สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 94.1 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (1)
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ตักน้ำล้างหน้าพลางเอ่ยถาม “แผนร้ายแดงออกมาแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ!” ชิงหลัวพยักหน้า ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็ก้มหน้าก้มตาอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย “เช้าตรู่วันนี้องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยมิได้พาเจ้าสาวเข้าวังไปไหว้บุพการี หัวหน้าขันทีหลี่ส่งคนไปถาม สุดท้าย…เขาไม่อยู่ในจวนแล้วเจ้าค่ะ”
เนื่องด้วยว่าจะจัดงานมงคล ฮ่องเต้จึงสั่งรุ่ยชินอ๋องให้จัดคฤหาสน์หลังหนึ่งในพระนครให้กับทั่วป๋าไหวอันชั่วคราว
“ส่งคนไปหาแล้วหรือ?” ฉู่สวินหยางถามอย่างไม่ร้อนรน
เรื่องนี้ นางเองก็คิดไว้อยู่แล้ว ยามนี้ตระกูลโม่เป่ยกำลังวุ่นวาย คนทะเยอทะยานป่าเถื่อนอย่างทั่วป๋าไหวอันจะยอมให้ฮ่องเต้คุมตัวไว้ที่นี่? เขาจะต้องคิดหาวิธีหนีออกไปอย่างแน่นอน
และคืนวานก็จัดงานมงคลอีก นับเป็นโอกาสดีที่หายากนัก
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ปิดเมืองทั้งเมือง ยามนี้กองกำลังรักษาพระนคร กองพลทหารราบรวมถึงกองทหารองครักษ์ต่างก็ออกไปล้อมรอบคฤหาสน์เมืองเฉิงตงและค้นทั่วเมืองแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวเอ่ย
ฉู่สวินหยางมีท่าทีเงียบสงบต่อเรื่องนี้มาโดยตลอด ราวกับไม่ค่อยจะสนใจ
ชิงหลัวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างอดไม่ได้ “ท่านชายจ่างซุน…โดนเรียกเข้าวังไปตั้งแต่รุ่งเช้าแล้วเจ้าค่ะ!”
“หืม?” ฉู่สวินหยางชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไร รอจนจัดการตัวเองเสร็จจึงเอ่ย “หมายความว่าอย่างไร?”
ชิงหลัวยิ้มแห้งๆ เอ่ย “เย็นวานนี้ท่านชายจ่างซุนนำกำลังทหารออกจากเมืองไปชุดหนึ่ง อยู่นอกเมืองราวสองชั่วยามถึงกลับมาเจ้าค่ะ!”
ฉู่สวินหยางหรี่ตาเล็กน้อย ในดวงตาคู่นั้นเคลือบด้วยความเย็นชาในทันใด ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ฉู่ฉีฮุยช่างใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ได้ดีเสียจริง!”
นางเอ่ยพลางโยนผ้าเช็ดหน้าผืนเปียกในมือกลับไปในอ่างล้างหน้าอย่างโมโห
อยากลวงให้วังบูรพาของนางทำความผิดไปด้วย? ฉู่ฉีฮุยก็เป็นจุดอ่อนที่โจมตีได้ง่ายที่สุดไม่ใช่หรือ?
“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อได้สติกลับมา ฉู่สวินหยางก็เอ่ยถามพลางเดินกลับเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ
ชิงหลัวบอกเรื่องทั้งหมดไปคร่าวๆ แล้ว ส่วนชิงเถิงก็ถือชุดเข้ามา เป็นชุดสีเขียวมรกตเรียบๆ ตัวหนึ่ง
ฉู่สวินหยางเหลือบมองแวบหนึ่งก็ออกแรงผลักออก “ไปเปลี่ยนมา! ชิงหลัวเจ้าไปบอกท่านพี่ที่เรือนจิ่นโม่ที อีกครู่ข้าจะไปหา”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!” ชิงหลัวรับคำเสร็จก็หันหลังเดินออกไป ไม่ได้ถามอะไรมาก
ฉู่สวินหยางไม่ชอบความวุ่นวาย ปกติอยู่ในจวนก็ใส่ชุดง่ายๆ สบายๆ ลายของเสื้อผ้าก็เรียบที่สุดเท่าที่จะเรียบได้ ชิงเถิงอยู่กับนางมานานแล้ว จึงเข้าใจดี และหันกลับไปหยิบชุดปกติที่ออกเยี่ยมแขกมา
ฉู่สวินหยางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ไปเรือนจิ่นโม่
พอเดินเข้าประตูไปก็เห็นข้ารับใช้ที่แต่งตัวเป็นขันทีอยู่ในห้องโถงเพิ่มขึ้นอีกสามคน
และคนที่เป็นหัวหน้าก็คือศิษย์ของหลี่รุ่ยเสียง เย่าสุ่ย
ยามนี้เย่าสุ่ยกำลังคุยอะไรบางอย่างกับฉู่ฉีเฟิง สีหน้าดูเคร่งเครียดมาก
“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางยิ้มเดินเข้าไป สายตาค่อยๆ ทอดมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ “อะไรกัน ท่านมีแขกแต่เช้าตรู่เลยหรือ?”
ฉู่ฉีเฟิงสวมชุดสีขาวลายดวงจันทร์กำลังนั่งดื่มชาอยู่ภายในโถง พลางขมวดคิ้ว เหมือนกับอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
“ข้าน้อยคารวะท่านหญิงสวินหยาง” เย่าสุ่ยรีบนำอีกสองคนทำความเคารพ ก่อนจะหันกลับไปมองฉู่ฉีเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม “ข้าน้อยมาเชิญท่านจวิ้นอ๋องไปในวัง แต่ท่านจวิ้นอ๋องบอกว่าท่านไม่ว่าง”
เขาพูดพลางมองไปทางฉู่สวินหยาง หวังจะให้นางช่วยพูดให้
เขาแค่บอกว่ามาเชิญ ไม่ได้บอกว่าเป็นคำบัญชาของฮ่องเต้
ฉู่สวินหยางตาเป็นประกาย ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ย “ท่านมีอะไรก็พูดที่นี่เถิด เกรงว่าวันนี้ท่านพี่จะไม่ว่างจริงๆ เขาเพิ่งตอบตกลงไปเยี่ยมเสด็จย่าเป็นเพื่อนข้านี่เอง!”
นางพูดพลางเอื้อมไปสะกิดแขนเสื้อของฉู่ฉีเฟิงเอ่ย “ครั้งก่อนเสด็จย่าตบรางวัลให้มากมาย ควรไปขอบพระทัยต่อหน้าจึงจะถูก สองวันนี้เสด็จย่าคงจะว่างแล้ว ท่านพี่ไปกับข้าเถิด!”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า ก่อนจะวางถ้วยชาและลุกยืน
สองพี่น้องเดินเคียงข้างกันออกไป
เย่าสุ่ยรีบจะไปดัก แต่ตอนฉู่ฉีเฟิงเดินเฉียดบ่าไปก็เอ่ยขึ้นก่อน “คนในวังบูรพาของข้าทำอะไรเปิดเผย ข้าไม่มีอะไรอยากพูด ตอนนี้ข้าต้องรีบเข้าวังไปพบเสด็จย่า ความหวังดีของหัวหน้าขันทีหลี่ รบกวนท่านขอบใจเขาแทนข้าด้วย”
เอ่ยจบก็เดินจ้ำๆ ออกไป
“ไอยา!” เย่าสุ่ยร้อนรนขึ้นมา จะอ้าปากพูดกับแผ่นหลังของเขา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
รอจนฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางออกจากจวนไป ขันทีน้อยข้างๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา “คังจวิ้นอ๋องกับองค์รัชทายาทของเรา พ่อลูกคู่นี้นิสัยละม้ายคล้ายกันจริงๆ ช่วงเวลาน่าสิ่วน่าขวานเช่นนี้ยังไม่รู้จักรีบร้อนอีก”
เย่าสุ่ยทำงานไม่สำเร็จ อารมณ์ก็ไม่ค่อยดีนัก เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็จ้องเชิงกล่าวเตือน ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “คุมปากของตัวเองให้ดีเถอะ เรื่องของพวกเจ้านาย บ่าวอย่างเจ้าอยากจะนินทาก็นินทาอย่างนั้นหรือ?”
“ขอรับ! ข้าน้อยผิดไปแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้ว!” ขันทีน้อยผู้นั้นเมื่อรู้ว่าตนพลั้งปากก็ทำหน้ามุ่ย พลางตบตัวเองไปสองที
เย่าสุ่ยมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ไป กลับวัง!”
และทั้งหมดก็กลับวังไป
ตอนนี้หน้าห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ก็คุ้มกันด้วยทหารเพิ่มขึ้นอีกชั้น เพิ่มความรู้สึกหนาวเย็นให้กับผู้คน
ในใจของเย่าสุ่ยตอนนี้เป็นกังวลมาก เขาจัดระเบียบเครื่องแต่งกายอย่างหวาดกลัวอยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินย่องไปถึงนอกตำหนัก แล้วเข้าไปหลบและชะโงกหน้าออกมามองจากหลังเสา
ในยามนี้ข้างในมีคนมารวมกันแน่นเต็มตำหนัก ระดับบนมีฮ่องเต้ รุ่ยชินอ๋อง และพวกฉู่อี้หมินอ๋องหนานเหอ ระดับล่างมีเน่ยเก๋อ[1] ขุนนางต่างๆ ไปถึงขั้นพวกต้าหลี่ซื่อชิง[2] บรรยากาศในตำหนักตึงเครียด กดดันและเยือกเย็น
เย่าสุ่ยไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป ตอนที่ใจร้อนรนจนจะลุกเป็นไฟนั้น หลี่รุ่ยเสียงที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ก็มองมายังเขา
เย่าสุ่ยดีใจ รีบทำปากส่งสัญญาณบอกเขา
ขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้บ่อยๆ อย่างพวกเขามักจะมีความสามารถในด้านการอ่านปากเช่นนี้
เย่าสุ่ยพูดไปได้สองสามประโยคก็เกรงว่าจะทำให้พวกฮ่องเต้ด้านในแตกตื่น จึงรีบหันตัวกลับออกไปยืนรอตรงทางเดินข้างนอก
ไม่นานหลี่รุ่ยเสียงก็ถือถ้วยชาสีทองอร่ามออกมาจากด้านใน
ขันทีน้อยก็สายตาแหลมคม รีบเดินหน้าออกมา ยื่นสองมือรับถ้วยชานั้นและวิ่งออกไปเปลี่ยนชา
“ท่านอาจารย์!” เย่าสุ่ยเอ่ย พลางลุกลี้ลุกลนมายืนข้างเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อครู่ข้าเพิ่งกลับจากวังบูรพา คังจวิ้นอ๋องก็บอกปัดว่าตนเองไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ยอมยุ่งเรื่องนี้แม้แต่น้อย ท่านว่า…”
สถานการณ์ของทั้งวังบูรพายามนี้พิสดารอย่างมาก โอรสทั้งสองคนขององค์รัชทายาทล้วนเกิดจากนางสนม ฉู่ฉีฮุยเป็นโอรสคนโตจึงได้เปรียบ ส่วนฉู่ฉีเฟิงเป็นผู้ที่ฮ่องเต้รักใคร่ แต่ถ้าชั่งน้ำหนักกันจริงๆ ทั้งสองล้วนมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีใครด้อยกว่าใคร แม้เย่าสุ่ยไม่กล้าพูดออกไปอย่างชัดเจน แต่ก็แอบคิดในใจ…
องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยวางแผนหนีเป็นอิสระในวันสมรส หวงจ่างซุนก็พัวพันกับคดี ส่วนคังจวิ้นอ๋องกลับนั่งชมอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีเย็นชา เป็นไปได้มากว่าจะเป็นข้อพิพาทในวังบูรพาของพวกเขา
แต่เมื่อพูดถึงเรื่ององค์รัชทายาท เขาเองก็ไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ได้เพียงแต่มองสีหน้าของหลี่รุ่ยเสียงและเอ่ย “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้ขนาดองค์รัชทายาทและคังจวิ้นอ๋องยังไม่ยุ่ง เหตุใดท่านต้องเปลืองแรงด้วยเล่า? ทำที่ทำได้ก็พอแล้วมิใช่หรือ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็สาวไม่ถึงตัวท่านหรอก”
“เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงถามเรื่องนี้กัน?” หลี่รุ่ยเสียงหันมองเขา หว่างคิ้วยังคงราบเรียบดั่งสายน้ำ “แม้องค์รัชทายาทจะเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียว ปกติไม่มีศัตรูอะไรก็ไม่อะไรกับเราอยู่แล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์คับขันเช่นนี้ คนในวังบูรพาของเขากลับไม่มีใครยุ่งกับเรื่องนี้ เจ้าไม่เคยคิดว่าเพราะอะไรหรือ?”
ฉู่ฉีฮุยเป็นโอรสคนโตขององค์รัชยายาท อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของวังบูรพาทั้งวัง ฉู่อี้อันจะนั่งดูเฉยๆอย่างนั้นหรือ?
เกรงว่าจะมีเหตุผลเดียว….
องค์รัชทายาทผู้นี้ได้เตรียมการในใจแล้ว เรื่องนี้จะไม่เกิดผลกระทบใดๆ กับวังบูรพาของเขา
เช่นนี้แล้ว โอกาสจะส่งมอบน้ำใจก็อยู่ตรงหน้า…..
ในเมื่อดีเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ทำ?
อย่างไรเสียเย่าสุ่ยก็ยังนับว่าอายุน้อย มองเรื่องไม่ค่อยขาด จึงทำหน้ากลัดกลุ้ม “แล้วยามนี้้ควรทำอย่างไร? นิสัยของพวกเจ้านาย ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ คนที่พูดจามีน้ำหนักน้อยนิดเท่าเม็ดถั่วเขียวงาดำอย่างข้าพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ท่านอาจารย์…ข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ!”
……………………………………..
[1] เน่ยเก๋อ เป็นองค์กรในระบบราชการของจักรวรรดิจีนช่วงราชวงศ์หมิง ซึ่งโดยนิตินัยแล้วเป็นหน่วยประสานงาน
[2] ต้าหลี่ซื่อชิง ตำแหน่งขุนนางผู้บัญชาการในศาลยุติธรรมในสมัยอดีตของจีน