สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 95.1 พลิกกระดานหมาก (1)
“กระหม่อมมิบังอาจ!” เหยาก่วงไท่กล่าว “กระหม่อมว่าไปตามสถานการณ์เท่านั้น ในเมื่อหวงจ่างซุนไม่รู้สึกละอายใจ แล้วเหตุใดจึงโมโหเช่นนี้เล่า? รั้งแต่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ!”
ฉู่ฉีฮุยโกรธหน้าดำหน้าแดง เมื่อได้สติแล้วจึงรีบรักษาท่าทีตามเดิม แต่ก็กลับถูกเขาตอบกลับด้วยความเงียบ
เหยาก่วงไท่เวลานี้จึงเบนสายตาไปหาฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษรกล่าวว่า “ฝ่าบาท คนเลวอย่างไรก็หนีไม่พ้นบาปกรรม สักวันหนึ่งก็ต้องถูกสวรรค์ลงโทษ แต่ไหนแต่ไรองค์รัชทายาทก็จัดการเรื่องราวด้วยความรอบคอบถ้วนถี่ กระหม่อมเชื่อมั่นเป็นที่สุด เพียงแต่ที่ท่านอ๋องหนานเหอพูดมาก็ไม่ผิด ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นบังเอิญถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อนแล้ว หลายวันมานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด กระหม่อมคิดว่า…ถ้าไม่ใช่คนทั้งด้านนอกด้านในร่วมมือกัน พวกขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยก็คงอยากจะถอนตัวออกจากเรื่องนี้อย่างเงียบๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วแน่น หลังจากได้ฟังจึงอดกลั้นความโกรธไม่ไหวเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าท่านนี้ ระวังคำพูดด้วย ข้าบอกไปแล้วว่าพี่ห้าของข้าไม่ใช่นักโทษในราชสำนักของพวกท่าน คนด้านนอกด้านในร่วมมือกัน? มีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อนอย่างนั้นรึ?”
ในขณะที่พูดก็เบนสายตาไปยังฮ่องเต้ ยืดหลังตรงกล่าว “ฝ่าบาท อวิ๋นจีขอถามพระองค์หนึ่งประโยค เรื่องที่พวกท่านขุนนางกำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องอันใดกันแน่? พี่ห้าฝ่าฝืนกฎของแคว้นท่านหรือ? หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น…ก็ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย เห็นแก่ความสัมพันธ์ของสองแคว้น”
ฮ่องเต้อยากจะกักตัวทั่วป๋าไหวอันไว้เป็นเพียงความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่หลังจากปล่อยให้ทั่วป๋าไหวอันหลุดรอดไปได้ในครั้งนี้กลับจะเป็นปัญหาที่ยากจะจบลงด้วยดีในอนาคต
ฮ่องเต้เผยท่าทีเงียบงัน ไม่ปริปากพูดใดๆ
เหยาก่วงไท่เตรียมจะอ้าปาก เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น[1] ทั้งยังขลุกอยู่ในราชสำนักมาเกือบสิบปีแล้ว ฝีปากคารมที่จะหักล้างกับทั่วป๋าอวิ๋นจีนั้นย่อมมี แต่พูดไปก็เท่านั้น ทว่าเมื่อกวาดสายตาไปมองหน้าของฮ่องเต้ ท่าทีของฝ่าบาทกลับไม่ชัดเจน เช่นนั้นเขาก็ยิ่งไม่ควรจะพูดพร่ำเพรื่อ แม้จะอ้าปากแล้ว แต่สุดท้ายก็ฝืนเงียบเอาไว้
บรรยากาศในตำหนักเงียบเชียบจนรู้สึกเย็นยะเยือกไปชั่วขณะ
แววตาที่ล่องลอยของฉู่ฉีเฟิงค่อยๆ กวาดตามองไปที่ผู้คน จากนั้นจึงค่อยกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “มือสังหารยังไม่ปรากฏเบาะเสาะใดๆ และเมื่อลองวิเคราะห์จากเรื่องราวครั้งที่แล้ว เรื่องนั้นเห็นได้ชัดว่าโจมตีไปที่องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ย เกรงว่าองค์หญิงอวิ๋นจีจะเข้าใจผิดแล้ว ที่เสด็จปู่คอยติดตามความเป็นมาเป็นไปขององค์ชายห้าก็เพียงเป็นห่วงความปลอดภัยเขาเท่านั้น”
ข้ออ้างเช่นนี้อีกแล้ว!
ทั่วป๋าอวิ๋นจีชะงักไป ก่อนจะกัดริมฝีปาก ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เพียงส่งเสียงในลำคอ หันไปมองด้านข้างแทน
ฮ่องเต้นั้นยังคงไม่ต่อบทสนทนาใดๆ
ฉู่ฉีเหยียนเมื่อได้ฟังคำกล่าวนั้นก็ละสายตาจากถ้วยชาในมือ เหลือบไปทางทั่วป๋าอวิ๋นจี “องค์หญิงหก ข้าไม่แน่ใจว่าพวกท่านชาวโม่เป่ยมีกฏขนบธรรมเนียมแบบไหน แต่ในแคว้นข้านั้นให้ความสำคัญกับเรื่องแต่งงานเป็นอย่างมาก ท่านเพิ่งเข้ามาดังนั้นจึงมีเรื่องไม่ทราบอยู่บ้าง ผู้นำตระกูลที่ล่วงลับไปแล้วของจวนอ๋องฉางซุ่นเป็นขุนนางที่มีคุณูปการในการช่วยฝ่าบาทรวบรวมอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสหายที่เป็นพี่น้องเดียวกับฝ่าบาท สกุลซูนับว่าเป็นสกุลสูงส่งไม่เป็นสองรองใครในราชวงศ์ เวลานี้ฝ่าบาทให้สมรสพระราชทานระหว่างองค์ชายห้าและท่านหญิงจวนอ๋องฉางซุ่น เป็นเกียรติยศที่ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่ากระไร ต่อให้องค์ชายห้ามีเรื่องใหญ่อันใด แต่ถึงกับหลบหนีพิธีแต่งงานออกจากเมืองหลวงในวันนั้น นี่ยังไม่ชัดว่าเป็นการหักหน้าจวนอ๋องฉางซุ่นหรอกหรือ? ”
ถึงแม้ฉู่ฉีฮุยจะถูกลากไปพัวพัน แต่กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่ละอายใจ ดังนั้นเรื่องก็ค่อยๆ คลี่คลาย เพราะการประนีประนอม
แต่ฉู่ฉีเหยียนกลับ…
การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤตก็ได้พาจุดยืนของตนมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทั่วป๋าไหวอัน สบโอกาสมอบโทษให้เขา
มองผิวเผินทั้งสองคนอาจมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่ก็กลับมีอะไรที่คล้ายคลึงเช่นกัน ล้วนแต่ปูบันไดให้กับฮ่องเต้ ในความเป็นจริงนั้น…
ดูจากในใจของฮ่องเต้ขณะนี้ เหมือนว่าการกระทำของฉู่ฉีเหยียนจะทำให้เขาพึงพอใจมากกว่า
ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนปรากฏรอยยิ้ม มองไปที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีแล้วจึงกล่าวว่า “องค์หญิงหก ผู้นำตระกูลจวนอ๋องฉางซุ่นตายก่อนเวลาอันควร ฝ่าบาทนั้นแต่ไหนแต่ไรก็คอยดูแลลูกหลานของเขาราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เวลานี้ก็ดำเนินพิธีแต่งงานให้ท่านหญิงจวนอ๋องฉางซุ่น กลับถูกราชวงศ์โม่เป่ยของพวกท่านมอบความอัปยศอดสูให้เช่นนี้ ฝ่าบาทอาจจะเห็นแก่หน้าอ๋องโม่เป่ย จึงไม่สืบสาวราวเรื่องจากพวกท่าน แต่ในขณะเดียวกันฝ่าบาทก็ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้กับสหายเก่า ข้าชาวซีเยว่ยึดมั่นในคุณธรรมเป็นที่สุด องค์ชายห้าล่วงเกินฝ่าบาทเช่นนี้ ฝ่าบาทจึงโกรธเกรี้ยว สืบเสาะตามหาเขาเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ทอดทิ้งสหายเก่า ละศีลธรรมโยนความผิดให้ กลับเป็นการหาคำอธิบายอย่างสมเหตุสมผลมาให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้เพียงเผยใบหน้าเรียบนิ่งคล้ายผิวน้ำที่เงียบสงบเหม่อมอง ไม่ได้ยอมรับอย่างต่อหน้า แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยเช่นกัน
มุมปากของทั่วป๋าอวิ๋นจีกระตุกสั่น คิ้วขมวดมุ่นเผชิญหน้ากับรอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่ฉีเหยียน ท้ายที่สุดก็ยังรู้สึกยากที่จะจัดการ ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะโต้ตอบไปอย่างไรดี
เหยาก่วงไท่เวลานี้ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กล่าวเสริมว่า “การกระทำของทั่วป๋าไหวอันนับเป็นเรื่องที่จองหอง หากเป็นเวลาอื่นก็แล้วไป แต่พิธีแต่งงานใหญ่เช่นนี้กลับไม่พบแม้แต่เงา องค์หญิงหก…ข้าไม่ทราบว่าจะกล่าวได้หรือไม่ว่าเขานั้นไม่พอใจต่อพระราชโองการของฝ่าบาท? หรือว่า…ที่เกิดเรื่องเช่นนี้เพราะมีใจให้ผู้อื่น? มิฉะนั้น มีเหตุใดจึงไม่สามารถพูดคุยตรงๆ กับฝ่าบาทได้? ถึงกับแอบหนีออกจากเมืองลับๆ โดยพลการ?”
พูดได้ครึ่งเดียว น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในฉับพลัน “องค์หญิงหก เขาเป็นพี่ชายของท่าน พวกท่านมาจากโม่เป่ยด้วยกัน การหลบหนีของเขาตอนนี้ท่านคงมิอาจมิรู้ได้กระมัง? ฝ่าบาทไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น ข้าแนะนำท่านให้บอกเบาะแสขององค์ชายห้าให้แน่ชัด พาตัวเขากลับมาชี้แจงแถลงไขจะเป็นการดีกว่า มิฉะนั้นหากเรื่องมีท่าทีเลวร้ายขึ้น ทำลายความสัมพันธ์ของสองแคว้นลง เวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกแล้ว”
ภายใต้การกดดันซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเขาและฉู่ฉีเหยียน ทั่วป๋าอวิ๋นจีจึงเริ่มสับสนขึ้นมาบ้างแล้ว
นางประเดี๋ยวก้มหัวประเดี๋ยวเงยหน้า ก่อนจะรีบปกปิดความรู้สึกที่อยู่ในใจ เพียงแต่กล่าวว่า “ข้าพูดไปแล้ว เมื่อวานทั้งวันข้าล้วนยุ่งอยู่กับการรับแขก ตอนเย็นพี่ห้าก็กลับไปเรือนรับรองของเขา เขาไปตั้งแต่เมื่อใดข้าก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเจ้าจะให้ข้าพูดแทนเขาได้อย่างไร?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” เหยาก่วงไท่แสยะยิ้ม “พวกท่านเป็นพี่น้องกัน เขาคงไม่อาจจะละทิ้งท่านไว้ได้หรอกกระมัง?”
“หึ!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีนั้นถูกพวกเขากระตุ้นความโกรธแล้ว จึงจ้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ก่อนจะกล่าวอย่างเยาะเย้ย “พี่น้องแล้วอย่างไร? ข้าบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าไม่เข้าใจว่าพวกท่านพูดถึงคุณธรรมอะไรหรือการวางแผนอะไร หากว่าตอนนี้หาพี่ห้าไม่เจอ พวกท่านก็จะกล่าวหาโทษข้าให้จงได้…ถ้าอย่างนั้นในทางกลับกัน ฝ่าบาทก็จะพาน้องแปดของหม่อมฉันมาเค้นถามด้วยใช่หรือไม่เพคะ? ข้าอยู่ที่นี่ไม่มีผู้ใดให้พักพิง แต่น้องแปดกลับได้รับความรักจากฝ่าบาท เป็นพี่น้องก็ต้องตกเป็นผู้สงสัยด้วยกันใช่ไหมเพคะ? ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นน้องแปดก็ได้ที่อาศัยฐานะของตนใช้ผู้ใดสักคนช่วยพี่ห้าหนีออกจากเมือง!”
“ท่านพูดจาเหลวไหล!” เหยาก่วงไท่อึ้งไปเล็กน้อย รีบร้อนกล่าวแก้ตัวกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้คิดสงสัยหรงเฟยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่…เพียงแค่ว่าไปตามสถานการณ์!”
“ข้าก็ว่าไปตามสถานการณ์เช่นกัน!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีกล่าวราวกับเป็นสตรีไร้เหตุผลที่มาจากต่างเผ่า ท่าทีนั้นทั้งไม่พอใจทั้งยังโมโหผสมปนเปกันอยู่ด้วย “พวกท่านจะว่าอย่างไรก็ว่าไปเถอะ การหายตัวไปของพี่ห้า ข้าบอกไม่รู้ก็คือไม่รู้ ข้าเองก็ต้องการหาเขาเช่นกัน อยากถามไถ่ว่าเหตุใดจึงหนีออกไปไม่กล่าวอะไรสักคำ เลือกทิ้งให้ข้าโดนเค้นถามแทนเขาที่นี่!”
พอทั่วป๋าไหวอันจากไป ฮ่องเต้ก็สืบสาวราวเรื่องทันที การกล่าวหาทั้งหมดจำต้องตกมาที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีแทนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย หากฮ่องเต้จะเกิดโทสะ ชีวิตของนางก็ยากจะรักษาอย่างไม่ต้องพูดถึง
ทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่ที่เมืองหลวงหลายเดือนมานี้ก็ล้วนแต่เก็บตัวเงียบๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าใครจะมอง นางก็ดูไม่เหมือนคนที่มีความกล้าหาญเสียสละตัวเองเพื่อช่วยให้ทั่วป๋าไหวอันหลบหนีได้ เพราะว่านิสัยของมนุษย์ล้วนมีแต่ความเห็นแก่ตัว ทุกคนที่นี่ต่างก็เข้าอกเข้าใจดี ความสามารถเช่นนี้แม้แต่พวกเขาที่เป็นชายกล้าก็ยังไม่สามารถทำได้ ส่วนผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้…
ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเมื่อมองกลับมาในตอนนี้กลายเป็นทั่วป๋าอวิ๋นจีที่ถูกผู้คนรุมโจมตี ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่ถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจ…
องค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยท่านนี้ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดก็ถูกพี่น้องร่วมสายเลือดกับตนทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
การทะเลาะกันอย่างรุนแรงที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลนี้ ฮ่องเต้ที่เงียบอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวที่จะปะทุความโกรธออกมา ตบโต๊ะอย่างรุนแรง ตะเบ็งกล่าว “หุบปาก!”
การทะเลาะที่ดุเดือดนี้จึงหยุดลงกะทันหัน ทุกคนต่างก็พากันหุบปากด้วยความเกรงกลัว
ใบหน้าของฮ่องเต้นั้นบิดเบี้ยว สายตาแหลมคมกวาดไปมองหน้าของผู้คนที่อยู่ด้านล่างหนึ่งรอบ ท้ายที่สุดมุมปากจึงค่อยฉีกยิ้มเย็นอย่างเหน็บแนม “สถานที่สำคัญเช่นห้องทรงอักษรนี้ พวกเจ้าทะเลาะโหวกเหวกต่อหน้าข้าโดยไม่หยุดพัก ยังรู้ธรรมเนียมและกฎหมายของแคว้นหรือไม่?”
“ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เหยาก่วงไท่รีบร้อนก้มหัวรับผิด
ฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงที่พูดไปก่อนหน้านี้ก็รีบวางถ้วยชาลุกขึ้น กล่าวรับผิดเช่นกัน “กระหม่อมน้อมรับความผิด!”
ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองไปที่สองคน ทว่าแววตากลับนิ่งสนิท โบกมือไปทางฉู่ฉีฮุยที่ถูกลืมอยู่ด้านข้าง “เจ้าพูดมา…เมื่อวานตอนค่ำเจ้าออกจากเมืองไปทำอะไร?”
ฉู่ฉีฮุยตกตะลึงจนเบิกตาค้าง
นี่ฝ่าบาท…
ต้องการจะคาดโทษเขาใช่หรือไม่?
………………………………………………….
[1]ขุนนางฝ่ายบุ๋น ขุนนางในจีนจะมีสองสาย คือบุ๋นและบู๊ ขุนนางฝ่ายบุ๋นคือฝ่ายปกครอง ส่วนขุนนางฝ่ายบู๊คือฝ่ายทหาร