สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 93.3 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (3)
ตอนแรกนั้นเขาแปลกใจกับนางมาก ที่นัดเจอที่หุบเขาเพลิงอัคคีเพียงเพราะบุญคุณที่ช่วยชีวิต แต่ความรู้สึกนั้นกลับเริ่มอย่างเป็นทางการตั้งแต่เขาเห็นนางครั้งแรกและก็เกิดการเปลี่ยนแปลง…
เขารู้ว่าตัวเองชอบนางจริงๆ ชอบนิสัยเข้มแข็งซื่อตรง กล้ารักกล้าเกลียดเช่นนี้ของนาง ยามที่รักนางเหมือนเป็นความบ้าคลั่งที่ใต้หล้าไม่มีใครเปรียบ และยิ่งรักเมื่อนางแกล้งโง่เป็นบางครั้ง ชอบมองท่าทีขบคิดจินตนาการของนาง
ความชอบเช่นนี้เหมือนกับทำให้ตาบอด กระทั่งก่อนหน้าที่เขาเจอนาง ตัวเขายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้ตนอยากเข้าใกล้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้เท่านี้มาก่อน เขาอยากรักนาง ตามใจนาง ให้ทุกสิ่งที่นางอยากได้ทั้งใจ แม้จะเป็นความคิดหรือแผนการที่เห็นแก่ตัวก็ตาม
บางทีก็เคยรู้สึกอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่านางคือเคราะห์กรรมในชีวิตของเขา
แต่ถึงเป็นกรรมที่เลี่ยงไม่ได้อย่างไร เขาก็ยอมรับกรรมแต่โดยดี!
ท่าทีของเหยียนหลิงจวินเริ่มร้อนรน สายตาที่มองนางจึงแฝงความร้อนใจเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางค่อยๆ เงยหน้ามองหว่างคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมของเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปนวดคลายออก
ท่าทีที่โน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อยทำให้ระยะห่างระหว่างเขาทั้งสองใกล้ขึ้นมาอีก
ปอยผมของเขาหล่นลงมาอยู่ตรงบ่านาง พันรวมกับเส้นผมของนางจนยากจะแยกออกว่าเส้นใดเป็นของใคร ท่ามกลางม่านราตรีที่ทอเป็นแสงวารีตกกระทบ
สายตาของเหยียนหลิงจวินขยับขึ้นเล็กน้อย ขยับไปมองใบหน้าของนางที่ใกล้ไม่ถึงคืบ
ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ตินี้ แม้ตอนนี้จะยังอ่อนวัยอยู่บ้าง แต่เขาก็ค้นพบความงามนั้นแล้ว ดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นอมยิ้มเล็กน้อยด้วยความฉงน
“เช่นนั้นข้าจะถามแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ในเมื่อเจ้าบอกแล้ว ข้าก็จะเชื่อเจ้า” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส
ระหว่างที่นางพูด ความร่างเริงแจ่มใสของนางเหมือนย้อมบรรยากาศให้สดใสไปด้วย
เหยียนหลิงจวินแค่รู้สึกว่าพูดไม่ออก สัญชาตญาณสั่งให้มือที่รองอยู่ที่หลังนางออกแรงดึงกลับมา
ระหว่างที่ดึงกลับมานั้นก็รั้งร่างของนางให้เข้ามาใกล้ขึ้นจนแนบชิดติดกับร่างของเขา
ฉู่สวินหยางตะลึงเล็กน้อย รีบเคลื่อนสายตาออกจากหว่างคิ้วของเขาที่ไม่ว่าจะนวดอย่างไรก็ไม่ยอมคลายสักที เมื่อชายหนุ่มออกแรง ร่างของหญิงสาวก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ ตามแรง ทำให้ใบหน้าของทั้งสองชิดกันมากจนหายใจรดกัน เสียงหายใจของอีกฝ่ายค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ
“ซินเป่า…” ลูกกระเดือกของเหยียนหลิงจวินขยับขึ้นลง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง รู้สึกเหมือนโดนเสียงลมยามราตรีย้อมจนแอบสั่นเล็กน้อย
ระหว่างที่พูด ริมฝีปากแดงสง่าของเขาก็เหมือนสัมผัสมาที่ปลายจมูกของนาง
ฉู่สวินหยางแค่รู้สึกว่าจั๊กจี้ปลายจมูก พอตั้งสติได้จะยกมือขึ้นไปคลำเล่น แต่กลับขี้เกียจจะขยับ ครู่หนึ่งสายตาก็จับจ้องไปที่ริมฝีปากแดงนั้น ความคิดแวบขึ้นมาในใจนับไม่ถ้วน สุดท้ายเหลือเพียงความรู้สึกเดียวที่ลอยอยู่ในความทรงจำ…
เขาชอบแสดงละครต่อหน้าผู้อื่นอยู่เรื่อย เมื่อยามที่เขายิ้มอย่างไร้พันธนาการ สีปากของเขาช่างสดใสงดงามเป็นพิเศษนัก งามเสียจนเกือบทำให้คนหยุดหายใจ
และก็ไม่รู้ว่าในหัวคิดอะไรอยู่ ชั่ววินาทีนั้นจู่ๆ ฉู่สวินหยางก็เกิดอารมณ์ดื้อซนขึ้นมา เกิดความรู้สึกอยากจะลิ้มรสริมฝีปากที่งามยั่วยวนนั้นว่ามีรสชาติเช่นใด
แต่นางก็เป็นคนใจกล้ามาแต่ไหนแต่ไร ของงามอยู่ตรงหน้าอย่างนี้แล้ว เมื่อนางคิดได้เช่นนั้นก็เตรียมจะทำตามที่คิด กระทั่งลืมสนิทว่า ‘อาหารเลิศรส’ ที่อยู่ด้านหน้านางเป็นคนเป็นๆ มิใช่สิ่งอื่นใด นางค่อยๆ เขย่งเท้าโน้มไปด้านหน้า ใช้ริมฝีปากของตนค่อยๆ แนบไปที่ริมฝีปากของผู้นั้นจนประกบกัน
สัมผัสอ่อนโยน ระหว่างที่ผิวสัมผัสแนบชิดก็ก่อเป็นความร้อนผ่าว ร้อนจนหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาอย่างประหลาด
ในยามเดียวกัน เหยียนหลิงจวินถึงกับนิ่งแข็งทื่อ
ไม่ แทนที่จะพูดว่าแข็งทื่อ เรียกว่าแข็งกลายเป็นหินอนุสรณ์สถานเลยจะดีกว่า เขายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น ลมหายใจถูกกลบเกลื่อน ขนาดเสียงเต้นของหัวใจยังคล้ายว่าจะเงียบไป
กลิ่นหอมกรุ่นนั้นยังล่องลอยอยู่ในจมูกของเขาไม่ไปไหน
ทั้งเบา ทั้งนุ่มและ…
ทั้งหอมหวาน
เขายืนนิ่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนประกายไฟก่อขึ้นมาเปาะแปะในหัวเขานับไม่ถ้วน นำพาสติสัมปชัญญะของเขาลอยขึ้นไประเบิดกระจายกลายเป็นพลุอยู่บนฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง จนเหลือเพียงเศษซากที่ตกลงสู่พื้นดิน ไม่อาจหาปฏิกิริยาตอบสนองที่เหมาะต่อสิ่งนี้ได้
เมื่อเห็นดวงตาของสาวน้อยเป็นประกายวาววับอยู่ภายใน ไร้ซึ่งอารมณ์เคว้งคว้างใดๆ แค่รู้สึกป่วนจิตแปลกๆ แฝงไปด้วยความดีใจและความอยากรู้อยากเห็น
ใช่ ดีใจ!
ในยามเดียวกันนัยน์ตาของนางก็สว่างขึ้นมา เหมือนไม่รู้สึกอายหรืออึดอัดต่อการกระทำฉวยโอกาสไร้ยางอายของตนเลย นัยน์ตาทั้งสองข้างแวววาว เปล่งประกายประหลาดๆ และยังกวาดตามองหน้าเขาไปมาอย่างไม่ร้อนรนใดๆ ราวกับกำลังรอดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อโดนคนเย้าหยอกอย่างนั้น
สายตาของเหยียนหลิงจวินจ้องไปในตาของนาง สติค่อยๆ กลับมาและยังนำความหดหู่และเครียดตามมาด้วย…
เขารู้ตลอดว่านิสัยของหญิงสาวใจกล้าบ้าบิ่นมาก แต่ก็ไม่เคยคิดว่านางจะกล้าหาญได้ถึงขั้นนี้
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดว่ายามที่ดึงนางเข้ามาในอ้อมอกนั้นควรจะลองลิ้มรสริมฝีปากนางอย่างไรดี แต่ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดในยามนี้ตอนนี้
เขาโดนนางเล่นงานเสียแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายยังจ้องตาเขาด้วยสายตาบริสุทธิ์เหมือนพยายามทดสอบเขาอย่างนั้น
ดวงจันทร์มืดหม่น ลมพัดขึ้นสู่ที่สูง ราตรีเงียบสงัด แม้บรรยากาศจะได้ที่กำลังพอดี แต่มุมได้เปลี่ยนไปแล้ว…
แม้ผิวสัมผัสนั้นจะรู้สึกดีมากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อหล่นมาอยู่ในใจทำไมกลับอยู่สึกว่าไม่ค่อยเข้าท่าแปลกๆ
ใบหน้าของเหยียนหลิงจวินแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรื่องราวดีๆ เหมือนพรั่งพรูออกมา
ก่อนที่เขาจะไตร่ตรองรวบรวมสติได้ เขาก็อ้าปากเตรียมจะรุกไปแนบริมฝีปากของนาง
ฉู่สวินหยางเห็นเขาทำท่าแข็งทื่อเหมือนกับโลงศพเช่นนี้ครั้งแรก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเพราะการกระทำฉวยโอกาสของตนทำให้เขาโกรธ จึงรีบถอนตัวเตรียมจะหนีไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ
ตรอกนี้เดิมก็แคบอยู่แล้ว ม้าตัวนั้นของเหยียนหลิงจวินรู้นิสัยคนแต่กลับไม่รู้ความรู้สึกคน ผ่านไปครู่ใหญ่ ถ้าไม่ใช่เขาสั่งให้ออกไป ถึงจะทิ้งบังเหียนไปอย่างไรมันก็ยังเดินตามอยู่ดี ฉะนั้นตอนนี้ม้านิลที่นามว่า ‘เปินเหลย’ จึงยืนอยู่ด้านหลังนางตลอดอย่างพอดิบพอดีโดยไม่รู้ใจแม้แต่นิดเดียว
สองคนหนึ่งอาชา ทำให้ตรอกนี้แน่นขนัด ในยามเดียวกันก็ปิดทางที่ฉู่สวินหยางเตรียมจะหนีไปด้วย
ฉู่สวินหยางถอยไปก้าวหนึ่ง หลังก็ชนกับตัวแข็งๆ ของเปินเหลยที่อยู่ด้านหลังแล้ว
ส่วนเหยียนหลิงจวินแม้จะความรู้สึกช้าอย่างไร แต่ตอนนี้ก็พอให้เขารู้สึกตัวดึงสติกลับมาแล้ว
เขารีบก้าวมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เท้าแขนไปที่หลังม้า หนึ่งคนกับอีกหนึ่งอัศวยิ่งทำให้พื้นที่ว่างระหว่างนั้นเหลือน้อยลงไปอีก ส่วนนางก็โดนขังอยู่ในนั้น
เหยียนหลิงจวินมองลงมา นัยน์ตาสีเข้มนั้นจ้องเขม็งมาที่ใบหน้าของนาง
ฉู่สวินหยางรู้สึกว่าสีหน้าของเขาแดงมากเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขินหรือเพราะโกรธ แต่ที่แน่ๆคือระยะห่างที่แสนใกล้และสายตาของเขาจ้องมาเช่นนี้ทำเอาฉู่สวินหยางใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ม้าข้างหลังตัวนั้นโดนคนใช้เป็นที่วางมือก็ไม่รู้จักหลบ ได้แค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและยังร้องเสียงม้าอีก
ฉู่สวินหยางออกแรงดันตัวเองไปข้างหลัง จงใจคลี่ยิ้มมุมปากออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “ก็แค่โดนนิดหน่อยเอง…”
ไม่บ่อยนักที่นางจะรู้สึกว่าตนเองไม่มีเหตุผล จึงไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด
นางรีบก้มหน้าก้มตาลงอย่างรวดเร็ว กะพริบตาปริบๆ ไม่เหลือท่าทีเข้มงวดจริงจังเหมือนแต่ก่อนแล้ว เหลือเพียงแค่แม่หญิงคนหนึ่งที่กัดปากอย่างขัดเคืองไม่ต่อต้านใดๆ
ความคับแค้นใจของเหยียนหลิงจวินก็มลายหายไปเงียบๆ นานแล้ว กอปรกับเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าว้าวุ่นใจอยู่ตรงหน้า ในใจก็รู้สึกราวกับโดนขนตางอนยาวของนางกวาดผ่าน จู่ๆ ความรู้สึกสั่นสะท้านอันร้อนแรงของรสสัมผัสก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
ลำคอแห้งขึ้นมาแปลกๆ มุมปากของเขาคลี่ยิ้มร้ายออกมาในทันใด ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงไปอย่างช้าๆ
เมื่อรู้สึกเหมือนมีเงามืดปกคลุมมาบนศีรษะ ฉู่สวินหยางก็คิดจะหลบ ขมวดคิ้วพลางคิดอยากจะด่าม้าตัวข้างหลังที่ช่างมีตาหามีแววไม่
สติของนางหลุดไปเพียงชั่วครู่ ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินก็สัมผัสลงมาเสียแล้ว
ฉู่สวินหยางลนลานไปหมด นางจึงรีบหันศีรษะไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของเขาจึงสัมผัสมาที่ปลายจมูกของนางเบาๆ
“เจ้า…” ฉู่สวินหยางอารมณ์ร้อนขึ้นมาและเอ่ยตะคอกถามไป “เจ้าทำอะไร?”
นี่นางป้องกันไว้แน่นหนา เตรียมใจไว้ดีแล้วจริงๆ หรือ
“หึ…” จู่ๆ เหยียนหลิงจวินก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ออกมาจากในส่วนลึกของลำคอ
ริมฝีปากของเขาแนบอยู่กับปลายจมูกของนางและไล้ไปมา แต่ไม่มีท่าทีว่าจะถอยกลับไปแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหยอกล้อ “ก็แค่โดนนิดหน่อยเอง…”
————————————-