สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 96.2 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (2)
ฮ่องเต้ในตอนนี้ไม่ชอบใจหลัวอี้อีกต่อไปแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นแค่ฉากหน้า ทว่าทหารสามพันนายที่เขาเสียไปก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เช่นกัน เขากับหลัวฮองเฮา ต่างก็ลอบถอนหายใจ
ฉู่อี้อันสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “สถานการณ์สงครามในเมืองฉู่ขณะนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก จะผิดพลาดนิดเดียวก็ไม่ได้ เพื่อที่จะป้องกัน ขอเสด็จพ่อออกราชโองการเปลี่ยนตัวแม่ทัพและรีบนำตัวแม่ทัพฮั่วและผู้บัญชาการหลัวกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าผิดถูกอย่างไรก็ต้องฟังความของพวกเขาทั้งสองฝ่ายต่อหน้าจึงจะสามารถตัดสินใจได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เกิดเรื่องในกองทัพ จะต้องจัดการเรื่องอย่างระมัดระวังที่สุด
หากในทัพซีเยว่มีหนอนบ่อนไส้อยู่จริงๆ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาก็น่ากังวล
ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ได้คิดว่าฮั่วกังเป็นฝ่ายลงมือกับหลัวอี้ แต่ก็กลับไม่กล้าจะชะล่าใจ
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ให้ฮั่วกังและหลัวอี้กลับเมืองหลวงโดยด่วน” ฮ่องเต้กล่าว คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล “แม่ทัพใหม่ของเมืองฉู่ พวกเจ้ามีคนที่เหมาะสมจะแนะนำหรือไม่?”
เรื่องของอำนาจทางทหาร ใครๆ ก็อยากเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ ทว่าโอกาสในขณะนี้…
กลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงอันตราย กลัวว่าจะหลีกหนีไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป
หากตรวจสอบแล้วพบว่าการบาดเจ็บของหลัวอี้มาจากคนภายใน เรื่องหลังจากนั้นห้ามไม่ให้ฮ่องเต้คิดมากก็เป็นเรื่องยากแล้ว ถึงเวลานั้นอาจกลายเป็นว่ามีคนต้องการยึดอำนาจจึงตั้งใจวางแผนเพื่อให้ฮ่องเต้หาแม่ทัพมาแทนฮั่วกัง
ดังนั้น…
ตำแหน่งแม่ทัพของเมืองฉู่นี้จึงกลายเป็นดั่งเผือกร้อนที่ใครได้รับไปก็รั้งแต่จะเจอความยุ่งยาก
“ด้านเมืองฉู่นั้นเป็นสถานการณ์พิเศษ การเปลี่ยนตัวแม่ทัพอย่างกะทันหัน จะต้องเป็นผู้ที่มีเกียรติและฐานะน่าเคารพยำเกรงและสามารถควบคุมคนใต้บังคับบัญชาได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว “กระนั้นเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือต้องไม่ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคิดแตกแยกจึงจะเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ”
จากก้นบึ้งในจิตใจ ฉู่อี้หมินยินดีอย่างยิ่งที่จะฉกฉวยโอกาสนี้ดันฉู่ฉีเหยียนให้รับตำแหน่ง แต่ถึงแม้เขาเป็นคนโง่ก็ยังรู้ว่า….
เนื้อติดมันชิ้นนี้เคี้ยวยากยิ่งนัก
ภายใต้เส้นทางมืดมนในใจ ฉู่อี้หมินเลิกคิ้วขึ้น กล่าวว่า “ที่ฉีเหยียนกล่าวมาก็มิผิด เสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้เสด็จพี่ก็เคยเป็นผู้นำทัพของค่ายทหารที่เมืองฉู่ เทียบกับคนธรรมดาแล้วนับว่าคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่นั่นมากกว่าอยู่บ้าง เกียรติฐานะของเขาก็เป็นที่เคารพยำเกรง หากว่าส่งตัวเขาไป…มีรัชทายาทออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตนเอง ก็จะสามารถเรียกคืนกำลังใจของทหารและชาวบ้านที่อยู่ทางชายแดนได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้กวาดสายตามองใบหน้าเขา ไม่พูดว่าดีหรือไม่ดี กลับมองจนฉู่อี้หมินรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจจนก้มหน้าลงไป
ฉู่อี้อันไม่ได้คิดจะต่อปากกับเขา กล่าวเพียงว่า “ก่อนหน้านี้ที่ลูกไปเมืองฉู่ก็เพียงลงพื้นที่เท่านั้น พักอยู่ที่นั่นไม่กี่วัน จึงไม่กล้ารับปากส่งเดชรับหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหลวงเวลานี้ก็อยู่ในสถานการณ์ที่มีเรื่องมากมาย ลูกจึงไม่อยากห่างจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่เขาพูดก็ขบคิดไปพลางก่อนจะเบนไปทางรุ่ยชินอ๋องที่กำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ด้านข้าง “ท่านอา มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ความคิดการตัดสินใจหรือก็มีอยู่เหนือกว่าข้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอาจะเหนื่อยหรือไม่หากจะรับตำแหน่งนี้?”
รุ่ยชินอ๋องนั้นอายุห่างจากฮ่องเต้เพียงหนึ่งปี ตอนนี้ก็ใกล้หกสิบปีแล้ว เขาแค่ฝันก็ยังไม่กล้าคิดว่าเรื่องนี้จะตกมาอยู่ที่ตนเอง กลับตกตะลึงขึ้นมาทันที
ฉู่อี้อันกล่าวอีกครั้งว่า “ท่านอาอายุมากแล้ว หลานเองก็รู้ว่าไม่ควรจะให้ท่านต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องเช่นนี้ ทว่าเรื่องครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ เมื่อคิดกลับไปกลับมาก็มีแต่ท่านอาเท่านั้นที่จะรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้”
ขณะพูดก็หันไปยังฮ่องเต้ “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อมีความเห็นอย่างไร?”
ฮ่องเต้หรี่ตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด แต่ว่าท่าทีนั้นกลับเหมือนลึกมากจนยากที่จะหยั่งถึง
ครู่ต่อมาเขาก็ยอมรับข้อคิดเห็นนี้ ในที่สุดก็พยักหน้า กล่าวกับรุ่ยชินอ๋องว่า “เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร? ยินดีที่จะไปเมืองฉู่แทนข้าหรือไม่?”
“เสด็จพี่เชื่อใจ กระหม่อมก็พร้อมบุกน้ำลุยไฟพ่ะย่ะค่ะ!” รุ่ยชินอ๋องกล่าว เวลาเดียวกันก็ยิ้มในใจอย่างขมขื่น กลับไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรบนใบหน้าแม้แต่น้อย “เพียงแต่อย่างไรน้องก็อายุมากแล้ว คงจะรับตำแหน่งที่เมืองฉู่ได้สักชั่วครู่ ไม่ได้นานขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ น้องสามารถไปประจำการได้เพียงช่วงหนึ่ง ส่วนเรื่องทางนี้…”
“อืม เจ้ารีบไปให้เร็วที่สุดก็พอแล้ว” ฮ่องเต้กล่าวทั้งยกมือตัดบทเขา “ทางด้านนี้ข้าก็จะรีบหาตัวแม่ทัพคนใหม่ไปรับช่วงต่อจากเจ้า!”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชา!” รุ่ยชินอ๋องก้มหัวรับราชโองการ
ฮ่องเต้โบกมือพลางกล่าว “เจ้าไปเตรียมตัวเสียเถิด”
จากนั้นค่อยกล่าวต่อ “ชายใหญ่ เจ้าออกไปส่งท่านอาของเจ้า ดูว่าทางด้านของเมืองฉู่มีเรื่องอันใดบ้างที่ต้องมอบงานให้เขา แล้วก็ชี้แจงอธิบายให้เขาเข้าใจด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้อันรับคำสั่ง คำนับก่อนจะถอยออกไปพร้อมกับรุ่ยชินอ๋อง
เมื่อออกมาจากห้องทรงอักษร ทั้งสองคนก็เดินไปยังด้านหน้า ฉู่อี้อันยามปกตินั้นก็มักจะไปจัดการราชกิจที่กระท่อมยาอู ไม่ได้เรียกคนให้ตามไป จึงเดินเคียงกันไปเพียงสองคน
รอจนไม่มีคน รุ่ยชินอ๋องจึงค่อยถอนหายใจ หันหน้าเหลือบมองไปทางเขา กล่าวด้วยท่าทีซับซ้อน “เจ้าไม่ต้องไปส่งหรอก ข้าอย่างเร็วที่สุดก็สองวันถึงจะออกเดินทางได้ มีอะไรที่ต้องการจะส่งมอบเจ้าก็กลับไปจัดการให้ดี เสร็จแล้วส่งคนไปบอกที่จวนของข้าก็พอแล้ว ตอนนี้กลับไปก่อนเถิด!”
ขณะที่พูดก็ส่งสายตาครุ่นคิดอย่างมีนัยไปทางห้องทรงอักษรด้านหลัง
ฉู่อี้อันเผยใบหน้านิ่งเงียบ รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยจึงยิ้มให้เขาทั้งขมขื่น “เรื่องครั้งนี้ เพิ่มความลำบากให้ท่านแล้ว ทำให้ท่านที่อายุปูนนี้ต้องมาวิ่งเต้น”
“ช่างเถิด!” รุ่ยชินอ๋องส่ายหน้า ยกมือตบไหล่เขา ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ หมุนตัวกลับออกไป
ฉู่อี้อันยืนบนเฉลียงเพียงคนเดียว ใบหน้านั้นเผยท่าทีราวกับอยากจะออกไปจากที่นี่ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปยังห้องทรงอักษรอย่างทันที ยืนอย่างเงียบๆ สักครู่ก็พบกับลู่หยวนที่เดินเร็วๆ จากทางกระท่อมยาอูมาอยู่ตรงหน้า
ฉู่อี้อันรวบรวมสติกลับคืนมา เหลือบตามองไป
“องค์ชาย!” ลู่หยวนประสานมือคำนับ กวาดสายตาเฉียบแหลมนั้นไปทั่ว เมื่อพบว่ารอบด้านไม่มีผู้ใด ก็รีบกล่าวรายงานอย่างทันที “จดหมายตอบกลับให้แม่ทัพฮั่ว ข้าให้คนส่งม้าเร็วออกไปแล้วขอรับ ให้เขาได้มีเวลาเตรียมใจสักหน่อย”
“อืม!” ฉู่อี้อันพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เพียงแต่โบกมือเป็นนัยให้เขาออกไป ก่อนจะหมุนกายกลับไปยังห้องทรงอักษร
เวลานี้ในห้องทรงอักษร หลัวฮองเฮายังคงคร่ำครวญอยู่ ท่าทีที่โมโหนั้น พิรี้พิไรไม่จบไม่สิ้น นำความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดโจมตีไปที่ฮั่วกัง
ฮ่องเต้นั้นฟังอย่างไร้อารมณ์ ผู้คนด้านล่างยิ่งไม่สนใจต่างก็พากันครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ
ฉู่อี้อันเดินเข้ามาจากด้านนอก คำนับให้ทั้งสองคน “เสด็จพ่อ เสด็จแม่!”
“อืม!” ฮ่องเต้รวบรวมสติก่อนจะเงยหน้ามอง “มอบงานเรียบร้อยหมดแล้วหรือ?”
“ท่านอารีบกลับจวนไปเก็บข้าวของ เดี๋ยวลูกจะจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยส่งไปให้ท่านอาภายหลังพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่อี้อันกล่าว มองผู้คนที่คุกเข่าภายในตำหนัก “เสด็จพ่อเหน็ดเหนื่อยมาค่อนวันแล้ว ขุนนางที่รออยู่ด้านนอก ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เรื่องสงครามทางเมืองฉู่จู่ๆ ก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เรื่องที่ค้างไว้ก็คือเรื่องของฮ่องเต้ที่จะจัดการกับเรื่องของทั่วป๋าไหวอัน
ฮ่องเต้ประกายสายตาวาบ ราวกับลืมไปว่าปล่อยเรื่องของทั่วป๋าไหวอันผ่านไป ครู่นั้นจึงเปลี่ยนท่าทีขึ้นมาอย่างฉับพลัน “อืม องค์รัชทายาทและอ๋องหนานเหออยู่ก่อน ส่วนคนที่เหลือ…แยกย้ายก่อนเถิด!”
ฮ่องเต้เพียงออกคำสั่งให้นำตัวฮั่วกังกลับเมืองหลวง แต่กลับไม่ได้พูดว่าจะลงโทษ ในใจของหลัวฮองเฮาทนปล่อยไปไม่ได้ เดิมทียังอยากจะถกเถียง แต่พอเห็นท่าทีของเขาที่เห็นได้ชัดว่าอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว ท้ายที่สุดจึงได้แต่ปิดปากอย่างรู้ความ ยอมถูกแม่นมเหลียงและหลัวอวี่ก่วนพยุงไปด้านนอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ในใจของหลัวอวี่ก่วนนั้นเคียดแค้นยิ่งกว่านาง ตอนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้อดทนไว้ไม่พูดออกมา พอออกจากประตูตำหนักก็กล่าวอย่างทนไม่ไหว “ฮองเฮาเพคะ เรื่องก็จบแค่นี้หรือเพคะ?”
“แค่นี้?” หลัวฮองเฮายิ้มเย็น ท่าทีดุดันขึ้นมาทันที “ตบหน้าข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คิดว่าคนสกุลหลัวของข้ารังแกง่ายขนาดนั้นเชียวรึ?”
“ถ้าอย่างนั้น…” หลัวอวี่ก่วนถอนใจด้วยความโล่งอก ในตอนที่กำลังคิดจะพูดอะไรต่อหลัวฮองเฮาก็ใช้สายตาเย็นเยียบมองนางด้วยความหงุดหงิด “กลับไปค่อยว่ากัน!”
แม่นมเหลียงประคองนางขึ้นเกี้ยวไป ผู้คนที่ยืนอยู่ตรงเฉลียงมองตามหลังเกี้ยวนั้นลับไปจึงค่อยพากันแยกย้าย
ฉู่ฉีเฟิงยังคงมีธุระจึงไปที่กระท่อมยาอู
ฉู่หลิงอวิ้นและฉู่ฉีเหยียนสองพี่น้องก็พากันออกวังตามขุนนางคนอื่นๆ ไป
ฉู่สวินหยางเดินอย่างช้าๆ รั้งอยู่ด้านหลังสุด
ทั่วป๋าอวิ๋นจีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนหันกลับมา ใช้ท่าทีที่แฝงความกังวลมองไปที่นางนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเพราะรู้สึกอึดอัดกับคนด้านหน้า จึงออกตามกลุ่มผู้คนนั้นไปอย่างเงียบๆ