สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 95.3 พลิกกระดานหมาก (3)
หลัวฮองเฮาหมดสติอย่างฉับพลันนี้ นอกจากรุ่ยชินอ๋องแล้ว เหล่าหนุ่มสาวคนอื่นๆ ล้วนแต่แสดงความเป็นห่วงอยู่ด้านหน้าเตียงบรรทม
“เสด็จพี่ อย่าเพิ่งคิดอันใดมากนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมองดูพี่สะใภ้แล้วใบหน้ายังนับว่ามีเลือดฝาดอยู่ น่าจะเป็นเพราะกังวลเกินไปจึงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยชินอ๋องเอ่ยปลอบ
ฮ่องเต้นั้นที่ถูกเรื่องราวถาโถมเข้ามานั้น เวลานี้จึงมีอาการเวียนหัวอยู่บ้าง เมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็ยกมือโบกอย่างอ่อนเพลีย บอกเป็นนัยแก่เขาว่าไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใด
เมื่อประคองหลัวฮองเฮามานอนที่เตียงดีแล้ว พวกฉู่สวินหยางและฉู่หลิงอวิ้นก็ออกมาจากห้องด้านหลังนั้น เหลือเพียงแม่นมเหลียงและหลัวอวี่ก่วนดูแลนางอยู่ด้านใน
ในตำหนักขณะนี้จึงเกิดแต่ความเงียบงัน ทุกคนต่างก็หลับตาครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ในใจของตนเอง
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิดอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนด้านนอกจึงค่อยเกิดเสียงก้าวเท้าดังขึ้น เป็นเย่าสุ่ยที่พาหมอหลวงเคราสีดอกเลาคนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก
“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท!” หมอหลวงเจียงแบกกล่องยาคุกเข่าทำความเคารพ
“อืม!” ฮ่องเต้ไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจ จึงโบกมือกล่าว “ฮองเฮาเพิ่งจะหมดสติไป เจ้าไปตรวจดูหน่อยเถอะ!”
ผู้ที่มาไม่ใช่เหยียนหลิงจวิน?
ฉู่ฉีเหยียนที่กำลังเคลื่อนนิ้วไปมาอย่างเงียบๆ นั้นชะงักกึก
เวลาต่อมา…
จึงทำไปตามสัญชาตญาณ เขาเงยหน้าขึ้นมองฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
ฉู่สวินหยางคล้ายกับคาดเดาได้ก่อนแล้วว่าเขาจะมีปฎิกิริยาเช่นนี้ จึงค่อยๆ ยิ้มตอบสายตาของเขาไปอย่างเยือกเย็น
หัวใจของฉู่ฉีเหยียนเต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันทัน สัญชาตญาณที่ตอบกลับมานั้นราวกับจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
หลังจากนั้นยังไม่ทันที่จะรอให้ลางสังหรณ์ในใจดีขึ้น ก็เป็นดังที่คาด ฮ่องเต้ที่เดิมทีหลับตาอยู่ที่หลังโต๊ะทรงอักษรนั้นจู่ๆ ก็เปิดเปลือกตาขึ้นมา
สายตาของเขายังพร่ามัวอยู่บ้าง คิ้วบิดเบี้ยวเล็กน้อย มองตามเงาหลังที่งกๆ เงิ่นๆ ของหมอหลวงเจียง จนเงาของชายชรานั้นเลี้ยวเข้ามายังตำหนัก จึงค่อยได้ยินเสียงเขา “หือ” ขึ้นมาอย่างสงสัย “ใต้เท้าเหยียนหลิงล่ะ? เหตุใดเขาถึงไม่มาด้วย?”
หมอหลวงเจียงหยุดก้าวเดิน ก้มหน้าผินตาตอบด้วยความนอบน้อม “กราบทูลฝ่าบาท วันนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงลาหยุดพ่ะย่ะค่ะ กล่าวว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องออกไปนอกเมือง อาจจะกลับเข้ามาประจำในวังช่วงเย็นพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อเชื่อใจเขาจึงส่งมอบสำนักหมอหลวงให้เขาดูแล นี่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน เขากลับต้องมาเสียเวลาเพราะเรื่องส่วนตัว?” ฉู่อี้หมินกดเสียงต่ำกล่าว “วันนี้ท่านแม่ไม่ค่อยสบายเขากลับไม่อยู่ ช่างไม่มีระเบียบเสียจริง”
ฉู่ฉีเหยียนเดิมทีจิตใจล่องลอย ตอนที่นึกขึ้นได้เขาก็พูดจบไปเสียแล้ว
หมอหลวงเจียงที่คำนับเสร็จก็เดินอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเข้าไปในตำหนักด้านหลัง
รุ่ยชินอ๋องเผยใบหน้าเย็นเยียบ กล่าวด้วยเสียงเย็นว่า “ธรรมชาติของมนุษย์ ใครจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น? หมอหลวงที่มีประสบการณ์ในสำนักหมอหลวงก็ใช่ว่าจะไม่มี อี้หมิน เจ้าอย่าได้เพ็งเล็งคนหนุ่มสาวมากนักเลย”
เหยียนหลิงจวินเป็นแขกที่มีเกียรติของจวนอ๋องรุ่ยชิน เขาออกหน้าให้จึงนับว่าสมเหตุสมผล
แต่ไม่ใช่กับฉู่อี้หมินที่ยังอาฆาตเหยียนหลิงจวินกับวังบูรพาที่ร่วมมือกัน กล่าวโต้ตอบไป “ในเมื่อรู้ว่าประสบการณ์ตนเองไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะรู้หนักรู้เบาในการรับหน้าที่นี้ พระวรกายของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ จะพึ่งพาความชักช้าของพวกเขาได้หรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนเวลานี้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ รีบเร่งลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ย กล่าวรับผิดต่อรุ่ยชินอ๋อง “ท่านพ่อนั้นมุทะลุเช่นนี้ ก็เพราะเป็นห่วงเสด็จปู่กับเสด็จย่าจึงพลั้งปากออกไป ขอท่านลุงอย่าได้ใส่ใจ!”
ขณะพูดก็แอบดึงชายเสื้อฉู่อี้หมินอย่างเงียบๆ ส่งสายตาเป็นนัยให้แก่เขา กล่าวอย่างยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงมีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ได้ดูแลสำนักหมอหลวงจึงเป็นเรื่องที่คู่ควรแล้ว ท่านพ่อ ไม่กี่วันมานี้ไม่ใช่ว่าท่านยังชมเขาว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยมิใช่หรือ?”
คำพูดพวกนี้ เขาพูดตั้งแต่เมื่อไร?
ฉู่อี้หมินคิดวุ่นวายใจ ในตอนที่อยู่ในภวังค์ ฉู่ฉีเฟิงก็ก้าวออกมา เผยใบหน้าละอายกล่าวรับผิดกับฮ่องเต้ที่หลังโต๊ะทรงอักษร “ขอเสด็จปู่โปรดลงโทษ แต่อย่าได้ตำหนิใต้เท้าเหยียนหลิงเลย แท้จริงแล้วหลานเป็นคนมอบหมายงานให้ใต้เท้าเหยียนหลิง จึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าเสด็จปู่จะโทษก็ต้องโทษที่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ที่ยังใจลอย ไม่ทันได้คิดอะไรมากก็กล่าวถามออกไป “หื้ม?”
เขาเพิ่งคืนสติจึงสะลึมสะลืออยู่บ้าง ดังนั้นจึงยังไม่ได้คิดจริงจังอะไร
ทว่ากลับทำให้ฉู่ฉีเฟิงยิ่งเผยหน้าลำบากใจขึ้นมา กล่าวด้วยเสียงอ่อน “เมื่อครู่ขุนนางทุกคนล้วนแต่อยู่ที่นี่ ด้วยหน้าตาของราชวงศ์ฉีเฟิงจึงไม่กล้ามากความ แท้จริงแล้ว…เกิดเรื่องขึ้นกับเยว่เหยียนนิดหน่อย หมอที่จวนนั้นอับจนหนทาง ข้าจำต้องทำได้เพียงรบกวนใต้เท้าเหยียนหลิงไปตรวจดูพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดออกไปเช่นนี้ แม้แต่ฉู่ฉีฮุยที่อยู่ท่ามกลางผู้คนนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตาค้าง นิ่งอึ้งไปพักใหญ่
ฮ่องเต้เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ถึงแม้สติยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ก็ยังรวบรวมสติถามกลับไป “อะไรนะ?”
ฉู่ฉีเฟิงยิ้มขมขื่น หันกลับไปมองหน้าฉู่ฉีฮุยที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ จากนั้นจึงค่อยถอนหายใจ กล่าวอย่างไม่เต็มใจเท่าไร “ขอเสด็จปู่ลงโทษ เมื่อครู่พี่ใหญ่ไม่สะดวกที่จะมากความ แท้จริงแล้ว เมื่อวานตอนเย็นที่เขาเร่งรีบออกไปจากวังนั้นยังมีเรื่องอื่นปิดบังอีก เป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าตาของราชวงศ์ เมื่อครู่เพราะขุนนางมากหน้าหลายตาจึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยปาก เมื่อวาน…นอกเมืองส่งข่าวที่เร่งด่วนเข้ามา กล่าวว่าน้องห้าหายตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุ หลังจากตอนบ่ายค้นหาทั่วจวนแต่ก็ยังไม่พบ เสด็จปู่คงทราบ น้องห้ายังไม่ได้ออกเรือน หากข่าวนี้แพร่ออกไปก็คงยากที่จะรักษาเกียรติของราชวงศ์ ในตอนนั้นพี่ใหญ่กังวลมากไป ไม่สะดวกที่จะบอกเรื่องนี้ให้ทหารประจำประตูเมืองให้เข้าใจ ก็รีบเร่งออกจากเมืองไป ”
ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ใบหน้านั้นแฝงท่าทีเย็นชามากขึ้น กล่าวเสียงต่ำว่า “พูดมา!”
“พี่ใหญ่อยู่นอกเมืองชั่วคราว แท้จริงก็เพื่อช่วยหาร่องรอยของน้องห้า” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบ เพียงแต่แฝงด้วยความลำบากใจอยู่บ้าง กล่าว “ที่ไปที่มาของเรื่องราวพี่ใหญ่ยังคงสืบหาอยู่ เมื่อวานตอนที่เจอน้องห้าพบว่าถูกโจรชั่วดักปล้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงสลบไม่ได้สติ เรื่องราวเป็นมาอย่างไรไม่แน่ชัด ได้แต่หวังว่าการไปเยือนของใต้เท้าเหยียนหลิงครั้งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาได้”
“อยู่ดีๆ เหตุใดโจรถึงดักปล้นได้?” รุ่ยชินอ๋องกล่าว สีหน้าไม่ค่อยดี “เป็นผู้ใดที่เหิมเกริมกล้าดักปล้นอย่างเปิดเผยกับคนของเรา? องค์รักษ์พวกนั้นเป็นคนตายหรืออย่างไร?”
“ท่าน…” ฉู่ฉีเฟิงถอนหายใจ สีหน้าลำบากใจ “องค์รักษ์บอกว่าเวลานั้นน้องห้าออกไปข้างนอกกับหญิงชราข้างกาย พูดว่า แค่ไปเดินเล่นใกล้ๆ นี้ ผลปรากฏว่า ไปแต่ไม่กลับมา หญิงชราคนนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ตอนนี้พี่ใหญ่ออกคำสั่งกับคนในจวนให้ไปค้นหานางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนฉลาด พูดถึงนี่ก็รู้แล้วว่า…
ต้องเป็นหญิงชราคนนั้นที่หลอกล่อฉู่เยว่เหยียนออกไปจากจวน หลังจากนั้นจึงทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากเช่นนี้
ฉู่ฉีเหยียนแววตาดิ่งลึก เข้าใจชัดเจนอย่างทันที
พลิกแพลงสถานการณ์ได้ไม่เลว!
ฉู่เยว่เหยียนนั้นคงจะไม่ได้มีเรื่องราวอันใด ถึงนางไม่เต็มใจถูกส่งออกไป แต่ทั้งวันจะโวยวายแทบเป็นแทบตายอย่างไร ชายารองเหลยก็คงจะตามน้ำไป ทุกวันก็คอยวางแผนว่าจะกลับมาอย่างไร
ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีนี้ ใช้เงินก้อนโตติดสินบนองครักษ์ในจวน รีบให้ชายารองเหลยเขียนจดหมายบังคับให้ฉู่ฉีฮุยออกจากเมือง
ผู้หญิงอย่างชายารองเหลยนั้นคงไม่มีแผนการซับซ้อนอันใด เพียงแค่เผื่อเวลาทำสักหน่อย อาศัยนางที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ มาช่วยดึงเวลาฉู่ฉีฮุยยิ่งสบายมาก
เมื่อเรื่องของทั่วป๋าไหวอันได้แดงออกมา ฉู่ฉีฮุยจะแก้ตัวอย่างไรก็คงไม่พ้นข้อกล่าวหา ในเมื่อไม่มีหลักฐานใดๆสามารถพิสูจน์ได้ เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยในใจของฮ่องเต้แล้วอย่างไรก็คงจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สำหรับวังบูรพาแล้วนับว่าไม่ได้เป็นการโจมตีเล็กๆ เลย
แต่ไม่คาดคิดว่า…
ความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของฉู่ฉีเฟิงนั้นเมื่อเทียบกับเขายังนับว่ามากกว่า แสดงละครอย่างยอดเยี่ยมต่อหน้าฮ่องเต้เช่นนี้
กล่าวว่าฉู่เยว่เหยียนถูกคนล่อลวงออกจากจวน?
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ฉู่เยว่เหยียนที่โดนปล้นจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ประเด็นสำคัญคือ…
มีทั้งคนนอกและคนในจวนร่วมมือกันล่อลวงฉู่เยว่เหยียนออกไป ยิ่งกว่านั้นยังคอยช่วยให้ฉู่ฉีฮุยออกจากเมืองไปค่อนคืนและพักข้างนอกอยู่ชั่วครู่…
แล้วเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องทำเช่นนี้?
ไม่ต้องพูดมากก็เห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่เพื่อยัดเยียดความผิดให้วังบูรพา หยิบยกเรื่องของทั่วป๋าไหวอันมาทำให้วังบูรพารับมือไม่ทัน?
เรื่องราวเรียบเรียงขึ้นเช่นนี้ ช่างเหมาะพอดีทีเดียว
ฉู่อี้หมินหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่กำลังจะพูด ฉู่ฉีเหยียนก็ชิงกล่าวเสียก่อน “เมื่อเป็นเช่นนี้ การหายตัวไปของฉู่เยว่เหยียนก็คงไม่ได้เป็นอุบัติเหตุธรรมดาเสียแล้ว เหตุใดเรื่องจึงข้องเกี่ยวกันได้อย่างบังเอิญขนาดนี้? เห็นที…คงมีคนเจตนาทำเพื่อบางสิ่งบางอย่างเป็นแน่!”
“ใช่แล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ก่อนจะถอนหายใจ
ฉู่ฉีเหยียนนั้นยกมือตบไหล่เขา กล่าวปลอบว่า “ทักษะการแพทย์ของใต้เท้าเหยียนหลิงเป็นที่กล่าวขานยกย่อง เมื่อวานตอนที่ร่วมทานอาหารกับเขาที่เรือนมีสุขยังได้ยินเขาพูดว่า เขาคุ้นเคยกับโรคที่รักษายากและยาสมุนไพรต่างๆ เป็นอย่างมาก เจ้าวางใจเถอะ รอข่าวดีก็พอแล้ว!”
เมื่อเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ก็ได้ขจัดข้อสงสัยเรื่องที่ตนวางแผนเรื่องนี้ออกไปโดยสิ้นเชิง
สายตาของฮ่องเต้กวาดไปยังรอบกายของหลานทั้งสองที่เขาพึงพอใจ ท่าทีในแววตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกลับ เป็นเวลานานโดยไม่ปริปากพูดใดๆสักคำ…
เพียงแต่มองท่าทีของของเขาทั้งสอง ไม่ว่าใครก็ไม่เหมือนกำลังแสดงละครอยู่
ท้ายที่สุด เขาจึงโบกมือ ออกคำสั่งกับหลี่รุ่ยเสียงว่า “ให้คนไปที่ศาลาว่าการพระนคร ให้กู้ฉางเฟิงนำคนไปดูที่จวนนอกเมืองด้วยตนเอง เรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงของเยว่เหยียนเด็กคนนี้ กำชับให้ตรวจสอบอย่างลับๆ อย่าแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงตอบรับ ก่อนจะออกไปจัดการ
แววตาของฉู่สวินหยางมองผ่านไปที่ใบหน้าฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ทว่ากลับยิ้มเย็นอยู่ในใจ…
ตรวจสอบอย่างลับๆ อันใดกัน เห็นได้ชัดว่าเขาส่งกู้ฉางเฟิงไปพิสูจน์ว่าคำพูดของฉู่ฉีเฟิงนั้นจริงหรือเท็จกันแน่
……………………………………