สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 94.3 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (3)
หลี่รุ่ยเสียงเดินนำทั้งสองออกไป สายตาของหลัวฮองเฮาสงบราบเรียบ แต่ฉู่สวินหยางสังเกตเห็นว่าสายตาของฮองเฮาเหลือบมองแผ่นหลังของหลี่รุ่ยเสียง และสายตาแหลมเฉียบนั้นเหมือนปกปิดอะไรไว้
เมื่อแม่นมเหลียงเห็นก็เอ่ยปนยิ้ม “หม่อมฉันไปส่งหัวหน้าขันทีหลี่แทนฮองเฮาเองเพคะ!”
คนกลุ่มนั้นออกตามๆ กันไป เมื่อสังเกตเห็นว่าหลัวฮองเฮาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฮูหยินจางจึงเอ่ยด้วยความเก้อเขิน “พวกหม่อมฉันรบกวนฮองเฮามาครู่หนึ่งแล้ว พลอยให้ฮองเฮาเสียเวลาจัดการงานในวังไปด้วย หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ!”
หลัวฮองเฮาคิดแต่เรื่องทางฝั่งฮ่องเต้ ไม่มีกะจิตกะใจจะใส่ใจพวกนี้
ฉู่หลิงอวิ้นก็เตรียมจะลุกขึ้นตามออกไป
ฉู่สวินหยางเหลือบไปเห็นจึงหันไปเอ่ยกับนาง “ท่านพี่อันเล่อยากนักจะมีโอกาสเข้าวังสักครั้ง ท่านไม่คุยเป็นเพื่อนเสด็จย่าอีกหน่อยเล่า วันนี้ไม่เหมือนวันอื่น ต่อไปท่านพี่ก็ต้องไปดูแลบ้านสามี โอกาสจะได้มาเยี่ยมเยือนเสด็จย่าก็น้อยลงแล้ว”
ฉู่หลิงอวิ้นที่ทำท่าจะลุกขึ้นก็ชะงักทันที และค่อยๆ มองมา
“มิกล้าๆ!” ฮูหยินจางรีบเอ่ย “ท่านหญิงได้เข้าวังมาเยี่ยมฮองเฮานับว่าเป็นวาสนาของท่านหญิง ข้าจะให้ท่านหญิงมาลำบากเพราะข้าได้อย่างไร”
ฐานันดรนี้ของฉู่หลิงอวิ้น แม้จะเป็นสะใภ้ของตระกูลจาง แต่ก็ต้องถูกเลี้ยงดูอย่างดี ที่ว่าดูแลบ้านสามีก็แค่พูดให้เป็นทางการเท่านั้น ตระกูลจางของพวกเขาไม่กล้าดีขนาดนั้นหรอก
ฉู่สวินหยางยิ้ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลัวฮองเฮา “เสด็จย่าดูสิเพคะ ฮูหยินจางใจกว้าง เป็นแม่สะใภ้ที่ดีกับท่านพี่เช่นนี้ พระองค์วางใจได้เต็มที่เลยเพคะ”
ฉู่หลิงอวิ้นเป็นราชนิกุล หลัวฮองเฮาก็ไม่ได้เป็นห่วงว่าคนตระกูลจางจะทำอะไรนางอยู่แล้ว แต่ก็พูดไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สะใภ้ที่ออกเรือนก็ควรรักษาข้อปฏิบัติของการเป็นภรรยา พวกเจ้าเองก็โดนเลี้ยงแบบประคบประหงมมาเหมือนกัน ไม่เพียงแต่อันเล่อ สวินหยางกับอวี่ก่วนก็เช่นกัน ต่อไปออกเรือนก็ควรรู้ข้อปฏิบัติ หากทำฝ่าบาทกับข้าขายหน้า ข้าจะไม่ลดโทษให้แน่”
แม้จะเป็นคำพูดกึ่งล้อเล่น แต่ใครได้ยินเข้าก็ไม่มีใครคิดเล่นๆ กันทั้งนั้น
“เพคะ เสด็จย่า/ฮองเฮา!” ทุกคนตอบรับโดยพร้อมเพรียง
หลัวฮองเฮายังมีเรื่องให้คิด เลยไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับพวกนางนัก จึงโบกมือขึ้น “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ อวี่ก่วนก็ออกไปด้วย ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักครู่หนึ่ง!”
“เพคะ!” ทุกคนทำความเคารพ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก
ฉู่สวินหยางเป็นคนไม่ชอบออกหน้าออกตามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงเดินปิดอยู่ท้ายสุด
ส่วนฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนชอบเอาหน้า แต่ตอนนี้กลับเดินทิ้งท้ายมาหลายก้าวจนรั้งท้ายคู่กับฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางหันมองไปเล็กน้อย และก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเดิม “ท่านหญิงอันเล่อช่างอดทนดีเสียจริง ละครในวังออกจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ไม่ไปดูหน่อย ไม่คิดว่าน่าเสียดายหรือ?”
ฉู่หลิงอวิ้นมีจุดเด่นก็คือสิ่งนี้ แม้จะทะเยอทะยาน แต่กลับอดทนต่ออารมณ์ต่างๆได้ดี หากเป็นคนอื่น รู้ว่ามีเรื่องน่าสนใจเช่นนี้อยู่ตรงหน้า และตนยังมีสิทธิ์อยู่ในมือ จะอย่างไรก็ต้องคิดวิธีอยู่ดูกับตัวถึงจะได้อรรถรส แต่นางกลับไม่ทำ…
นางสามารถใช้ฝีมือวางแผนได้หลากหลาย แต่นางกลับรู้แต่หาวิธีเลี่ยงสงคราม ไม่อยากยุ่งเกี่ยวเท่านั้น
สีหน้าของฉู่สวินหยางเหมือนปกติ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ เสียงที่เอ่ยก็ต่ำทุ้ม ได้ยินกันแค่สองคน
ฉู่หลิงอวิ้นก็เช่นกัน นางเลิกคิ้วแล้วเอ่ย “ระหว่างเจ้ากับข้าอย่าพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้จะดีกว่า จะอย่างไรครั้งก่อนเจ้าก็ทำเรื่องข้าพัง จะชี้ตัวตอนนี้คงไม่จบสิ้น กวางตายใครคือผู้ฆ่า ดูๆ ไปก็คงรู้”
ฉู่สวินหยางหัวเราะอย่างไม่ได้สนใจนัก เว้นครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมา “ข้าได้ยินว่าเสด็จย่าเหมือนคิดจะเปลี่ยนจวนเดิมของเสด็จป้าหนานคังให้เป็นจวนของท่านหญิงอันเล่อ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นของประดับบารมีชิ้นแรกตั้งแต่เปิดเมืองซีเยว่แล้ว”
ตามประวัติ องค์หญิงที่เป็นราชนิกุลออกเรือนก็อาศัยอยู่บ้านฝ่ายหญิง ปกติแล้วกรมวังจะเป็นผู้คุมการสร้างจวนส่วนตัวที่อยู่ข้างนอกขององค์หญิงตลอด แม้จะเป็นท่านหญิงที่ได้รับความรักใคร่จากฮ่องเต้ก็ได้รับสิทธิ์พิเศษนี้เช่นกัน แต่ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองซีเยว่ขึ้นมาไม่เคยมีกรณีนี้มาก่อน
อีกทั้งองค์หญิงหนานคังก็เป็นลูกสาวที่ฮองเฮาหลัวรักใคร่เอ็นดูที่สุด เพียงแต่นางเกิดในปีที่เกิดสงคราม ร่างกายก็อ่อนแออย่างมาก ฮองเฮาสงสารนางจึงได้สร้างจวนองค์หญิงที่แสนหรูหรางดงามนี้ให้นางไว้นานแล้ว แต่องค์หญิงน้อยเคราะห์ซ้ำกรรมซัดนัก ยังไม่ทันโตเป็นสาว ไม่ทันได้ย้ายไปอยู่ ก็จากไปเสียแล้ว
ต่อมาฉู่หลิงอวิ้นก็เข้าตาหลัวฮองเฮา ว่ากันว่าเป็นเพราะหน้าตาของนางละม้ายคล้ายกับองค์หญิงหนานคังตอนนั้นอย่างมาก กอปรกับที่นางมัดใจคนเก่ง นานเข้าก็กลายเป็นคนพิเศษของหลัวฮองเฮา
หลัวฮองเฮาเก็บรักษาคฤหาสน์ขององค์หญิงหนานคังมาโดยตลอด ต่อมาตอนที่ฉู่หลิงอวิ้นถูกหมั้นหมายให้แต่งงานกับซูหลิน ฮองเฮาก็ไม่ได้บอกว่าจะตกรางวัลให้นาง ครั้งนี้…
คิดๆ แล้วคงเป็นการชดเชยให้กับฉู่หลิงอวิ้นเพราะเรื่องสมรสของตระกูลจางด้วย
ฉู่หลิงอวิ้นหรี่ตาเล็กน้อย ท่าทีของนางก็เคร่งขรึมขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เจ้านี่สืบข่าวเร็วเสียจริง!”
“แต่ก็ไม่เร็วเท่าท่านหญิงอันเล่อหรอกเจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางโต้อย่างไม่ยอม
ฉู่หลิงอวิ้นสายตาเย็นเยือก เริ่มโกรธขึ้นมา แต่ก็นึกได้ว่าตนอยู่ภายในวังจะอาละวาดไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แค่จ้องฉู่สวินหยางและเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
คนกลุ่มนั้นเดินออกมาจากในตำหนัก พอถึงทางแยกก็เห็นนางกำนัลนางหนึ่งถือกระโปรงวิ่งหน้าตั้งมาจากทางเดินด้านข้างด้วยสีหน้ารีบร้อน มาสะกิดหลัวอวี่ก่วนและกระซิบอะไรบางอย่างข้างๆ หู
เนื่องด้วยท่าทีของนางกำนัลผิดแปลกไป ทุกคนจึงพลอยหยุดฝีเท้ามองไปด้วย แม้ไม่ได้ยินว่านางพูดอะไรกับหลัวอวี่ก่วน แต่ก็เห็นสีหน้าของหลัวอวี่ก่วนซีดเผือดจนร่างเกือบจะทรุดลงตกมาจากบันได
“คุณหนูหลัวอวี่ก่วน!” นางกำนัลนางนั้นรีบเข้าไปพยุง
หลัวอวี่ก่วนส่ายหน้าอย่างตกใจทันที แล้วหันหน้าวิ่งกลับเข้าไปในตำหนักและล้มลงแทบเท้าของหลัวฮองเฮาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว
ทางฟากห้องทรงอักษร ฉู่ฉีเฟิงและทั่วป๋าอวิ๋นจีก็เพิ่งไปถึง ทั้งสองทำความเคารพฮองเต้เรียงกัน ยังไม่ทันได้ไต่ถามเหตุผลที่ฮ่องเต้เรียกพบด่วนครั้งนี้ ขันทีด้านนอกก็นำซูหว่านที่สวมชุดกระโปรงสวยสง่าเข้ามา
คงเป็นพราะสีของชุดที่สว่างเกินไป กอปรกับผิวพรรณของนางที่ขาวซีดอยู่แล้ว ทำให้เห็นได้ชัดว่านางป่วยได้อย่างชัดเจน
คนภายในตำหนักถ้าไม่ใช่ราชนิกุลก็เป็นขุนนางผู้คุมอำนาจ พอมารวมตัวกันอยู่ในห้องทรงอักษร ซูหว่านจึงเดินเข้ามาด้วยความไม่สบายใจ ก่อนจะก้มหน้าคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”
ในเวลาเดียวกันก็ขมวดคิ้วและเหลือบมองซูหลินด้วยความกังวล
ซูหลินร้อนใจกระวนกระวาย แต่อยู่ต่อหน้าผู้คนจึงพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งเหมือนโดนตอกหมุด
ฮ่องเต้มองคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นชา และชิงพูดขึ้นก่อน “เอาล่ะ พวกเจ้าก็มาครบกันแล้ว ลองพูดมาสิ พวกเจ้าร่วมมือกันโจมตีพร้อมกันทั้งในวังและนอกวังเช่นนี้ คิดจะเล่นอะไรกับข้ากัน!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีรู้ดีอยู่แก่ใจ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา
แต่ซูหว่านกลับตะลึงนั่งแข็งทื่อไปทั้งตัว ก่อนจะเงยหน้ามองฮ่องเต้และเอ่ยอธิบาย “หม่อมฉันช่างเขลานัก ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเหตุใดจึงถามเช่นนี้เพคะ?”
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้หรือ? เรื่องถึงยามนี้แล้วเจ้ายังแกล้งโง่กับข้าอีกหรือ?” ฮ่องเต้มองชุดแดงตระการตาของนาง จึงคิดถึงทั่วป๋าไหวอันที่ฉวยโอกาสหนีไปในคืนสมรสก็เกิดโทสะขึ้นมาอีกรอบ และเอ่ยด้วยความโกรธเคือง “เจ้าบ่าวของตัวเองไปที่ไหน? อยู่ที่ใด? พวกเจ้าใช้โอกาสคืนสมรสทำอะไรลงไป? เจ้ายังอยากให้ข้าถามทีละประโยคอย่างนั้นหรือ?”
ซูหว่านตะลึง เมื่อได้ครุ่นคิดดู จึงพบว่าตนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของทั่วป๋าไหวอัน
“เออ…” นางงงงวยไปชั่วขณะ ทำได้เพียงเงยหน้าไปมองซูหลินอย่างไร้ที่พึ่ง
ซูหลินแข็งใจไปคุกเข่าข้างๆ นาง และเอ่ยด้วยความซื่อสัตย์ “ฝ่าบาท หว่านเอ๋อวานนี้เพิ่งแต่งเข้าไป ทั่วป๋าไหวอันหลบหนีไม่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ เห็นทีคงวางแผนไว้นานแล้ว หว่านเอ๋อนางไม่รู้เรื่องอะไร นางเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอฝ่าบาทไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“หลบ…หลบหนีหรือ?” ซูหว่านเบิกตาโพลง และร้องอุทานอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าซีดเผือด
“เช่นนั้น นางก็คงหนีโทษรู้เหตุการณ์แต่ไม่รายงานไม่พ้น” ฉู่อี้หมินที่อยู่ข้างๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงประชด “คืนวานเป็นวันสมรสของท่านหญิงซูหว่าน ตกดึกเจ้าบ่าวหายตัวไป หากไม่มีเจตนาปกปิด เหตุใดนางจึงไม่มารายงาน? หากนางบริสุทธิ์ใจจริง คืนวานก็ควรปล่อยข่าวออกมา หาต้องลำบากผู้อื่นไม่”
เรื่องนี้ซูหลินก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงแอบดึงชายเสื้อของซูหว่าน
ในยามเดียวกัน ซูหว่านก็ตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว…
………………………………..