สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 94.2 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (2)
หลี่รุ่ยเสียงครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ย “คังจวิ้นอ๋องเล่า?”
“เข้าวังไปแล้วขอรับ!” เย่าสุ่ยเอ่ย “ไปเยี่ยมฮองเฮาที่วังโซ่วคังกับท่านหญิงสวินหยางแล้วขอรับ!”
“เข้าวังมาแล้วหรือ?” หลี่รุ่ยเสียงได้ยินเช่นนั้นจู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา…
นั่งดูเฉยๆ อะไรกัน นี่เขาเจตนาเข้าร่วมชัดๆ เพียงแต่หากฉู่ฉีเฟิงเป็นฝ่ายมาขอพบฮ่องเต้เพียงเพราะฉู่ฉีฮุยคงจะชัดเจนเกินไป ต่อไปหากฮ่องเต้เป็นฝ่ายเรียกพบคงจะไม่ต้องพูดแล้ว
เย่าสุ่ยร้อนรนไปหมด กุมขมับแล้วเอ่ย “ท่านอาจารย์…”
“ไปทำงานของเจ้าเถอะ!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ยอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เนื่องด้วยฉู่ฉีฮุยพัวพันเข้ามาในคดี ทำให้ฮ่องเต้โกรธมาก รีบสั่งให้ไปเรียกฉู่อี้อันทันทีเพื่อพาตัวเขามา โดยสั่งให้หลี่รุ่ยเสียงไปตามด้วยตัวเอง สุดท้ายองค์รัชทายาทที่จัดการข้อราชการอยู่นั้นก็เอ่ยตอบโดยไม่แม้แต่มองว่าเขามีงานของทหารที่สำคัญต้องรีบจัดการ พอพูดจบก็ส่งแขกทันที
ทำอย่างไรได้ หลี่รุ่ยเสียงจึงต้องเรียกให้เย่าสุ่ยไปวังบูรพา…
หวังจะให้เชิญฉู่ฉีเฟิงมา ที่นี่ก็จะไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งแล้ว และก็นับว่าเป็นการแสดงน้ำใจต่อวังบูรพาด้วย
แต่พอสุดท้าย…
ฉู่ฉีเฟิงกลับผลักโอกาสครั้งนี้ไปอย่างไม่คิด!
หลี่รุ่ยเสียงคิดๆ แล้วก็ขำ ก่อนจะโบกมือให้เย่าสุ่ย
เย่าสุ่ยเก็บคำพูดไว้ในใจและถอยออกไป ส่วนขันทีน้อยที่ไปเปลี่ยนชาใหม่ก็เดินถือถ้วยชากลับมาส่งให้เขา
หลี่รุ่ยเสียงจึงยกชาเข้าตำหนักไป
พอก้าวเข้าวังไปก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้เอ่ยอาละวาด “ขยะ! ล้วนแต่เป็นขยะ! ก็แค่หาคน ไม่รู้จริงๆ ว่าเลี้ยงพวกเจ้าไว้ทำอะไรกินได้!”
ยังพูดไม่ทันจบ เหลียงอวี่ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร ใต้เท้าเหยาแห่งกองพลทหารราบ แม้แต่หัวหน้ากองทหารองครักษ์ก็รีบคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงด้วยความตื่นตระหนก
เรื่องของทั่วป๋าไหวอันทำให้ฮ่องเต้อาละวาดอย่างหนัก ถึงกับปาที่ทับกระดาษหยกขาวข้างๆ มือลงมาที่พื้นด้วยความโกรธ
ดีที่ที่ทับกระดาษนั้นขัดเงาไว้แล้ว แต่มุมทุกมุมที่ถูกขัดจนเงาก็ยังทำให้มุมแก้มของใต้เท้าเยาห้อเลือดขึ้นมา
ฮ่องเต้ยังไม่หายโกรธ เมื่อเห็นหลี่รุ่ยเสียงเดินเข้ามา ก็ชี้ไปทางนอกตำหนักและเอ่ย “ไป! ไปเรียกองค์รัชทายาทมาพบข้า! กองกำลังรักษาพระนครดูแลเมืองไม่ดี ข้าจะถามสักหน่อย ว่าผู้บัญชาอย่างเขาควบคุมอย่างไรกัน!”
“ฝ่าบาทลืมแล้วหรือ องค์รัชทายาททรงตอบว่ายังต้องจัดการเรื่องทหารของแคว้นฉู่ เรื่องนี้เร่งด่วนมาก ไม่อาจชักช้าได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเดินเข้าไปด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกกับสีหน้าของฮ่องเต้แต่อย่างใด ได้แต่ตอบอย่างนอบน้อม “กระหม่อมได้ส่งถ่ายทอดคำสั่งของฝ่าบาทไปแล้ว องค์รัชทายาทตอบว่ารอให้จัดการเรื่องทหารเรียบร้อยก่อน แล้วจะรีบมาเข้าเฝ้าในทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านแคว้นฉู่และเมืองหนานฮวาทำศึกติดต่อกันมาหลายปี ฮ่องเต้เองก็คิดหนักโดยตลอด อีกทั้งเรื่องนี้เขาเองก็ตั้งใจมาก แต่เป็นทางโม่เป่ยทำเสียแผนเช่นนี้ เขาก็ต้องโกรธจัดเป็นธรรมดา
หลี่รุ่ยเสียงสังเกตสีหน้าของเขาก่อนจะเหลือบไปมองฉู่ฉีฮุยที่คุกเขาก้มหน้าก้มตาอยู่กับพื้น และเอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ข้าได้ยินว่าคังจวิ้นอ๋องและท่านหญิงสวินหยางกำลังคุยกับฮองเฮาอยู่พอดี เราควร…”
สายตาของฮ่องเต้เป็นประกาย และดับลงอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฉีเหยียนเห็นอยู่กับตา จึงเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ยินว่าเมื่อวานฉีเฟิงดื่มเหล้าอยู่ที่จวนพวกเราทั้งวัน เขาเองก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ เหตุใดต้องเรียกเขามาให้วุ่นวายด้วย?”
หลี่รุ่ยเสียงได้แต่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้แย้งอะไร
ฮ่องเต้ยังคงนั่งไตร่ตรองสักพัก ก่อนเอ่ย “เจ้าไปเถอะ ไปเรียกฉีเฟิงมาให้ข้า!”
ระหว่างที่พูดนั้น น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
หลี่รุ่ยเสียงรับคำเสร็จก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก สวนทางกับขันทีคนหนึ่งที่เดินคอตกเข้ามา
หลี่รุ่ยเสียงหยุดฝีก้าวและเอ่ยถาม “ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งให้เจ้าไปเชิญองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยกับพระชายาขององค์ชายห้ามาไม่ใช่หรือ?”
“ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ด้วย!” ขันทีคนนั้นรีบคุกเขาลง “กระหม่อมไปที่คฤหาสน์ขององค์ชายห้าแล้ว แต่พระชายาขององค์ชายห้าอ้างว่าป่วย ส่วนองค์หญิงหก…บอกว่าไปเยี่ยมฮ่องเฮาแต่เช้า ยามนี้ยังไม่กลับกระหม่อม!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้าไปเยี่ยมฮองเฮาหลัวในวังอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงมาบังเอิญเป็นวันนี้?
ทุกคนล้วนแต่ครุ่นคิด…
องค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยนี้นับว่าเป็นคนที่เดายากคนหนึ่ง
ในขณะที่แต่ละคนยังมีอารมณ์ดูเรื่องตลกอยู่นั้น ซูหลินกลับนั่งไม่ติดอีกแล้ว
เขาเลิกชายเสื้อคลุมและลุกขึ้น แล้วคุกเข่าลงไปทางโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท น้องสาวของกระหม่อมร่างกายมิค่อยดีตั้งแต่เกิดเรื่องนักฆ่าแล้ว นางมิได้ขัดรับสั่งของฝ่าบาทแน่นอน!”
แต่กลับแอบด่าซูหว่านในใจ จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีก
ฮ่องเต้เดิมทีก็โมโหทั่วป๋าไหวอันอยู่แล้ว ยังจะไว้หน้ากับเขาอีกหรือ? ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนสีไปในทันใด ก่อนเอ่ยเสียงแข็ง “ขอแค่นางไม่ตาย ต่อให้ต้องหามก็ไปหามนางมาให้ข้า!”
ทั่วป๋าไหวอันหนีไปในยามค่ำคืน และคืนนั้นก็เป็นคืนวิวาห์ ไม่มีเหตุผลใดที่ซูหว่านผู้มีฐานะเป็นภรรยาจะไม่รู้เรื่อง
ซูหลินเหงื่อตกไปทั่วตัว ในใจไม่รู้จักหลาบจำ ยังคงเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ หว่านเอ๋อเป็นหญิงอ่อนแอ คืนวานเพิ่งจะโดนแบกเข้ามาในจวนของทั่วป๋าไหวอัน นางไม่รู้อันใดเกี่ยวกับสิ่งที่ทั่วป๋าไหวอันกระทำแม้แต่น้อย ขอฝ่าบาททรงเข้าพระทัย!”
“จะถูกจะผิด ข้าตัดสินใจเองได้ ไม่ต้องให้เจ้ามาสอนข้าเรื่องพวกนี้!” ฮ่องเต้เอ่ยด้วยท่าทีแข็งกร้าว “ไปจัดการตามข้าที่สั่ง!”
ซูหลินเห็นเขากำลังโกรธเป็นฟืนไฟ จึงไม่กล้าพูดต่อ
ขันทีรับคำสั่งแล้วก็เดินออกไป
สักพักหลี่รุ่ยเสียงก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ทางฮองเฮา…”
“เบิกตัวทั่วป๋าอวิ๋นจี!” ฮ่องเต้เอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำสั่งและรีบเดินออกไปด้านนอก
คนในตำหนักเหมือนถูกสะกดลมหายใจไม่กล้าพูด แต่ละคนล้วนแต่ฉงนกันทั้งนั้น…
หัวหน้าขันทีข้างกายฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าผู้อื่น แต่ที่ประหลาดก็คือ เวลาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้กลับไม่มีข้อขาดตกบกพร่อง อีกทั้งยังคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้อย่างรอบคอบ และคนอื่นก็ไม่มีใครตามทัน
เมื่อตอนที่หลี่รุ่ยเสียงไปถึงวังโซ่วคัง พวกฉู่ฉีเฟิงกำลังนั่งคุยกับฮองเฮาหลัวอยู่ในห้องอุ่น
จางอวิ๋นเจี่ยนตอนนี้ก็นับว่าไร้ประโยชน์แล้ว เลยไม่มีใครเรียกเขาเข้าวังมาเป็นการลบหลู่ฮองเฮา แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับพาฮูหยินจางเข้าวังมาขอบพระคุณด้วยกัน นางมาเร็วไปก้าวหนึ่ง ยามนั้นยังไม่มีใครรู้เรื่องทั่วป๋าไหวอัน พอเคารพฮ่องเต้เสร็จก็มาหาหลัวฮองเฮาทันที
ต่อมาทั่วป๋าอวิ๋นจีก็มาสมทบอีก
สักพักหนึ่งฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางก็มา
ฉะนั้นวันนี้วังของหลัวฮองเฮาจึงคึกคักเป็นพิเศษ
ฮูหยินจางคิดไปเองว่าอาศัยหน้าตาของลูกสะใภ้อย่างฉู่หลิงอวิ้น นางจึงได้โอกาสเข้าใกล้ฮองเฮา พอฮองเฮาเริ่มหายโกรธก็ยิ่งพูดดีใส่ ประจบประแจงอย่างดี
ฉู่หลิงอวิ้นรู้จักนิสัยของหลัวฮองเฮาดี จึงช่วยพูดทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งสองจึงเข้ากันได้ดี อารมณ์ของหลัวฮองเฮาก็พลอยดีไปด้วยมาก
ทั่วป๋าอวิ๋นจีและพวกฉู่สวินหยางต่างนั่งรออยู่ด้านล่าง ความอดทนไม่มีใครเป็นรองใคร ไม่มีใครมีแววว่าจะขอลาไปก่อนแม้แต่น้อย บรรยากาศตอนนี้ช่างอบอุ่นกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกัน
นางในเดินเข้ามากระซิบแม่นมเหลียงไม่กี่ประโยค แม่นมเหลียงได้ยินดังนั้นก็ถอยออกไปอย่างช้าๆ ไม่นานก็กลับมาเอ่ยเตือนหลัวฮองเฮา “ฮองเฮา หัวหน้าขันทีหลี่ขอเข้าเฝ้าเพคะ!”
หลัวฮองเฮาประหลาดใจเล็กน้อย ค่อยๆ หุบยิ้ม “หลี่รุ่ยเสียงหรือ? เขามีเรื่องอะไร?”
“บอกว่าเป็นบัญชาของฝ่าบาท พระองค์ต้องการพบท่านจวิ้นอ๋องและใต้เท้าองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยเพคะ!” แม่นมเหลียงเอ่ยอย่างระวัง
รอบยิ้มบนหน้าของหลัวฮองเฮาแข็งทื่อ คนอื่นๆ ก็เงียบลงในทันที
แม่นมเหลียงเห็นดังนั้นจึงหันไปนำหลี่รุ่ยเสียงเข้ามา
หลี่รุ่ยเสียงคำนับทุกคนแล้วก็คารวะหลัวฮองเฮาอีกครั้งเอ่ย “กระหม่อมรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของฝ่าบาท ขอฝ่าบาทประทานอภัย กระหม่อมได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ว่าพระองค์งต้องการเบิกตัวคังจวิ้นอ๋องและองค์หญิงอวิ๋นจีไปพบ ขอฮองเฮาโปรดอนุญาต”
ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
“อืม!” ฮองเฮาหลัวพยักหน้าก่อนจะเหลือบตาเป่าน้ำชาในมือและเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ในเมื่อฝ่าบาทเรียก พวกเจ้าก็ไปเถิด!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทีดูลังเล
ฉู่ฉีเฟิงจัดชุดให้เรียบเสร็จก็ลุกยืนและยิ้มเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นหลานทูลลาก่อน ไว้วันหลังจะมาเยี่ยมเสด็จย่าใหม่!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนจะทำความเคารพ “อวิ๋นจีทูลลาเพคะ!”
“ไปเถิด!” ฮองเฮาหลัวโบกมือ
……………………………………………..