สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 94.4 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (4)
คืนก่อนเป็นคืนสมรสของนางกับทั่วป๋าไหวอัน ตัวนางเองก็ต่อต้านงานสมรสครั้งนี้ ทุกข์ใจกับการที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่นั่งรอทุรนทุรายจนถึงเที่ยงคืน สุดท้ายก็ได้ข่าวว่าองค์ชายห้าเมามายไม่ได้สติ ถูกส่งไปพักผ่อนในห้องพัก ให้นางพักผ่อนตามอัธยาศัย
ตอนนั้นนางเอาแต่ดีอกดีใจ เลยไม่ได้ไปสนใจว่าทั่วป๋าไหวอันจะเมาจริงๆ หรือไม่ แค่รู้สึกว่าเหมือนตนได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว
พอตื่นมาตอนเช้า นางก็เตรียมแต่งหน้าแต่งตาเตรียมจะเข้าวังไปแสดงความขอบคุณพร้อมกับทั่วป๋าไหวอัน แต่สุดท้ายก็ได้ข่าวว่าทั่วป๋าไหวอันติดธุระ เข้าวังไปกับนางไม่ได้ แม้นางจะรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม แต่เห็นว่าทั่วป๋าไหวอันคอยแบกหน้าในทุกๆ เรื่องตลอด จึงปล่อยเลยตามเลย
นางไม่เคยคิดฝันด้วยซ้ำ เพียงชั่วข้ามคืนสามีของนางกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยในวันแต่งงานของนาง และไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แถมยังทิ้งภาระก้อนใหญ่ไว้ให้นางอีก
ซูหว่านอกสั่นขวัญผวาไปหมด แต่เมื่อเห็นสีหน้าฮ่องเต้ที่สืบคดีอยู่ตรงหน้าก็กลัวจนไม่กล้าร้องไห้ รีบแก้ต่าง “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ! หม่อมฉันไม่ทราบ หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ คืนวานคนในจวนมารายงานว่าสามีของหม่อมฉันเมาหัวราน้ำจึงพักผ่อนอยู่ที่ห้องพัก หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่ทราบว่าเขาไม่อยู่ในจวน ยิ่งไม่รู้ว่า…เขา…”
นางคิดไปก็กลุ้มไป ก่อนจะหันรีขวางไปทางทั่วป๋าอวิ๋นจีที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง เอ่ยถามด้วยความฉงน “เกิดอะไรขึ้น? พวกเจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่กัน?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วแน่น และหันไปพูดกับฮ่องเต้ด้วยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ “ฝ่าบาท อวิ๋นจีก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคืนวานเกิดอะไรขึ้นเพคะ ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบ หม่อมฉันกับพี่ห้าเดินทางมาไกลจากโม่เป่ย เมื่อวานเป็นงานสมรสของพี่ห้า เรื่องนอกเรื่องในไม่มีใครมาช่วย ยามเช้าตรู่หม่อมฉันก็ต้อนรับใต้เท้าและฮูหยินทั้งหลายในห้องโถง แต่เรื่องในเรือนหอคืนนั้นของพี่ห้า…”
นางเอ่ยด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ และก้มหน้าก้มตาเอ่ยต่อ “เรื่องเรือนหอของท่านพี่ ไม่ว่ายามใดหม่อมฉันก็ไม่มีสิทธิเข้าไปสืบข่าว!”
หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วมองไปทางซูหว่าน “พี่สะใภ้ห้าคืนวานก็ไม่เห็นพี่ห้าของข้าแล้วหรือ? เหตุใดไม่รีบบอกข้าตั้งแต่เช้าตรู่? เพราะข้าก็ไม่รู้อีโน่อีเหน่ถึงได้เข้าวังไปคารวะฮองเฮา!”
ทั่วป๋าไหวอันกับนางไม่มีญาติสนิทมิตรสหายที่นี่ ฉะนั้นงานสมรสของทั่วป๋าไหวอัน เขาก็ต้องยุ่งมือไม้พันเตรียมการไม่ทันและให้น้องสาวอย่างทั่วป๋าอวิ๋นจีมาช่วยรับผิดชอบเป็นธรรมดา ทั่วป๋าอวิ๋นจีจะบอกว่าตนวุ่นอยู่ทั้งวัน ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องในเรือนหอของทั่วป๋าไหวอันกับซูหว่าน ไม่ว่าใครก็เอาผิดนางไม่ได้!
แต่นางตัวติดกับทั่วป๋าไหวอันเป็นตังเม ยามนี้พี่ชายหนีไปจากเมืองหลวง สภาพตอนนี้ของนางจึงพลอยอึดอัดเสียเหลือล้น
ทั่วป๋าอวิ๋นจีพูดไปก็เศร้าไป นั่งคอตกอยู่ตรงนั้น
ฮ่องเต้กวาดตามองหญิงสาวทั้งสองคนละรอบ…
แต่ก็ไม่พบว่าทั้งสองจะส่งสายตาอะไรแก่กันใดๆ ดูๆ ไปก็เหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่รู้ความจริงๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เขาจึงไม่กล้าเมินเฉยเช่นกัน
ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งขรึม เม้มปากแน่นไม่พูดไม่จา
ซูหว่านเคยเจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? นี่เป็นโทษฐานลวงฮ่องเต้เชียว!
นางร้อนรนขึ้นมา จึงหันไปดึงชายเสื้อของซูหลินและเอ่ยวิงวอน “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าพูดสักสองประโยคสิ ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!”
เหตุใดทั่วป๋าไหวอันถึงหนีไวไปเร็วเช่นนี้? นี่มันคืออะไรกันแน่?
ตอนนี้อารมณ์มากมายผุดขึ้นมาในใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
ซูหลินก็อกสั่นขวัญผวาเช่นกัน เขามองสีหน้าของฮ่องเต้ก่อนจะเอ่ยหยั่งเชิง “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้มาตามถามที่นี่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมา กระหม่อมเพียงแต่ไม่เข้าใจเหตุใดองค์ชายห้าจึงลอบหนีออกจากเมืองหลวง? แต่สิ่งที่ต้องรีบเร่งตอนนี้มิใช่หาตัวเขากลับมา แล้วค่อยตัดสินคิดบัญชีหรอกหรือ? เช่นนั้นความจริงของเรื่องนี้ก็คงกระจ่างแล้ว!”
เหตุใดทั่วป๋าไหวอันจึงหนีออกจากเมืองหลวงไป? คนอื่นไม่รู้ แต่ในใจฮ่องเต้กลับรู้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ถึงกับรีบหูดับตับไหม้ออกจากเมืองหลวงไปเช่นนี้
หากให้ทั่วป๋าไหวอันกลับถึงโม่เป่ย ชายาอ๋องโม่เป่ยผู้ไร้สมองอย่างนางจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นได้อย่างไร? ถึงตอนนั้นโม่เป่ยก็ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว!
หากเป็นแต่ก่อนคงจะไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ผ่านเรื่องยัดของกลางและนักฆ่าก่อนหน้านี้มาแล้ว…
คนผู้นี้ ได้กลายมาเป็นปมในใจของเขาไปแล้ว!
ไฟโกรธในใจของฮ่องเต้ลุกโชนขึ้นมาเรื่อยๆ สีหน้าเต็มไปด้วยบันดาลโทสะ พลางชี้พวกต้าหลี่ซื่อชิงที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “พวกเจ้าว่ามาสิ! แค่เมืองหลวงเมืองเดียว กองทหารของพวกเจ้ารวมๆ กันมีถึงแสนกว่าคน เหตุใดจึงปล่อยให้คนเล็ดลอดบินโฉบออกไปได้เช่นนี้? พวกเจ้านี่มันไร้ฝีมือ!”
ก็แค่ทั่วป๋าไหวอันคนเดียว แต่ฮ่องเต้กลับโกรธดั่งอัสนีพิโรธเช่นนี้ เห็นที เขาจะตัดสินให้คนพวกนั้นปลดยศจำคุกก็คงไม่น้อยเกินไป
คนพวกนั้นจึงคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
“ฝ่าบาท วานนี้สองตระกูลในเมืองหลวงจัดงานมงคลพร้อมกัน แล้วทางฟากคฤหาสน์ขององค์ชายห้าก็มีแขกมาเยือนมากอีก เขาจึงฉวยโอกาสที่ผู้คนดื่มด่ำสังสรรค์ไม่ทันสังเกตหนีออกไป แม้จะเดาได้ว่าเขาจะหนีออกไปท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ในวันมงคลได้ลงคอ” ต้าหลี่ซื่อชิงเหยาก่วงไท่รีบอธิบาย “ฝ่าบาทเป็นผู้มีพระคุณ แต่ทั่วป๋าไหวอันนี่ช่างไม่เห็นคุณค่า!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้ว และเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ใต้เท้าผู้นี้โปรดระมัดระวังคำพูดด้วย พี่ห้าของข้าฉวยโอกาสที่วุ่นวายหนีออกไปหรือ? พวกข้าสองพี่น้องมาเป็นแขกเมืองซีเยว่ของพวกเจ้า ถึงพี่ห้าจะออกจากจวนไม่อยู่เมืองหลวงแล้วจะทำไม? พวกข้าสองพี่สองเป็นนักโทษของซีเยว่ของเจ้างั้นหรือ?”
ฮ่องเต้คุมทั่วป๋าไหวอันเข้มเช่นนี้ ทว่าไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน ฮ่องเต้จึงทำได้เพิ่งกระแอมในลำคอ ไม่พูดไม่จาใดๆ
“ไร้เหตุผล หากมิได้วางแผนมิดีมิร้าย เช่นนั้นองค์หญิงลองพูดมาสิว่าทั่วป๋าไหวอันอยู่ที่ใด แล้วไปที่นั่นทำไม” เหยาก่วงไท่ย้อนกลับ เพื่อผลักภาระของตนเขาจึงยอมกัดฟันฮึดสู้ และเหลือบมองเหลียงอวี่ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครที่คุกเข่านั่งหน้านิ่งอยู่ข้างๆ “เรื่องนี้ ใต้เท้าเหลียงไม่ควรอธิบายเสียหน่อยหรือ? หลังเรื่องนักฆ่าอาละวาด ประตูเมืองทั้งสามแห่งก็อยู่ในความรับผิดชอบของกองกำลังรักษาพระนครของท่าน ไหนว่าหว่านแหไว้ทั่วฟ้าทั่วปฐพีรอนักฆ่ามาติดกับแล้วมิใช่หรือ? วางกับดักไว้ใหญ่โตเช่นนี้ ทว่าทั่วป๋าไหวอันกลับหนีรอดออกเมืองไปได้ เรื่องนี้…ไม่รู้สึกว่าแปลกไปหน่อยหรือ?”
สายตาของฮ่องเต้มืดมน เมื่อเขาพูดขึ้นมาเช่นนี้ จู่ๆ ก็หรี่ตาใช้ความคิด ก่อนจะมองไปยังฉู่ฉีฮุยที่นั่งอยู่ไม่สุขข้างๆ มาได้พักใหญ่
ฉู่ฉีฮุยเหมือนโดนสายตานั้นสะกด ขนที่ต้นคอก็พลางลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
และก็ได้ยินผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครเหลียงอวี่เอ่ยอย่างหนักแน่น “กองกำลังรักษาพระนครของกระหม่อมล้วนแต่ฟังบัญชาจากองค์รัชทายาท มิกล้าเกียจคร้านแต่ประการใด โดยเฉพาะวานนี้ ทุกคนที่เข้าออกเมืองล้วนแต่ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนกันทั้งนั้น กระหม่อมกล้าเอาหัวเป็นประกัน ในความดูแลของกระหม่อม ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยเล็ดลอดออกจากเมืองไปแม้แต่ผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาพูดพลางมองตาขวาง และจ้องเหยาก่วงไท่ตาเขียวปัด
เหยาก่วงไท่ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา และเอ่ยอย่างสบายๆ “องค์รัชทายาทเป็นคนเข้มงวด กระหม่อมก็พอได้ยินมาบ้างเรื่องกฎเกณฑ์ในการสอบสวน นับว่าไม่มีขาดตกบกพร่องจริงๆ แต่ถึงจะเข้มงวดไม่สนใครอย่างไร ก็ต้องมีเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมิใช่หรือ?”
เมื่อเอ่ยจบก็ประสานมือโค้งคำนับไปทางฮ่องเต้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมทราบ วานนี้ตอนหัวค่ำ ท่านชายหวงจ่างซุนรีบร้อนพากองทหารกลุ่มหนึ่งออกไปทางประตูเมืองตะวันออก กระทั่งยามสองเกิงจึงกลับมา มิทราบว่ากองทหารส่วนนี้ของท่านชายจ่างซุน ใต้เท้าเหลียงได้ตรวจสอบถี่ถ้วนตามมาตรฐานขององค์รัชทายาทหรือไม่?” สีหน้าของเหลียงอวี่เปลี่ยนไป กัดฟันกรอดไม่พูดไม่จา
ยามเย็นวานนี้ ฉู่ฉีฮุยพากองทหารกลุ่มหนึ่งเร่งร้อนดั่งไฟรนจะออกจากเมือง เดิมทหารเฝ้าประตูก็ไม่ยอมให้ผ่าน แต่ยังไม่ทันจะรายงานข่าวไปถึงเหลียงอวี่ ฉู่ฉีฮุยกลับฝ่าด่านประตูเมืองไปเสียแล้ว
ทหารเฝ้าประตูเกรงในฐานันดรของเขา จึงไม่กล้าใช้อาวุธขัดขวาง ได้แต่ยืนมองเขาจากไป
รุ่งเช้าตอนที่ฉู่ฉีฮุยโดนเรียกเข้าวังแต่เช้าเขาก็รู้สึกผิดปกติ พอได้รู้ว่าทั่วป๋าไหวอันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว กังวลอยู่นานมาก ทีแรกก็คิดจะอาศัยโชคช่วย พอตอนนี้โดนคนชี้ถามเช่นนี้ เขาก็เริ่มนั่งไม่ติดพื้น ได้ยินเช่นนี้ก็ลุกผลึงออกมาจากเก้าอี้ พลางชี้หน้าเหยาก่วงไท่เอ่ยด้วยความโมโห “เหยาก่วงไท่ เจ้าหมายความว่ายังไง? นี่หาว่าข้าปล่อยทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองไปโดยพลการอย่างนั้นหรือ?”
ยังพูดไม่ทันจบ ในฝ่ามือของเขาก็เหงื่ออกจนเปียกชุ่มไปหมดแล้ว
…………………………………………………..