สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 95.2 พลิกกระดานหมาก (2)
“เสด็จปู่!” ในใจสั่นไหว ฉู่ฉีฮุยรีบร้อนคุกเข่าลง กล่าวว่า “เรื่องของทั่วป๋าไหวอันไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลานนะพ่ะย่ะค่ะ หลานกับเขาแม้แต่การคุยส่วนตัวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี จะไปร่วมมือกับเขาทำเรื่องที่ผิดเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ได้ข้องเกี่ยวอย่างนั้นรึ?” ฉู่อี้หมินเหลือบตามอง ราวกับหลับตาพินิจอย่างใช้ความคิด จากนั้นจึงกล่าวว่า “ก่อนหน้าที่ทั่วป๋าไหวอันจะมาถึงเมืองหลวง เสด็จพ่อรับสั่งให้เจ้าและฉีเหยียนไปต้อนรับเขาเที่ยวราชนิเวศน์นอกเมืองตั้งหลายวัน เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าช่วงเวลานั้นเจ้ายังดื่มกับเขาทั้งคืนโดยไม่พักด้วย? ในตอนนั้น…ก็คุยกันถูกคอใช่หรือไม่?”
ฉู่ฉีฮุยหัวใจเย็นวาบ รู้สึกเสียใจขึ้นมาชั่วขณะ…
ในตอนนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะไม่เจอทั่วป๋าหรงเหยาที่ราชนิเวศน์นอกเมือง จึงคาดว่าจุดหมายสุดท้ายของนางอาจจะอยู่ที่วังบูรพา ดังนั้นจึงหยิบยืมโอกาสตอนที่ฉู่สวินหยางและซูหว่านขัดแย้งกันนัดกับทั่วป๋าไหวอัน เพื่อผูกความสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้า
ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดหลังจากทั่วป๋าไหวอันเข้าวังแล้ว เขากลับไม่ได้ทำเรื่องอันใดเลย จนมาถึงตอนนี้…
กลับกลายมาเป็นจุดอ่อนในมือคนอื่นอีก
“นั่นเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เวลานั้นข้าก็ทำตามคำสั่งที่ได้รับจึงคอยต้อนรับดูแลเขา งานเลี้ยงรับรองก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ท่านอาโปรดอย่าได้ยกเรื่องนี้มาแสดงความคิดเห็นเลยขอรับ!” เขาตั้งสติอย่างแน่วแน่ จ้องตาฉู่อี้หมินเขม็ง หลังจากนั้นจึงค่อยหันไปกล่าวกับฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษรอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง “เสด็จปู่ ขอพระองค์โปรดพิจารณาให้ถ้วนถี่ กระหม่อมและทั่วป๋าไหวอันรู้จักกันเพียงผิวเผิน ท่านอาเขาคิดไปเองทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“เสด็จพ่…”ฉู่อี้หมินมีโอกาสที่จะโจมตีวังบูรพาทั้งทีจะทิ้งไปได้อย่างไร จึงรีบเปิดปากพูดทันที
ทว่าฮ่องเต้กลับกล่าวเสียงเย็นออกมา “ไม่มีใครพูดว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับการหลบหนีของทั่วป๋าไหวอัน ข้าเพียงถามเจ้าว่า เหตุใดเมื่อวานจึงไม่ฟังคำสั่งของพ่อเจ้าดึงดันออกไปนอกเมือง”
“คือ…” ฉู่ฉีฮุยมีท่าทีลังเลไปชั่วครู่
ฉู่ฉีเฟิงค่อยๆ ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานท่านพ่อภารกิจเร่งรัด ไม่ใช่ว่าท่านพี่ไปเข้าร่วมงานแต่งขององค์ชายห้าแทนท่านพ่อมิใช่หรอกหรือ? อย่างไรก็คงจะแยกร่างไปสองที่ไม่ได้ เหตุใดจึงออกไปนอกเมืองได้อีกล่ะ?”
เรื่องของทั่วป๋าไหวอัน เหยาก่วงไท่ไม่ได้เตรียมการที่จะรับเผือกร้อน[1]เช่นนี้ รีบกล่าวขึ้นทันที “หากคังจวิ้นอ๋องมีข้อสงสัย สามารถถามใต้เท้าเหลียงได้ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ซื่อสัตย์ยุติธรรมมาโดยตลอด อย่างน้อยก็ไม่กล่าวหาใครแบบผิดๆ เป็นแน่!”
เวลานี้กองกำลังรักษาพระนครอยู่ภายใต้อำนาจของฉู่อี้อัน เหลียงอวี่นั้นหน้าชา ถึงแม้จะรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ยังตอบไปตามจริง “กระหม่อมได้รับการยืนยันจากผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในช่วงเย็นหวงจ่างซุนเป็นคนพาคนออกไปนอกเมือง ทั้งยังใช้ตราสัญลักษณ์ของวังบูรพาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เหยาก่วงไท่ทำท่าทางราวกับยกภูเขาออกจากอก ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากบางๆ
ที่อื่นๆ ล้วนไม่ผิดพลาด มีเพียงแต่เรื่องของฉู่ฉีฮุยเท่านั้นที่ไม่ชัดเจน เรื่องนี้คาดว่าแปดส่วนก็คงจะตกไปที่ฉู่ฉีฮุยแน่นอน
แววตาของฮ่องเต้ดุดันขึ้นมา ใช้สายตาเย็นเหยียบมองไปที่ฉู่ฉีฮุย
ฉู่ฉีฮุยราวกับน้ำท่วมปาก แต่เมื่อฮ่องเต้บังคับทางสายตาเช่นนี้ จำต้องฝืนใจเอ่ยขึ้น “ข้าเพียงออกไปจวนนอกเมืองเพื่อเยี่ยมเยียนท่านแม่และน้องสาวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“นี่นับว่าแปลกแล้ว…” ฉู่อี้หมินหัวเราะก่อนจะกล่าว “เจ้าต้องการไปเยี่ยมแม่จะไปเมื่อใดก็ย่อมได้ แต่กลับเลือกที่จะไปเมื่อวาน? ทั้งยังรีบเร่งออกจากงานแต่งทั่วป๋าไหวอันไป?”
ในเวลานี้เรื่องที่บังเอิญทั้งหมดทำให้ฉีฮุยพูดกลบเกลื่อนเรื่องโกหกของตนไม่ได้อีกแล้ว เขากระวนกระวายจนเหงื่อเต็มหน้า ทำได้เพียงบอกกล่าวไปอีกครั้งหนึ่ง “เพราะว่าที่จวนเกิดเรื่องด่วนขึ้น ข้าถึงได้รีบออกไป!”
ขณะที่พูดก็ทำท่าราวกับกลัวฮ่องเต้ไม่เชื่อมิปาน รีบกล่าวเสริม “ในตอนนั้นข้ายังพาองค์รักษ์ไปด้วยสิบหกนายล้วนแต่เป็นองค์รักษ์ที่คุ้นหน้าค่าตาอยู่ข้างกายมาหลายปี ตอนหลังก็มีคนติดตามข้ากลับมาไม่น้อย หากเสด็จปู่ไม่เชื่อ ก็สามารถเรียกตัวพวกเขามายืนยันได้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านก็พูดมาแล้วว่าพวกเขาต่างก็เป็นคนของท่าน เช่นนั้นอย่างไรพวกเขาก็ต้องว่าตามท่าน เกรงว่าถ้าเรียกมา ก็คงเสียเวลาเปล่าขอรับ” เหยาก่วงไท่กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ กลอกตามองบน กล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “นอกจากนี้ตามที่ข้ารู้มา ระยะทางจากประตูเมืองด้านตะวันออกถึงจวนที่อยู่นอกวังบูรพา ขี่ม้าไปกลับหนึ่งชั่วยาม[2]ก็เพียงพอแล้ว แต่ว่าท่านออกไปในช่วงเย็น ผ่านไปจนยามสองเกิง[3]ถึงกลับมา ในระยะเวลานี้ยังเหลืออยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม…ท่านไปที่ใด สามารถชี้แจงให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”
ฉู่ฉีฮุยถูกเค้นจนวุ่นวายใจ หันกลับไปส่งสายตาแค้นเคืองไปให้เขา “ชี้แจง? ข้าเป็นนักโทษศาลต้าหลี่ของท่านหรืออย่างไร? กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่เจ้าดึงตัวข้าออกมาเค้นถามอย่างเปิดเผยเช่นนี้?”
“ข้ามิบังอาจ!” เหยาก่วงไท่กล่าว แต่กลับไม่แสดงท่าทีนอบน้อมแต่อย่างใด
“ปากเจ้าก็บอกว่าไม่กล้า ความเป็นจริงกลับกล่าวหาข้าไม่หยุด เหยาก่วงไท่ ข้าไปทำผิดอันใดต่อเจ้ากันแน่ เจ้าถึงได้ยุให้เสด็จปู่กับข้าบาดหมางใจที่ห้องทรงอักษรเช่นนี้?” ฉู่ฉีฮุยกล่าวด้วยความโมโห
“ยุให้บาดหมางกันหรือไม่นั้น ก็ต้องรอฝ่าบาทฟังหลังจากที่ท่านชายจ่างซุ่นอธิบายจึงจะตัดสินได้!” เหยาก่วงไท่กล่าวอย่างเยือกเย็น ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ในอกของฉู่ฉีฮุยบีบรัดอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะว่าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้จึงไม่สามารถลงมือได้ ไม่เช่นนั้นก็คงอดไม่ไหวปล่อยออกไปหนึ่งหมัดแล้ว
เหตุการณ์นั้นล้วนตกอยู่ในสายตาของฉู่อี้หมินที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาค่อนข้างที่จะยินดี แต่ก็ยังพยายามรักษาความเงียบสงบและความมั่นใจเอาไว้บนใบหน้ากล่าวว่า “ฉีฮุย เจ้าไม่จำเป็นต้องโมโหร้อนรนไป คำพูดนี้ของใต้เท้าเหยาก็มิใช่มิมีเหตุผล เจ้าอธิบายมาให้ชัดเจนก็พอแล้ว หรือยังกลัวว่าอาอย่างข้าจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับเจ้า? เวลาชั่วยามกว่านั้นเจ้าไปทำอันใดกันแน่?”
“ข้า…” ฉู่ฉีฮุยชะงักไปชั่วครู่ คล้อยหลังจึงค่อยบังคับตัวเองให้สงบลง “ท่านแม่ไม่สบาย ข้าจึงอยู่ที่จวนนานหน่อย พูดคุยเป็นเพื่อนนาง!”
“โอ้?” ฉู่อี้หมินคอยมองดูท่าทีของเขา เห็นได้ชัดถึงความรู้สึกที่เขาหลบซ่อนในดวงตา
เข้าใจแล้วอย่างแจ่มชัด แต่กลับตีหน้าตายกล่าวกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อว่า…ยังต้องไปพิสูจน์เรื่องนี้ที่จวนหรือไม่?”
ในหัวของฉู่ฉีฮุยมึนงงไปพักใหญ่ แต่เพื่อที่จะไม่หลุดพิรุธออกมา จึงทำราวกับไม่มีผู้ใดพูดถึงตนอยู่
ใบหน้าของฮ่องเต้ยังคงไร้อารมณ์ชั่งน้ำหนักครุ่นคิด ในตอนที่กำลังลังเลจะตัดสินใจ ก็เห็นเย่าสุ่ยเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเร่งรีบ
ฮ่องเต้ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด เย่าสุ่ยจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วคุกเข่าลงไปก่อนกล่าว “ฝ่าบาท ฮองเฮาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ กล่าวว่า มีเรื่องเร่งด่วนมาก อยากจะขอเข้าเฝ้าตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
อุปนิสัยของหลัวฮองเฮาถึงแม้จะเอาแต่ใจอยู่บ้าง ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องทั่วไปออก หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฮองเฮาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในตอนที่พระองค์กำลังว่างานราชการกับขุนนาง
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นไปอีก
หลี่รุ่ยเสียงที่เห็นเหตุการณ์ ไม่จำเป็นต้องรอให้เขาสั่งก็รีบก้าวออกไปดู พอมองก็ไม่พบเรื่องเร่งรีบอันใด แต่หลัวฮองเฮาในตอนนั้นกลับรอไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเห็นเขาออกมาสอบถาม ก็ผลักบานประตูผลุนผลันเข้าไปทันที
ฉู่หลิงอวิ้นและแม่นมเหลียงต่างก็ประคองมือนางคนละข้าง ด้านหลังยังมีฉู่สวินหยางและหลัวอวี่ก่วนติดตามมา คนพวกนี้ล้วนแต่แต่งกายอย่างสง่างาม ยามที่เดินก็ราวกลับมีสายลมพัดตามเข้ามาระลอกหนึ่งก็มิปาน
ใบหน้าของหลัวฮองเฮาดูไม่ดีสักเท่าไร ในความกังวลนั้นทั้งยังแฝงความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“ถวายพระพรฮองเฮา!” ขุนนางใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ตำหนักต่างก็เร่งรีบคุกเข่าน้อมทักทาย
หลัวฮองเฮากลับไม่สนใจใครทั้งนั้นเดินตรงไปทางด้านในที่ใกล้กับโต๊ะทรงอักษรฮ่องเต้ที่สุด ท่าทีเต็มไปด้วยความตระหนก “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพระองค์ ขอพระองค์เชิญผู้อื่นออกไปก่อนได้ไหมเพคะ!”
เดิมทีใบหน้าของฮ่องเต้ก็บิดเบี้ยวอยู่แล้ว เวลานี้กลับดำทะมึนราวกับเขม่าที่ก้นหม้อ มองไปที่นางก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเยียบเย็น “เหลวไหล! สถานที่สำคัญอย่างห้องทรงอักษรนี้ ข้ากำลังว่าราชการกับขุนนาง แต่เจ้ากลับบุกเข้ามาอย่างมิเกรงกลัว?”
ขณะที่พูดก็ตะเบ็งเสียงไปยังด้านนอกตำหนัก “หลี่รุ่ยเสียง นำตัวฮองเฮากลับไปวังโซ่วคัง!”
หลี่รุ่ยเสียงเพิ่งกลับเข้ามาจากด้านนอกพอดี เมื่อได้รับคำสั่งก็เข้าไปประคองมือหลัวฮองเฮา “ฮองเฮา กระหม่อมจะไปส่งพระองค์กลับไปเองพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ นะเพคะ!” หลัวฮองเฮาสะบัดมือเขาออก มองไปยังฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษรด้วยท่าทีที่อ้อนวอน
หากเป็นเวลาปกติก็แล้วไป แต่ขณะนี้ในตำหนักกลับเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูงที่อยู่แทบจะพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฮ่องเต้ถูกทำให้ขายหน้า จึงไม่ยอมผ่อนปรนให้แต่น้อย น้ำเสียงไร้อารมณ์นั้นให้ความรู้สึกเยือกเย็นมากขึ้นไปอีก “ยังยืนงงอะไรอยู่อีก? ส่งตัวฮองเฮากลับไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ท่าทีของเขาดุดันขึ้นมา หลี่รุ่ยเสียงจึงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ใช้แรงบังคับประคองมือข้างหนึ่งของหลัวฮองเฮา
“ฝ่าบาท…” หลัวฮองเฮาพยายามจะสลัดเขาออกแต่ก็ไร้ผล เมื่อเห็นว่าถูกบีบบังคับให้ออกไป ในใจพอรีบร้อนก็มีแต่เสียงร้องดังกึกก้องอยู่ข้างใน
หลังจากนั้นต่อมา…
ร่างก็ค่อยๆ โอนเอน หงายตัวไปด้านหลัง!
“ฮองเฮาเพคะ!” แม่นมเหลียงร้องอย่างตกใจ ร่ำไห้ก่อนจะโวยวายออกมา “ฮองเฮาหมดสติไปแล้ว ตามหมอหลวง รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า!”
“เสด็จย่า? เสด็จย่าเพคะ?” พวกฉู่หลิงอวิ้นและฉู่สวินหยางค่อยๆ เข้าไปล้อมรอบ ต่างก็ช่วยกันประคองร่างของนางไว้
สุขภาพของหลัวฮองเฮานับว่าแข็งแรงมาโดยตลอด ฮ่องเต้คาดไม่ถึงว่านางจู่ๆ จะล้มพับไปเช่นนี้ จึงรีบเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ขึ้นมามองด้วยความกังวลอยู่ตลอด
พวกขุนนางค่อยๆ หลีกทางให้ ขยับไปยืนอยู่ริมสุด
ฉู่ฉีเฟิงเผยใบหน้ากังวลมองไปที่ฮ่องเต้ “เสด็จย่าอาจจะมีเรื่องร้อนใจ พยุงนางขึ้นไปพักที่เตียงด้านในจะเป็นการดีกว่าไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ด้านหลังของห้องทรงอักษรฮ่องเต้เป็นห้องโถงเล็กๆ ด้านในมีเตียงโต๊ะตั่งต่างๆ เพียบพร้อม
“เร็วเข้า! พยุงเข้าไป!” ฮ่องเต้ที่ตกตะลึงเล็กน้อยนั้น พยักหน้าอย่างทันที
แม่นมเหลียงที่อยู่ในอาการตกใจโวยวายนั้นคอยจัดแจงย้ายหลัวฮองเฮามายังตำหนักด้านหลัง
ฮ่องเต้ที่มองอยู่ ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว ได้แต่ยกมือขึ้นนวดเหนือคิ้ว ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้
หลี่รุ่ยเสียงออกมาจากด้านใน ออกคำสั่งกับเย่าสุ่ยให้เชิญตัวหมอหลวงมาก่อน จากนั้นจึงค่อยบอกกล่าวกับพวกขุนนางให้รออยู่ด้านนอก
เมื่อจัดการพื้นที่แล้ว ในตำหนักจึงเหลือเพียงรุ่ยชินอ๋อง ฉู่อี้หมิน ฉู่ฉีเฟิง และคนในราชวงศ์…
[1] เผือกร้อน หมายถึง เรื่องราวหรือปัญหาที่ยากจะรับมือ
[2] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับสองชั่วโมง
[3] ยามสองเกิง เกิง คือการบอกเวลาช่วงกลางคืนของจีน แบ่งออกเป็น 5 เกิง หนึ่งเกิงมี 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มนับจาก 19.00น. เป็นต้นไป ดังนั้น ยามสองเกิง คือประมาณ 21.00-23.00น.