สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 93.4 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (4)
ฉู่สวินหยางเบ้ปาก ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไปชั่วครู่
และก็ฉวยโอกาสตอนที่นางสติล่องลอย ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินค่อยๆ เลื่อนลงมาด้านล่าง ถูไปมาที่มุมปากของนาง ก่อนจะใช้ฟันงับกลีบปากของนางเข้าไปในปากของตน
ฉู่สวินหยางตะลึงจนไม่อาจควบคุมร่างกายได้ ในหัวมึนไปหมด ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรไปชั่วขณะ
“เมื่อครู่ไม่นับ ข้าสอนเจ้าเอง!” เมื่อสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นคลอนของนาง เหยียนหลิงจวินจึงจับแขนดึงร่างนุ่มนิ่มของนางเข้ามาในอ้อมอกและกอดจนแน่น
เขางับกลีบปากของนางไว้ในปาก ริมฝีปากของหญิงสาวอ่อนนุ่มบางเบา แทรกด้วยกลิ่นหอมเย็นๆ ชุ่มชื้น สัมผัสนั้นเหมือนผ่านผิวทะลุแผ่ซาบซ่านไปถึงหัวใจ ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่านขึ้นมา
เดิมเหยียนหลิงจวินแค่อยากจะหยอกนางเล่น เพื่อตักเตือนว่าการกระทำของนางนั้นไม่เหมาะไม่ควร แต่รสสัมผัสอันหวานฉ่ำนี้ฝังลึกลงไปในกระดูก ไม่อาจถอนออกได้แม้แต่น้อย
ดังนั้นเขาจึงละเลงจูบอย่างลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ จนสติเริ่มเลอะเลือน ด้านหนึ่งก็อยากจูบกลีบปากนางให้อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากกลืนเอารสจูบของนางไปให้ได้ให้มากที่สุด ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อีกด้านหนึ่งในหัวก็กำลังคิดวิธีว่าควรทำอย่างไรให้นางเลิกกัดฟัน เพื่อจะได้ทำต่อในขั้นถัดไป…
เนื่องด้วยหากบีบบังคับคงจะไม่ได้การ นิสัยของหญิงสาวไม่ว่าใครก็คุมไม่อยู่
ชายหนุ่มครุ่นคิดวุ่นวายไปหมด พอเขาเริ่มจะลองใช้ลิ้นดันฟันหวังจะล้วงเข้าไปลึกกว่าเดิมนั้นเอง…
ฉู่สวินหยางที่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบไปนาน จู่ๆ ก็ได้สติกลับมา และสัมผัสได้ถึงรสชาติหอมหวานของกลิ่นอายที่สัมผัสอยู่ตรงกลีบปาก จู่ๆ นางก็งับกลีบปากชายหนุ่มตอบตามนิสัยหยั่งเชิงของตน
สอนสดเรียนสดเช่นนี้ ช่างช่วยให้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเหลือล้ำ
เหยียนหลิงจวินถึงกับหายใจไม่ทัน กลั้นลมจนหน้าเขียวไปทั้งหน้า
ไม่ว่าในใจจะคิดอะไรร้อยแปดพันเรื่องก็ล้วนโดนล้างจนสะอาดเอี่ยมไปหมด เขาเบิกตาโพลงในทันใด และก็เห็นใบหน้างามงอน ดวงตาทอแสงเป็นประกาย ในนัยน์ตาคู่นั้นเผยให้เห็นความไม่ซื่ออย่างชัดเจน ไม่ได้มีความเขินอายหรืออ่อนโยนอย่างที่ผู้หญิงปกติควรจะมีแม้แต่น้อย
เหยียนหลิงจวินราวกับโดนนางเทน้ำเย็นทั้งถังราดบนหัว เขาจึงเริ่มหัวเสียขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่รู้ตัว เหมือนโดนยั่วให้สนใจจริงๆ เข้าแล้ว นางออกแรงเยอะกว่าเขาเสียอีก อีกทั้งยังอ้าปากคิดจะกัดเขา!
เหยียนหลิงจวินหน้าแข็งทื่อ รีบถอยหลังไปทีละก้าวๆ พลางผลักนางออก และเอ่ยเสียงต่ำ “อย่าสร้างเรื่อง!”
ฉู่สวินหยางกะพริบตาปริบๆ เมื่อสังเกตเห็นริมฝีปากแดงก่ำเปียกชื้นของเขาจึงได้สติว่าเมื่อครู่ตนทำอะไรลงไป นางจึงตะลึงงันไปชั่วครู่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉ่าขึ้นมาในพริบตา
เหยียนหลิงจวินมองนาง จะด่าก็ไม่ใช่ จะชมก็ไม่ได้ ในใจสับสนพัวพันไปหมด สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีดำเหมือนสีก้นหม้อ
ทั้งสองต่างคนต่างเงียบ คนหนึ่งสีหน้าสับสน ส่วนอีกคนหนึ่งสีหน้าอึดอัด
ผ่านไปชั่วครู่ สุดท้ายก็เป็นฉู่สวินหยางที่ทนไม่ได้ก่อน กลอกตามอง “เจ้าบอกเองว่าจะสอน…”
พูดจบก็ผลักเหยียนหลิงจวินออกอย่างไม่สะทกสะท้าน และหมุนตัวออกไปด้านข้าง
เหยียนหลิงจวินก็ยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม แต่ไม่อาจคิดถ้อยคำระบายออกมาได้ อึดอัดอยู่นาน สุดท้ายก็กัดฟันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉู่สวินหยาง เราหารือกันสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? นิสัยนี้ของเจ้าต่อไป…”
เหยียนหลิงจวินพูดได้ครึ่งหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็หยุดชะงัก เพราะฉู่สวินหยางยังคงมองรอเขาสอนอยู่อย่างนั้น
เขาจะพูดอะไรได้? ให้นางแก้นิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของนางอย่างนั้นหรือ? สิ่งที่เขาชอบที่สุด จริงๆ ก็คงเป็นนิสัยตรงไปตรงมาของนางแล้วกระมัง?
แต่เรื่องอื่นก็ยังว่าไป หากเป็นเรื่องหญิงๆ ชายๆ และนางรุกก่อนคงจะ…
ครั้งสองครั้งยังพอได้ แต่ถ้าทำเช่นนี้บ่อยๆ
นักเผด็จศึกผู้มั่นคงดั่งภูเขาไท่ซานอย่างใต้เท้าเหยียนหลิง ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันหนึ่งที่โดนหญิงสาวทรมานจนต้องร้องขอชีวิต นี่มันช่าง…
ช่างรู้สึกพ่ายแพ้นัก!
ลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเหยียนหลิงจวินก็คิดแผนอะไรไม่ออกอยู่ดี
เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะออกแรงดึงมือนางมาจับไว้ในฝ่ามือ สุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ย “ช่างเถิด ตอนนี้เย็นแล้ว เดี๋ยวข้าส่งเจ้ากลับไป”
เขาพูดเหมือนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนางต่อเสียอย่างนั้น พอพูดจบก็กระโดดขึ้นหลังม้า ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งไปตรงหน้านาง
ฉู่สวินหยางวางมือลงในฝ่ามือเขา และใช้แรงนั้นพลิกตัวขึ้นหลังม้า
เหยียนหลิงจวินคลุมเสื้อนอกให้นาง และยกมือขึ้นกลางอากาศส่งสัญญาณให้พวกอิ้งจื่อไม่ต้องตามไปอีก ก่อนจะหันหัวม้าพาฉู่สวินหยางเข้าไปในตรอกลึกๆ
เขาอึดอัดไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนโดนโจมตีอยู่ตลอดทาง
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ใช่คนโง่ แม้เขาไม่พูดก็รู้ว่าเขาโกรธอะไรอยู่ พอเคลื่อนไปด้านหน้าสักพัก นางก็หัวเราะเบาๆ และเงยหน้ามองเขา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครบอกข้าเสียหน่อย….”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง นางก็หยุดเว้น
ภพที่แล้วนางอยู่จนอายุยี่สิบ ก็ได้แต่นั่งบัญชาการ แกว่งดาบไปมาตลอด ฉลองเทศกาลประจำปีทีหนึ่งจึงจะได้กลับพระนคร แต่ก็แค่งานเลี้ยงส่วนตัวเท่านั้น
ยามนั้น เนื่องด้วยฉู่ฉีเฟิงขาพิการทั้งสองข้าง ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยพอใจฉู่ฉีฮุยอีก ท่านจึงให้ความหวังไปที่ฉู่ฉีเหยียนค่อนข้างมาก ฉู่ฉีเหยียนอ่อนน้อมถ่อมตน อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ ปราดเปรื่องในเรื่องการปกครอง ตอนนั้นนางเองก็มิได้หวาดหวั่นอะไรต่อเขา และเขายังเคยได้รับคำสั่งให้ไปคุมทหารที่เมืองฉู่อีก ไปๆ มาๆ อยู่พักหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ แน่นแฟ้นขึ้น ตอนนั้นนางยังสัมผัสได้ว่าสายตาที่ฉู่ฉีเหยียนมองนางพิเศษกว่าคนอื่น แต่เพราะว่าทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน นางจึงไม่คิดอะไรมาก แค่มองเขาว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น จนสุดท้าย…
เขาพยายามวางแผนให้นางยอมอยู่ข้างกายเขาแม้จะขัดกับพระราชโองการ แม้นางจะความรู้สึกช้ามากเพียงใด นางก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่
แต่ทว่า…
นางไม่เคยคิดกับฉู่ฉีเหยียนเป็นอย่างอื่นไปมากกว่านั้นเลย
ภพนี้ได้พบกับเหยียนหลิงจวิน เขารู้ใจนางไปเสียหมด และที่บังเอิญก็คือเขาไม่รู้สึกรังเกียจนางแม้แต่น้อย ซ้ำไปกว่านั้นเขายังใช้เหตุผลนี้พัฒนาความสัมพันธ์จนมาถึงขั้นนี้ด้วย
ระหว่างเขากับนาง ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน และก็ไม่ค่อยขัดใจอะไรกันมาก แต่ก็รักษาความสัมพันธ์ได้มั่นคงเรื่อยมา
เรื่องแบบนี้ ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักเหมือนกัน แต่นอกจากเรื่องของฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิง เรื่องอื่นนางก็เคารพการตัดสินใจของตนตลอด ในเมื่อไม่รังเกียจก็ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอแล้ว
จิตใจของฉู่สวินหยางล่องลอยไปไกล เมื่อรู้สึกตัวก็รีบดึงสติกลับมาทันที “ข้าใช่ว่าจะดีแบบนี้กับทุกคน”
เหยียนหลิงจวินตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี “งั้นทำไม? เจ้าจึงบอกว่าเจ้าไม่ไว้ใจข้า!”
“คงจะ…” ฉู่สวินหยางเอามือแตะปาก ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้ายิ้มตอบ “คงเป็นเพราะถูกชะตากับเจ้ากระมัง ไม่ก็เป็นเพราะระหว่างเจ้ากับข้ายังไม่เคยขัดผลประโยชน์กัน ข้าเลยไม่ต้องเหนื่อยคอยคิดวางแผนแสดงละครต่อหน้าเจ้าตลอดเวลา”
คำพูดนี้ของนางครึ่งจริงครึ่งเท็จ มีเพียงฉู่สวินหยางเท่านั้นที่เข้าใจดี ตั้งแต่แรกเริ่มนางถูกชะตากับเขาจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นภพที่แล้วหรือว่าภพนี้ การที่เขาอยู่ที่นี่ ในสายตานางนั้นก็ต่างจากผู้อื่นตลอด ส่วนนาง…..
ก็เป็นเช่นนี้!
อยู่ในที่ที่ตนไม่ควรอยู่ เวลาเจอกับใครต่างก็ต้องใส่หน้ากากเข้าหา เหตุการณ์เช่นนี้ หากไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวก็ไม่มีใครเข้าใจได้หรอก
ฉะนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เขาตัดสินใจสารภาพชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนกับนาง นางถึงได้ปฏิเสธไปโดยไม่รู้ตัว
นางไม่อยากรู้ชาติกำเนิดของเขา เพราะเพียงแค่เขาเป็นคนที่ตัวตนและเบื้องหลังไม่ชัดเจน เขากับนางถึงได้เป็นคนแบบเดียวกันจริงๆ ล้วนแต่…
เร่ร่อน
ใช่ เร่ร่อน!
แม้ฉู่อี้อันจะรักนางเท่าใด ฉู่ฉีเฟิงจะเอ็นดูนางเท่าใด ตั้งแต่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตน ฉู่สวินหยางก็รู้สึกได้ว่าจิตใจนางเหมือนได้เปลี่ยนไปแล้ว
นางไม่อาจรับการให้โดยเสน่ห์หาใดๆ ได้อีก และก็ไม่อาจหลอมรวมกับคนในวังบูรพาได้ มักคิดว่าตนเป็นคนนอกที่เข้ากับคนในไม่ได้อยู่อย่างนั้น
ในจุดๆ นี้ ผู้ที่มาจากหนานฮวาและตัวตนคลุมเครืออย่างเหยียนหลิงจวินก็เหมือนกับนาง
ตอนแรกที่นางเข้าหาเขาก็เพราะเหตุผลนี้
ทว่าตอนนี้…
ความรู้สึกหนึ่งในนั้น เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว
ส่วนที่ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรนั้น นางยังไม่อยากขบคิดตอนนี้
เหยียนหลิงจวินฟังออกว่าคำพูดของนางคลุมเครือเหมือนแฝงอะไรไว้ เขาจึงยิ้มเล็กน้อยและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ทั้งสองเดินทางอย่างปลอดภัยตลอดทาง พอถึงตรอกข้างๆ วังบูรพา ฉู่สวินหยางจึงหยุดรอชิงหลัวและชิงเถิงอยู่ที่นั่นเพื่อกลับเข้าวังไปพร้อมกัน
พิธีสมรสวันนั้นจัดฤกษ์มงคลไว้ช่วงเย็น ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีฮุยเลยกลับจวนช้ากว่านาง ยามนี้แต่ละคนก็ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างจัดการตนเองและเข้านอนทันที
รุ่งเช้าวันต่อมา ฉู่สวินหยางก็ตื่นนอนเวลาเดิม ขณะชิงเถิงกำลังดูแลนางล้างหน้าล้างตาอยู่ ก็เห็นชิงหลัววิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างตระหนก “ท่านหญิง เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
——————————–