สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 96.1 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (1)
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีทันทีราวกับมีฟ้าผ่าลงกลางใบหน้า
ฉู่อี้อันเผยใบหน้าเย็นยะเยือกและหนักแน่น กล่าวทุกคำอย่างชัดเจน “คืนวันปีใหม่ ฮั่วกังนำกำลังพลล้อมโจมตีค่ายใหญ่หนานฮวา เผาเสบียงของอีกฝ่าย ตัดหัวปัจจามิตรนับหมื่น ทว่าตอนที่เตรียมจะถอนกำลังได้เกิดขัดแย้งกันกับผู้บัญชาการหลัว ภายใต้การถกเถียงนี้ ฮั่วกังออกคำสั่งถอนกำลังเพื่อกลับไปวางแผนที่ค่ายหลักอีกครั้ง ส่วนผู้บัญชาการหลัวนั้นได้ทีขี่แพะไล่ แอบนำกำลังทหารที่ฝ่าบาทมอบให้กว่าสามพันนายออกจากค่ายไปกลางดึก ตั้งใจจะฉวยโอกาสที่วุ่นวายโจมตีสังหารแม่ทัพใหญ่ของศัตรู ไม่คาดคิดว่าจะเผชิญกับชาวหนานฮวาที่ซุ่มอยู่ไล่โจมตี จึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินพ่ะย่ะค่ะ!”
คืนขึ้นปีใหม่ เสบียงถูกเผาทิ้ง ทั้งยังสูญเสียอีกนับหมื่น ก็พอจะเดาได้ว่าจิตใจของชาวหนานฮวานั้นเป็นแบบไหน จำต้องตามอาฆาตแค้นไล่ฆ่าอย่างไม่สนใจสิ่งใด
ถึงแม้ทหารธรรมดาพวกนั้นความเหี้ยมหาญอาจจะไม่สามารถเทียบเคียงกับทหารค่ายได้ กระนั้นใครจะสามารถต้านทานความโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นอย่างบ้าคลั่งของชาวหนานฮวาได้? ทั้งอีกฝ่ายก็มีกำลังคนเยอะ ทหารสามพันนายนั้นลงทุนแรงเสียเปล่าแต่กลับไม่ได้อะไรคืนมาก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
สีหน้าของฮ่องเต้เย็นเยียบ ราวกับน้ำแข็งค้างขึ้นมาทันที ในความมืดมนนั้นบิดเบี้ยวจนเกือบจะเป็นความบ้าคลั่ง
“เป็นลูกเองที่ดูแลได้ไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้อันคุกเข่ารับผิดด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ “หลังจากนั้นฮั่วกังก็รีบตามกำลังเสริมไปช่วยเหลือผู้บัญชาการหลัวที่ถูกคุมขัง ทว่า กลับถูกฝ่ายศัตรูฉวยโอกาสตอนที่เขาออกจากค่ายไป โอบล้อมจากด้านหลังโจมตีค่ายทหารที่เมืองฉู่ของกระหม่อม ในเวลานี้…ฮั่วกังถอนทัพใหญ่เข้าไปในเมืองฉู่ แต่ว่าชาวหนานฮวาก็กลับปิดผนึกประตูด้านนอกเมือง พร้อมจ้องตะครุบดุจพญาเสือ มีโอกาสที่จะโจมตีได้ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ!”
สงครามของทั้งสองแคว้นระหว่างซีเยว่และหนานฮวานั้นยืดเยื้อมาหลายปี การรบนั้นมักจะเกิดขึ้นที่พื้นที่เนินเขาตะเข็บชายแดนของสองแคว้น
วันนี้กองทัพซีเยว่ถูกต้อนเข้าไปในเมือง ทั้งยังทำให้ฝ่ายศัตรูประชิดเมือง หากจุดไฟสงครามขึ้น จำต้องกระทบถึงชาวบ้านในเมืองเป็นแน่
“พวกสารเลว!” ฮ่องเต้ด่าออกมาด้วยความโมโห ใช้แขนกวาดฎีกาที่กองพะเนินราวกับภูเขาบนโต๊ะลงไปกับพื้น
ผู้คนในตำหนักรวมถึงรุ่ยชินอ๋องล้วนแต่รีบเร่งก้มหน้าก้มตาคุกเข่า ไม่กล้าแม้แต่จะสูดลมหายใจ
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นลูกที่ควบคุมคนไม่ได้ ลูกยินดีรับโทษ ขอเสด็จพ่อได้โปรดลงโทษด้วย!” ฉู่อี้อันกล่าว
อำนาจทางทหารถึงแม้การควบคุมจะอยู่ในมือของฮ่องเต้ แต่เมื่อขณะนี้ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ในการจัดการกับงานราชการจึงนับว่าเหนือบ่ากว่าแรงอยู่บ้าง ดังนั้นงานทั่วไปล้วนแต่ต้องผ่านมือฉู่อี้อันก่อน โดยให้เขาคัดเลือกเรื่องสำคัญเร่งด่วนแล้วจึงค่อยเสนอให้ฮ่องเต้อนุมัติ
เรื่องสงครามของด้านเมืองฉู่ เดิมทีฮ่องเต้ก็จัดการดูแลเองไม่ได้ตกถึงมือฉู่อี้อัน เพราะไม่กี่เดือนก่อนฉู่อี้อันได้เป็นผู้นำทัพไปเมืองฉู่ หลังจากกลับมาฮ่องเต้จึงอนุญาตให้เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เพื่อที่จะสะดวกต่อการให้คำแนะนำตามสถานการณ์จริงของสนามรบ
“มาพูดในเวลาเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด?” ฮ่องเต้กล่าวอย่างโมโห ปวดขมับขึ้นมา
หลี่รุ่ยเสียงรีบส่งชาให้เขา มือของเขาที่จับถ้วยชานั้นสั่นเล็กน้อย ยกจับถ้วยชาอยู่ชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็มิวายโยนถ้วยชาลงไปบนพื้นด้านหน้าโต๊ะทรงอักษร
กระเบื้องลายครามแตกกระจัดกระจาย น้ำชากระเด็นกระดอนไปทั่วทิศทาง
คนด้านล่างล้วนแต่ถูกน้ำชากระเด็นเปื้อนกาย ทว่า กลับไม่กล้าขยับหนี ล้วนแต่ก้มหน้าหลับตา รองรับความโกรธราวกับสายฟ้าฟาดของฮ่องเต้ในเวลานี้
“เสด็จพี่ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว ตอนนี้มาถามหาความรับผิดชอบจากใครก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” รุ่ยชินอ๋องที่ถือว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่บ้าง เวลานี้จึงฝืนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ขณะนี้สถานการณ์คับขัน หาวิธีจัดการกับเรื่องนี้จึงจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม ข้าศึกที่ประชิดเมือง หากใช้โอกาสนี้โจมตีขึ้นมา เกรงว่าผู้คนในเมืองจะเดือดร้อนไปด้วย ถึงเวลานั้น…อย่าให้ผู้คนสูญเสียศรัทธาจะเป็นการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดสักครู่ก็กล่าวกับหลี่รุ่ยเสียง “หลี่รุ่ยเสียง ถ่ายทอดคำสั่งไปยังเมืองฉู่ให้เร็วที่สุด ให้ฮั่วกังรีบเตรียมการ ภายในหนึ่งเดือนนี้จะไม่มีการรบอย่างเด็ดขาด หาวิธีอพยพชาวบ้านในเมืองออกจากทางชายแดน จากนั้นให้แยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในแคว้นใกล้เคียง”
ในขณะที่พูดก็กล่าวกับฉู่อี้อันและฉู่อี้หมิน “พวกเจ้าทั้งสองคน สองวันนี้ไปร่างข้อตกลงมาให้ข้าอย่างละเอียด เพื่อจะได้แจ้งให้แว่นแคว้นใกล้เคียงช่วยเหลือกันในเรื่องนี้ จะต้องทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจ อย่าให้เกิดปัญหา”
แคว้นซีเยว่นั้นรวบรวมเป็นปึกแผ่นมาได้นานนับสิบกว่าปีแล้ว เทียบกันแล้ว รากฐานยังไม่มั่นคง หากชาวบ้านเกิดรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา จะต้องเกิดปัญหาในภายภาคหน้าตามมาเป็นแน่
“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” ทั้งสองคนรีบตอบรับ
ผ่านไปชั่วครู่ ฉู่อี้อันจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “การพ่ายสงครามครั้งนี้ อยู่ในความรับผิดชอบของฮั่วกังและหลัวอี้ เสด็จพ่อจะจัดการกับทั้งสองคนอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้นราวกับหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ครู่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นท่าทีไร้อารมณ์ กล่าวว่า “เจ้ามีความคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“กฎบ้านเมืองมิอาจละเมิดได้ ตามความผิดของพวกเขาครั้งนี้ ต้องคุมตัวกลับเมืองหลวง ฟังคำตัดสินโทษจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่อี้อันกล่าว
ฮ่องเต้ใช้มือข้างหนึ่งนวดเหนือคิ้ว ไม่ปริปากพูดใดๆ
รุ่ยชินอ๋องชั่งน้ำหนักในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะประสานมือกล่าวกับฮ่องเต้ “เสด็จพี่ กฎบ้านเมืองหรือจะสู้มนุษยธรรม ทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องคุณธรรมของคนคนเดียวที่ง่ายดายขนาดนั้น หลังจากศึกนี้ผ่านไป ศึกระหว่างเราและหนานฮวาก็ต้องตึงเครียดมากยิ่งขึ้น แม่ทัพฮั่วประจำการที่เมืองฉู่มาแปดปีแล้ว คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างดี เวลานี้ทัพของเราเพิ่งจะพ่ายแพ้ ปลดเขาออกจากตำแหน่งย่อมได้ แต่ว่าคนที่มาแทนเขานั้นแน่นอนว่าต้องไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ หากเกิดควบคุมการรบไม่ได้ ผลที่จะตามมานั้นไม่กล้าจะนึกถึงเลย ในความคิดของน้อง เวลานี้ให้เขาอยู่ดูแลเมืองฉู่ แบกรับความผิดสร้างคุณูปการไปก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จอาพูดมิผิดพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้หมินกล่าว “ช่วงเวลานี้เสด็จพ่ออาจจะจัดหาแม่ทัพคนใหม่ส่งไปให้แม่ทัพฮั่วช่วยสอนเขาให้คุ้นเคยกับการศึกทางเมืองฉู่ ผ่านไปสองเดือนค่อยส่งมอบหน้าที่ก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ!”
เปลี่ยนตัวแม่ทัพเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะยังเป็นตอนที่สถานการณ์ของศึกทั้งสองแคว้นตึงเครียดเช่นนี้
ในใจของฮ่องเต้ราวกับฉุกคิดอยู่ ลังเลไปสักครู่แต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนออกมา
ฉู่อี้อันหลับตาลงอย่างเยือกเย็น กลับกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ตามความเห็นของลูก…ควรนำตัวแม่ทัพฮั่วกลับเมืองหลวงอย่างเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง แม้แต่ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงก็ยังยากที่จะไม่ชะงักกึกในใจไปชั่วครู่เช่นกัน เกิดลางสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
สายตาของฮ่องเต้พลันเข้มขึ้น เบิกตากว้างมองไปทางเขาอย่างทันใด “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ฉู่อี้อันยังไม่ทันได้พูด ด้านในแม่นมเหลียงและหลัวอวี่ก่วนก็พยุงหลัวฮองเฮาที่หน้าซีดขาวออกมาจากตำหนักด้านหลัง
หลัวฮองเฮาเพิ่งจะฟื้นคืนสติจึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เดินมาตามทางทั้งที่ร่างกายก็ยังสั่นอยู่
ฮ่องเต้เหลือบมองหน้านาง กล่าวอย่างไม่ไยดี “ร่างกายของเจ้ายังไม่ค่อยแข็งแรงก็นอนพักด้านหลังก่อน เหตุใดจึงรีบออกมา? ข้ายังมีราชกิจที่จะต้องทำที่นี่”
ขณะที่พูดก็ออกคำสั่งให้คนพานางกลับเข้าไป
หลัวฮองเฮาเผยหน้าเศร้าโศกมองไปยังเขา น้ำตาไหลลงมาอย่างทันที “ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ออกราชโองการเรียกตัวผู้บัญชาการหลัวกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุดด้วยเถิดเพคะ!”
พูดไม่ทันจบ ก็ไม่สนใจฐานะของตนแม้แต่น้อย คุกเข่าลงไปต่อหน้าฮ่องเต้ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ฮ่องเต้ตกตะลึงไป ในใจบังเกิดความรู้สึกเห็นท่าไม่ดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ฉู่อี้อันลอบเก็บลมหายใจกดไว้ภายในใจ กล่าวว่า “คืนนั้นที่ผู้บัญชาการหลัวถูกซุ่มโจมตี ถูกธนูอาบพิษได้รับบาดเจ็บ สถานการณ์ปางตาย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้ ลูกจึงตัดสินใจส่งหมอหลวงไปรักษา เพียงแต่เส้นทางยาวไกล เกรงว่าจะมีเหตุร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหลัวฮองเฮาเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
แต่หลัวอวี่ก่วนนั้นน้ำตารินไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าอยู่นานแล้ว
ในใจของฉู่สวินหยางสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงเรื่องบางอย่างที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของพวกเขา
ฉู่อี้อันที่ยังพูดค้างไว้ก่อนหน้านั้น บัดนี้เขาจึงอาศัยช่วงที่ตำหนักเต็มไปด้วยความเงียบสงบกล่าวออกมา “ศรพิษที่โดนผู้บัญชาการหลัวนั้น ผ่านการตรวจสอบแล้ว ได้รับการยืนยันเบื้องต้นว่าถูกยิงมาจากในกองทัพซีเยว่ของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ทุกคนก็พากันตื่นตะลึง หัวใจของฉู่สวินหยางจมดิ่งลึกลงไปด้านล่างชั่วขณะ
หลัวฮองเฮาที่อดกลั้นความดุดันในดวงตาไว้มานาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวที่จะปะทุมันออกมา
นางเงยหน้ามองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษรทันที เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดอย่างเสียงดัง “ฝ่าบาท เกลือเป็นหนอนเช่นนี้ หม่อมฉันได้ยินมานานแล้วว่ามีคนไม่พอใจที่หลัวอี้ได้เป็นผู้คุมทัพไปเมืองฉู่เพราะเป็นเครือญาติของหม่อมฉัน เวลานี้เพราะความเห็นแก่ตัว จึงใช้วิธีการเช่นนี้ ไม่สนสถานการณ์อันตรายในสงคราม ไม่คำนึงถึงชาวบ้านที่จะตกทุกข์ได้ยากไปด้วย พวกเขาทำร้ายหลัวอี้ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่เพื่อเรื่องส่วนตัวของตนเองกลับก่อผลกระทบแก่สงคราม คนที่บ้าคลั่งสติฟั่นเฟืองเช่นนี้ ฝ่าบาททนปล่อยเขาไปได้หรือเพคะ? หรืออยากให้เขาพาประชาชนของเราชาวซีเยว่ไปเกลือกกลิ้งน้ำมันร้อนบนกระทะด้วยล่ะเพคะ?”
สีหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึนจนแทบดูไม่ได้ แววตามืดมนกวาดมองไปยังผู้คนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง
ฉู่อี้อันถอนหายใจออกมา เผินตามองไปยังหลัวฮองเฮา “เกิดเรื่องกับผู้บัญชาการหลัว ใครก็ไม่ปรารถนาให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จแม่โปรดรักษาพระวรกาย ลุกขึ้นยืนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของหลัวฮองเฮานั้นเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมฟัง
รุ่ยชินอ๋องสูดอากาศเย็นเข้าไปหลายเฮือก เวลานี้จำต้องออกหน้าไกล่เกลี่ยให้ “ในสนามรบอาวุธต่างๆ ล้วนไม่มีตา ชาวหนานฮวานั้นเป็นที่รู้ดีว่าเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก แม้ว่าศรที่ถูกยิงไปยังผู้บัญชาการหลัวจะมีสัญลักษณ์ของเราชาวซีเยว่ ก็ไม่แน่ว่าจะมาจากกองทัพของเราชาวซีเยว่ พี่สะใภ้ท่านเจ็บปวดแทนหลานเป็นเรื่องที่ถูก แต่ว่าเรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติม อย่าติดกับแผนการยุให้แตกกันของชาวหนานฮวาเพราะความโกรธเพียงชั่วครู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลัวฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงหึขึ้นในจมูก ไม่ยอมกล่าวคำใดออกมา
…………………………………