สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 95.4 พลิกกระดานหมาก (4)
ทางด้านฮ่องเต้ได้พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนไม่พูดถึง เพียงแต่มองพินิจไปยัง ‘มิตรภาพพี่น้อง’ ที่จริงใจของฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กล่าวว่า “เช่นนั้นเกี่ยวกับการหายตัวไปของทั่วป๋าไหวอันเมื่อคืนวาน พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร? ตอนนี้ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงอะไร อยากจะพูดสิ่งใดก็พูดออกมา ถ้าออกไปจากห้องนี้แล้วข้าก็จะลืมให้หมดไม่ยกขึ้นมาพูดอีก”
หากไม่เกี่ยวกับฉู่ฉีฮุย ถ้าเช่นนั้นใครเป็นคนทำ?
ฮ่องเต้เชื่อมั่นอย่างสูงว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนในคอยช่วยทั่วป๋าไหวอันอยู่แน่นอน
ฉู่ฉีเหยียนเม้มปากจมดิ่งกับความคิด ทางฉู่ฉีเฟิงจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน “เมื่อคืนวานข้าและน้องสาวสองคนอยู่ส่งตัวเจ้าสาวแทนพี่หญิงอันเล่อที่จวนอ๋องหนานเหอด้วยกัน เรื่องทั่วป๋าไหวอันด้านนั้นจึงไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี!”
“หึ…” ฮ่องเต้หัวเราะบางๆ พลางส่ายหน้า
แววตาของฉู่ฉีเหยียนประกายวาบเล็กน้อย เผยใบหน้าละอายใจก่อนจะประสานมือเคารพกล่าวว่า “ช่วงนี้ท่านแม่ของข้าสุขภาพไม่ค่อยดี เมื่อวานข้าจึงได้นัดใต้เท้าเหยียนหลิงให้ช่วยสอนความรู้ทางการแพทย์เสียหน่อย เดิมทีเพียงจะนัดพูดคุยเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป ทว่าต่อมากลับได้พบน้องหญิงสวินหยางที่เมืองทางใต้ ทั้งสามคนจึงไปเล่นหมากรุกด้วยกัน ทั้งยังคุยกันถูกคอและดื่มไปหลายแก้ว ช่วงเย็นกลับจวนก็มึนเมาไม่ได้สนใจเรื่องผู้ใด เรื่องของทั่วป๋าไหวอันนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้เขาจำต้องยอมรับความยอดเยี่ยมของฉู่สวินหยาง…
ฮ่องเต้ไม่ปล่อยเรื่องทั่วป๋าไหวอันทิ้งไปง่ายๆ แน่นอน พวกเขาสองฝ่ายไม่ว่าเป็นใครที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ต่างก็จำต้องคิดหาทางรอดอย่างไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด จนมาถึงเวลานี้ต่างก็ปัดแข้งปัดขากัน ยากที่จะมีเบาะแสร่องรอยเหลือไว้ หากถูกฮ่องเต้พบว่าทั้งสองสกุลนั้นแอบสู้กันในที่ลับใช้ทุกวิถีทางทั้งไม่เอาเล่ห์ก็เอาด้วยกล เกรงว่าไม่ว่าฝ่ายใดเขาก็ต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน
ดังนั้นเกมนี้ ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ก็ล้วนต้องเหลือกับดักแฝงเอาไว้
ไม่ใช่ว่าวิธีการของเขาไม่ยอดเยี่ยม แต่เพราะโอกาสครั้งนี้ก็คือโยนเผือกร้อน ใครที่ไปโดนก็ต้องไม่สบายตัว
เนื่องจากฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงต่างก็หลบหลีกไม่คายความจริงออกมา ฉากนี้จึงเริ่มมีเค้าลางว่าจะจนมุม
ฉู่สวินหยางที่นั่งก้มหน้าตาหลบต่ำอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เวลานี้จึงเบ้ปากออกไปด้วยไม่เจตนากล่าวว่า “เมื่อวานฤกษ์คำนับของบ่าวสาวอยู่ในช่วงเย็น รอทั่วป๋าไหวอันสบโอกาสหลบหนีก็เข้าสู่กลางคืนแล้ว หากเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและการแต่งหน้า ทหารเฝ้าประตูเมืองพวกนั้นก็จำเขาไม่ได้อยู่แล้ว คงจะให้เขาออกไปนอกเมือง ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากอันใด แท้จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีคนในคอยช่วยเขาก็ได้? อย่างมากก็ให้ลูกน้องพวกนั้นปลอมตัวหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันออกไป พอถึงด้านนอกแล้วจึงค่อยนัดรวมกันกันใหม่เท่านั้นเอง!”
“เสด็จปู่กำลังถามเรื่องสำคัญ อย่าได้พูดจาเหลวไหล!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวอย่างไม่ยินดี
ฉู่สวินหยางจึงเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรออกมาแล้ว
คำพูดที่นางกล่าวเมื่อครู่ฟังแล้วเหมือนกับเด็กอยู่บ้าง ทว่าฮ่องเต้เมื่อได้ฟังกลับทนไม่ไหวหัวเราะในลำคอ “เจ้าเด็กคนนี้ เป็นเจ้าที่ฉลาด!”
“หลานล่วงเกินแล้ว เรื่องตลกไม่กี่คำ ขอเสด็จปู่อย่าถือสาหม่อมฉันเลยนะเพคะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวด้วยความอายก่อนจะหลุบตามองต่ำอีกครั้ง
ในขณะนั้นรุ่ยชินอ๋องที่จิบชาอู่หลงในมืออย่างเอื่อยเฉื่อยด้านข้าง เวลานี้จึงมีท่าทีค่อยๆ ช้าลง หลังจากนั้นท่าทางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง วางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ถูก!”
ท่าทีของทุกคนล้วนคล้ายกัน ต่างก็เงยหน้ามองไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
รุ่ยชินอ๋องครุ่นคิดพลางยืนขึ้น คำนับฮ่องเต้ กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่น “ฝ่าบาท ถ้าหากกระหม่อมคาดไม่ผิด เวลาที่ทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองน่าจะไม่ใช่ช่วงเย็น เป็นไปได้ว่า ตั้งแต่เช้าเขาก็ฉวยโอกาสหนีไปแล้ว!”
ในใจของฮ่องเต้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คิดออกอย่างฉับพลัน เพียงแต่ในเวลานั้นยังไม่พูดใดๆ
ฉู่ฉีฮุยกลับออกอาการดีใจขึ้นมา รีบเร่งก้าวออกมาถามด้านหน้า “ท่านปู่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หากทั่วป๋าไหวอันไม่ได้หายตัวไปในช่วงเย็น เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว
“ก็เหมือนกับที่ฉู่สวินหยางพูดมาสักครู่นี้ ค่ำมืดดึกดื่น หากมีคนใช้โอกาสแกล้งโง่มองไม่เห็นนั่นก็อาจเป็นไปได้” รุ่ยชินอ๋องกล่าว จัดระเบียบความคิดเร็วในใจอีกครั้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวกับฮ่องเต้อีกครั้ง “เสด็จพี่ได้โปรดถ่ายทอดคำสั่ง เชิญตัวท่านหญิงสกุลซูและทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้ามา กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องการยืนยันต่อหน้า! ”
ฮ่องเต้ชั่งน้ำหนักขบคิดในใจสักครู่ ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่รุ่ยเสียง
หลี่รุ่ยเสียงหมุนกายออกไป คล้อยหลังก็พาทั้วป๋าอวิ๋นจีและซูหว่านที่มีท่าทีกระวนกระวายใจเข้ามา
“ถวายพระพรฝ่าบาท!” ทั้งสองคนเมื่อเข้าประตูมาแล้วก็คุกเข่าทำความเคารพทันที
ฮ่องเต้นั้นนิ่งเงียบไม่พูดใดๆ เป็นรุ่ยชินอ๋องที่เอ่ยปากกับทั่วป๋าอวิ๋นจี “องค์หญิงอวิ๋นจี เมื่อวานท่านพบองค์ชายห้าทั้งหมดกี่ครั้ง? ระหว่างนั้นได้เห็นท่าทีแปลกๆของเขาหรือไม่?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจทั้งยังลังเล “ท่านอ๋องอยากจะถามอันใดกันแน่? เมื่อวานเป็นงานแต่งของพี่ห้า ยึดตามขนบธรรมเนียมของชาวซีเยว่พวกท่านแล้ว ข้าก็ออกไปต้อนรับแขกด้านหน้าตั้งแต่เช้า พี่ห้านั้นเตรียมตัวอยู่ในจวน จากนั้นก็เข้าไปตรวจดูการตกแต่งห้องเจ้าบ่าวอีกครั้ง ล้วนแต่งานเต็มมือ พอตอนเที่ยงเดินผ่านสวนดอกไม้ด้านหลังมองเข้าไปในห้องของเขาอยู่ไกลๆ เห็นเขากำลังแต่งตัวอยู่ก็เดินจากมาแล้ว จนมาถึงสุดท้าย ช่วงเย็นก็ส่งเขาออกไปรับเจ้าสาว และหลังจากนั้นข้าก็ไปเข้าร่วมพิธีแต่งงาน”
รุ่ยชินอ๋องที่ลูบเคราอยู่นั้นยิ้มขึ้นมาอย่างเข้าใจ ถามกลับไปในทันที “ท่านแน่ใจหรือว่าคนที่อยู่ในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับท่านหญิงสกุลซูเป็นทั่วป๋าไหวอันจริงๆ?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีมึนงงไปชั่วขณะ เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
ซูหว่านยิ่งเงยหน้าหันไปมองเขาอย่างเข้าใจทันที
รุ่ยชินอ๋องเวลานี้ได้มั่นใจในการคาดเดาของตัวเองเป็นอย่างมาก ประสานมือเคารพฮ่องเต้ “เสด็จพี่ หากกระหม่อมคาดไม่ผิด เมื่อวานช่วงเย็นผู้ที่ไปรับตัวเจ้าสาวที่จวนสกุลซูและทั้งตอนที่กราบไหว้ฟ้าดินกับท่านหญิงสกุลซูนั้นบางทีอาจจะไม่ใช่ทั่วป๋าไหวอัน แต่เป็นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับทั่วป๋าไหวอันที่เขาได้วางแผนล่วงหน้าให้มาแทนที่ตนเอง เพื่อที่จะตบตาคน ให้เขาได้ใช้โอกาสแอบหลบหนีไปอย่างแยบยล เพราะที่จริงแล้วทุกคนก็ต่างมุ่งความสนใจไปที่พิธีแต่งงาน ใครจะรู้ว่าตั้งแต่ก่อนพิธีจะเริ่ม เจ้าบ่าวก็ได้แอบออกจากเมืองไปอย่างลับๆ แล้วล่ะ? ฤกษ์ของเมื่อวานคือช่วงเย็น ทั่วป๋าไหวอันเดิมทีก็เป็นคนต่างแดน ไม่ใช่คนที่คุ้นเคย ใครจะคิดว่าเขาจะกล้าสับเปลี่ยนตัวในงานแต่งเช่นนี้?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีสั่นสะท้านไปทั้งตัว ใบหน้าซีดเผือด แววตาล่องลอยไปคนละทิศละทาง นานมากก็ยังหาเหตุผลที่เหมาะสมมากล่าวไม่ได้
ซูหว่านเวลานี้ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงสิ่งใด ทันใดนั้นนางก็หันกลับไปคว้าแขนของทั่วป๋าอวิ๋นจี ย้อนถามเสียงดังว่า “ถ้าอย่างนั้นคนที่สกุลซูแต่งไปเมื่อวานแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ทั่วป๋าไหวอัน?”
ถ้าหากไม่ใช่ เช่นนั้นการแต่งงานของนางครั้งนี้ก็ถือว่าไม่นับ?
ทั่วป๋าอวิ๋นจีดูแคลนอยู่ในใจ ใบหน้ากลับเผยอาการตกตะลึงอย่างสุดขีด ยังรวบรวมสติกลับมาไม่ได้
รุ่ยชินอ๋องที่มองดูอยู่ กล่าวว่า “ท่านกำลังนึกอะไรบางอย่างออกใช่หรือไม่…”
“ข้า…” ทั่วป๋าอวิ๋นจีอ้าปากค้าง คล้อยหลังกลับลังเลที่จะพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาว่า “ข้างกายของพี่ห้านั้น มีองค์รักษ์ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเขาอยู่ถึงหกส่วนจริงๆ แต่ว่า…แต่ว่า…”
ในขณะที่พูดนางก็มีสีหน้าสับสน กัดมุมปากอย่างยากที่จะเข้าใจ กล่าวว่า “ไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร?”
“ข้าก็ว่าทั่วป๋าไหวอันคนนั้นเหตุใดจึงดื่มได้นิดเดียวก็เมาล้มพับไปเสียแล้ว! เกรงว่าเขาจะหยิบยืมโอกาสนี้ออกจากงานเลี้ยง คงกลัวว่าถ้าพบปะผู้คนแล้วจะถูกเผยพิรุธออกมาน่ะสิ!” รุ่ยชินอ๋องขมวดคิ้ว ถอนหายใจออกมา เหลือบตามองไปยังฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ในเรื่องนี้เกรงว่าจะมีจุดเล็กๆ ที่มองข้ามอีกเยอะเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เลวเลยจริงๆ ทั่วป๋าไหวอัน!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พูดแต่ละคำด้วยการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้มานานแล้ว ในตำหนักต่างก็พากันสูดลมหายใจเป็นเสียงเดียวกัน ครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงแม่นมเหลียงร้องอย่างดีใจขึ้นมาจากในตำหนักด้านหลัง “ฮองเฮา! ฮองเฮาฟื้นแล้ว!”
ฮ่องเต้จิตใจสั่นไหว เมื่อกำลังจะกล่าว ประตูด้านนอกตำหนักก็ถูกเปิดขึ้นมาทันที เป็นฉู่อี้อันที่เผยใบหน้าเย็นเยียบเดินก้าวใหญ่เข้ามา
ฉู่อี้อันนั้นสามารถเข้ามาในห้องทรงอักษรได้ทุกเวลา นี่เป็นเกียรติขององค์รัชทายาทและกรณีพิเศษที่ฮ่องเต้ให้ไว้ แต่ฉู่อี้อันกลับเลือกปฏิบัติตามกฎมาโดยตลอด ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็จะรายงานก่อน ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้จึงค่อยเข้ามา ผลุนผลันเข้ามาเช่นนี้จึงนับเป็นครั้งแรก
แค่มองสีหน้าของเขาก็พอจะเดาได้แล้วว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
ฮ่องเต้ปรากฏท่าทีสงสัยขึ้นมาทันใด ลืมสนใจเรื่องของหลัวฮองเฮาไปชั่วขณะ ส่งสายตามองไปยังเขาโดยตรง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“วันนี้ทางแคว้นฉู่เพิ่งจะส่งรายงานผลการรบฉบับใหม่มาถึงเมืองหลวงอย่างด่วนที่สุด!” ฉู่ฉีอันกล่าว และถวายรายงานลับในมือ
ผู้คนทั้งหมดล้วนแต่กลั้นหายใจมองไปที่เขา
หลี่รุ่ยเสียงรับซองจดหมายนั้นไปส่งให้เบื้องหน้าฮ่องเต้ ในขณะที่ฮ่องเต้อ่าน ฉู่อี้อันก็เอ่ยปากรายงานต่อ ออกเสียงทุกคำด้วยท่าทีจริงจัง “แคว้นฉู่พ่ายสงคราม แม่ทัพใหญ่ถูกไล่ต้อนเข้าไปในเมือง เวลานี้จึงเกิดความสูญเสียอย่างหนัก!”
……………………………………