มมุมปาก ระหว่างที่ยิ้มนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ ในสายตาเหมือนมีประกายโหดเหี้ยมอำมหิตแฝงไว้อยู่
“ข้าจะแย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน!” สิบกว่าคำที่เขาเอ่ยนี้ ทุกคำล้วนเด็ดขาด ชัดเจนทุกคำ
ฉู่สวินหยางแม้ไม่ได้มองสีหน้าของเขา ในใจยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่น!
ยึดครองทั้งแผ่นดินหรือ? ช่างเป็นปณิธานที่ใหญ่หลวงนัก!
เขาจะต้องมีความโกรธเกลียดมากแค่ไหนถึงมีคำมั่นได้อย่างไม่เลือกสรรคำเช่นนี้
แม้คำพูดของทั้งสองในวันนั้นจะฟังดูเหมือนล้อเล่น แต่เมื่อชาติที่แล้ว…
เขาคงจะไม่แบกเอาปณิธานเช่นนี้ไปจริงๆ หรอกใช่ไหม?
เป็นเพราะความยึดมั่นและความโกรธแค้นในใจก้อนนี้ ฉะนั้นยามนั้นเมื่อแผลของเขาหายจึงยอมสละฐานันดรแต่ก่อนของตน อาศัยความสะดวกที่ฉู่หลิงอวิ๋นจัดเตรียมไว้ปีนขึ้นไปอย่างเร็วที่สุด อีกทั้งยังกุมอำนาจในระยะเวลาอันสั้น ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปทีละก้าวๆ สะสมกำลังของตน จนกระทั่งมีวันหนึ่งที่มีกำลังพอจะแก้แค้น ระเบิดความโกรธเคืองนี้
จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว…
ยามนั้นนางจัดกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาตำแหน่งในราชวงศ์ของท่านพ่อและพี่ชายของนาง ฉะนั้นนางจึงไม่ยอมให้สิทธิคุมกำลังทหารที่ชายแดนหนานฮวากับผู้อื่น
หากไม่ใช่เพราะนางกุมอำนาจทางการทหารที่นั่นไม่ปล่อย บางทีเหยียนหลิงจวินอาจไม่ได้เลือกเดินทางนั้น และไม่จำเป็นต้องยืมมือซูอี้มาแย่งอำนาจ เขาคงจะต้องหาวิธีแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกองทหารเพื่อกุมอำนาจในการควบคุมกำลังทหารกองนั้น ก่อนจะหาโอกาสเริ่มแผนการ!
เอาเข้าจริงคือนางจับผลัดจับพลูมาขวางทางของเขาอย่างนั้นหรือ?
แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว ยามนี้มาคิดเล็กคิดน้อยก็คงไร้ประโยชน์ เพราะหลังจากเกิดเรื่องที่ลานต้นกก ภพก่อนและภพหลังนี้ก็กลายเป็นสองภพที่ต่างกันแล้ว
ในที่สุดฉู่สวินหยางก็จับต้นชนปลายได้ จะทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามหยั่งเชิงต่อ “เช่นนั้น…หากยามนั้นคนที่พบเจ้ามิใช่ข้า แต่เป็นฉู่หลิงอวิ้นหรือว่าคนอื่นล่ะ?”
นางอยากถามคำถามนี้ ตั้งแต่ก่อนที่เหยียนหลิงจวินสารภาพรักกับนางแล้ว
ชาตินี้ของเหยียนหลิงจวินไร้ความรู้สึกอันดีใดๆ กับฉู่หลิงอวิ้น เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยแล้ว และนางเองก็คงไม่น่าจะเบื่อถึงขั้นมายึดมั่นอยู่กับเรื่องในอดีตของชาติที่แล้วไม่หยุดหรอก แต่นางก็แค่แปลกใจ นึกถึงยามใดก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อนั้น
ฉู่สวินหยางถามตามอำเภอใจ แต่ครู่ต่อมาก็รู้สึกว่าเหยียนหลิงจวินเกร็งตัวขึ้นมา
“ทำไมจึงถามเช่นนี้?” เขาดึงนางออกมาจากอ้อมกอดเล็กน้อย ขมวดคิ้วจนเป็นรอยย่น และมองนางอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ทำไม คำถามนี้ตอบยากมากนักหรือ?” ฉู่สวินหยางเงยหน้าสบสายตาเขา และรอคอยคำตอบนี้อย่างใจจดใจจ่อ
ท่าทีของนางจริงจังมาก และไม่มีเจตนาหยอกล้อใดๆ ทั้งสิ้น สีหน้าของเหยียนหลิงจวินดูลำบากใจ ท่าทีเหมือนกับเพิ่งฝ่าฝนออกมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ยังเอ่ยตอบอย่างอดทน “ซินเป่า สำหรับข้าแล้ว เจ้าไม่เหมือนใคร สตรีใดในโลกนี้ก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าได้ ตอนนี้ที่ข้าได้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการได้หรือเสียผลประโยชน์แม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไร ในข้อนี้ ขอเจ้าอย่าสงสัยข้าได้หรือไม่?”
………………………………