สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 96.3 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (3)
รอจนคนออกไปจำนวนหนึ่งแล้ว ด้านหลังคือฉู่ฉีฮุยที่ใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่พูดจาอะไรมาค่อนวัน เวลานี้จึงคว้าข้อมือฉู่สวินหยางดึงนางไปหยุดอยู่ไม่ไกลจากสวนดอกไม้
ชิงหลัวตั้งใจจะลงมือขัดขวาง กลับถูกฉู่สวินหยางห้ามด้วยสายตา
ฉู่ฉีฮุยนั้นโกรธเกรี้ยว ลากนางมาถึงที่ไม่มีผู้คน ค่อยเอ่ยถามด้วยความโกรธ “เมื่อครู่ข้ออ้างที่ฉู่ฉีเฟิงกล่าวในตำหนักเป็นเจ้าและเขาร่วมมือกันคิดขึ้นมาใช่หรือไม่?”
เขาคล้ายกับกระหืดกระหอบ แววตาที่โมโหนั้นจ้องมองฉู่สวินหยางราวกับเป็นศัตรูก็มิปาน
มุมปากของฉู่สวินหยางปรากฏรอยยิ้มเย็นมองไปยังเขา ทว่ากลับถามแทนที่จะตอบ “ยังต้องถามอีกหรือ? หวงจ่างซุนเมื่อคืนวานเจ้าออกจากเมืองไปทำอะไรในใจเจ้าไม่รู้ดีกว่าหรือ?”
“เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยถูกนางยั่วโมโหจนลมตีกลับหายใจไม่ทัน ใบหน้ากลายเป็นสีตับหมูอย่างรวดเร็ว เดิมทีก็ต้องการกระฟัดกระเฟียดออกไป ทว่าเมื่อกวาดดวงตาไปรอบๆ ก็ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของที่นี่ ท้ายที่สุดจึงทำได้แค่กดเสียงต่ำลงอย่างสุดความสามารถ “พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? พูดเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ก็ยังจะกล้าเอามาพูดต่อหน้าฝ่าบาท? กลับไปอย่างไรเขาก็ต้องให้กู้ฉางเฟิงสืบหาความออกมา นี่อาจจะโดนโทษเพ็ดทูลเบื้องสูงได้!”
“แล้วอย่างไรเล่า?” ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วมองเขาอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าควรจะขอบคุณข้ามิใช่หรอกหรือ? หากก่อนหน้านี้ในตำหนักไม่มีคำพูดเรื่อยเปื่อยของพี่รองล่ะก็ เวลานี้เจ้าจะยืนไร้รอยขีดข่วนอยู่เช่นนี้ได้หรือ?”
ฉู่ฉีฮุยหน้าเปลี่ยนสี ทว่าที่ฉู่สวินหยางพูดคือความจริง เขาไร้ทางโต้ตอบจริงๆ อดทนนานมากจึงเพิ่งส่งเสียงเหอะในลำคอออกมา “พูดแก้ต่างให้ข้าอย่างนั้นรึ คำพูดหลอกลวงที่เจ้าปรุงแต่งขึ้นมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า เอาชื่อเสียงของน้องห้ามาเล่นละครเสียแล้ว สวินหยางคงเป็นเพราะว่าเจ้ายังแค้นเคืองเรื่องที่จวนอ๋องหนานเหอก่อนหน้านี้ ยอมรับมาก็จบแล้ว เหตุใดจึงต้องวางมาดดูมีศีลธรรมส่งน้ำใจพวกนี้ให้แก่ข้า? เจ้าบีบท่านแม่และน้องห้าของข้าจนไร้หนทางเดินแล้ว เจ้าต้องการจะบีบพวกนางจนตายจึงจะพอใจใช่หรือไม่?”
“เจ้าอยากจะพูดอย่างไรก็พูดไป!” ฉู่สวินหยางเบ้ปาก แทบไม่สนใจเรื่องที่เขาต่อว่ากลับมาสักนิด เพียงแต่ใช้สายตาเหน็บแนมมองดูเขา “เจ้าให้ความสำคัญกับศีลธรรม จึงรับไม่ได้ที่ชื่อเสียงของน้องสาวแสนดีของเจ้าเสียหายใช่หรือไม่? อย่างนั้นก็ดี ประตูห้องทรงอักษรก็อยู่นั่นไง ตอนนี้เจ้าก็สามารถกลับไปกล่าวต่อหน้าฝ่าบาทได้แล้ว เปิดโปงคำพูดที่ไม่มีมูลของข้าและพี่รอง แก้ไขความจริงให้แก่น้องห้าของเจ้า”
หากไม่มีคำพูดนั้นของฉู่ฉีเฟิง เขาในตอนนี้ก็คงจะยังถอนตัวออกมาจากเรื่องของทั่วป๋าไหวอันไม่ได้ ยากที่จะหลุดออกมาเช่นนี้ ฉู่ฉีเฟิงถึงแม้จะบ้าก็ยังไม่กล้าจะไปเท้าความพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
ฉู่สวินหยางเห็นเขาลังเลก็ยิ้มอย่างเสียดสี “พูดว่าข้าต้องการจะให้ร้ายพวกเจ้า ใช้สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงของฉู่เยว่เหยียนแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของเจ้าเอง เจ้าไม่รู้สึกว่าได้กำไรหรอกหรือ?”
ความในใจของฉู่ฉีฮุยถูกเปิดเผยออกมา เพียงทำได้แค่มองนางทั้งยังเต็มไปด้วยความโกรธ
ฉู่สวินหยางก็ไม่สนใจเขา เพียงกล่าวต่อไปว่า “ถ้าไม่ใช่ว่ากลัวท่านพ่อและวังบูรพาของพวกเราถูกหางเลขกับเรื่องนี้ไปด้วย ข้าก็คร้านที่จะยุ่งเรื่องไร้สาระพวกนี้ของเจ้า เรื่องไม่มีสายปลายเหตุที่บังเอิญขนาดนั้น คงมีคนอยากจะเอาเรื่องเจ้าจากงานแต่งของทั่วป๋าไหวอัน แค่เจ้าระวังสักหน่อย ก็ไม่ต้องทำให้พวกเราทั้งหมดเหนื่อยไปกับเรื่องแบบนี้ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าให้พี่รองออกหน้าช่วยเจ้าแก้ต่างเรื่องนี้ หากมีครั้งต่อไป…เจ้าก็ช่วยเหลือตัวเองเอาก็แล้วกัน!”
“เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยยอมรับน้ำใจครั้งนี้ของนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาจ้องตานางอย่างดุดัน ท้ายที่สุดก็มิวายเตือน “เจ้าควรจะเตรียมหาวิธีจัดการกับคำโกหกพวกนั้นดีกว่า หากถึงเวลาที่โทษหลอกลวงฝ่าบาทออกมา ก็ไม่แน่ว่าเป็นใครในพวกเรากันแน่ที่ต้องโดนหางเลข”
พูดจบก็สะบัดชายเสื้ออย่างโมโห ก้าวเท้ายาวๆ จากไป
“พวกจอมปลอม!” ฉู่สวินหยางทำเสียงเยาะเย้ยไล่ตามหลังเขาไป “เห็นได้ชัดว่าเขาก็แค้นที่ไม่สามารถนำฉู่เยว่เหยียนมารับเคราะห์แทนตัวเองได้ เวลานี้ยังจะมาเสแสร้งเรื่องคุณธรรม!”
ชิงหลัวที่เต็มไปด้วยความกังวลใจเดินออกมาจากด้านหลัง “มองดูท่าทีของหวงจ่างซุนแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ยอมวางมือยุติเรื่องนี้แน่ หากเขาต้องการจะเป็นปฏิปักษ์ต่อท่านหญิงจริงๆ ล่ะก็…”
“นั่นก็เพราะเขาโง่!” ฉู่สวินหยางเวลานี้ก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ตัดบทชิงหลัวด้วยความเยือกเย็น “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เอาแต่คิดกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเอง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยนึกถึงสถานการณ์ของวังบูรพาและท่านพ่อ หลักการรังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก[1]แม้แต่เด็กที่เพิ่งอ่านหนังสือได้ไม่กี่วันยังเข้าใจ แล้วเขาเล่า…”
ตอนที่นางพูดก็ยิ่งโมโหขึ้นมาอีกจึงไม่อยากยกขึ้นมาพูดอีกแล้ว
รังที่พลิกคว่ำอย่างไรไข่ก็ต้องแตก!
หลักการง่ายๆ เช่นนี้มีเพียงคนโง่อย่างฉู่ฉีฮุยเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ ผู้คนทั้งวังบูรพาเดิมทีก็หนึ่งร่วง ทุกคนล่ม หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่งผูกติดกันอยู่เช่นนี้
ชาติที่แล้วเขาก่อไฟเผาร่างตัวเอง คิดว่าการขายพ่อและพี่น้องจะสามารถขจัดความแคลงใจของฮ่องเต้ได้ กลับไม่รู้ว่า ฮ่องเต้นั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมาก เดิมทีก็ไม่คิดจะปล่อยให้เขารอดจากการสังหารทั้งสกุลของวังบูรพาไปได้
พวกเขารู้ว่าฉู่สวินหยางมีความผูกพันลึกซึ้งกับพ่อและพี่ชายเป็นอย่างมาก จึงให้ฉู่ฉีฮุยดูแลเรื่องการประหาร แท้ที่จริงก็คาดเดาอยู่แล้วว่านางจะต้องพานักโทษประหารหลบหนี แถมยังยืมมือนางกำจัดเขาอีก
หากไม่ใช่ว่าฮ่องเต้มีส่วนรู้เห็น ก็เป็นเพราะนางอาศัยกำลังของตัวเองอย่างนั้นหรือ? นางสามารถบุกจากนอกเมืองฝ่าไปยังลานประหารอย่างราบรื่นโดยไม่ติดขัดอะไรแม้แต่น้อย? เรื่องนั้น เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากฉู่ฉีฮุยทรยศพ่อของตนเองจึงถูกน้องสาวสังหารล้างแค้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็จะต้องคิดว่ารัชทายาทสมควรจะได้รับกรรม ส่วนฮ่องเต้ก็เป็นผู้ที่ใจกว้างมีเมตตา เขาก็ไม่ได้สูญเสียศรัทธาจากผู้คน ความตายของฉู่ฉีฮุยแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แผนที่ตัดหญ้าถอนโคนด้วยการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ ฉู่ฉีฮุยย่อมไม่เข้าใจ ทว่าฉู่สวินหยางกลับรู้แจ้งอยู่นานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่สามารถจะอภัยให้กับการทรยศของฉู่ฉีฮุยได้จริงๆ สุดท้ายจึงพายเรือตามน้ำตอบสนองความต้องการของฮ่องเต้ กำจัดภัยร้ายที่เหลืออยู่แทนเขา
ชาติที่แล้วสร้างเรื่องเช่นนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าฉู่ฉีฮุยในชาตินี้ก็ยังคงโง่งมอยู่แบบนี้อีก
ชิงหลัวเพียงรำคาญการกระทำของแม่ลูกแซ่เหลยครั้งแล้วครั้งเล่า เวลานี้จึงแอบกังวลแทนฉู่สวินหยางไม่ได้ “บ่าวเพียงกลัวว่าท่านจะลำบากเพราะพวกเขา!”
“เขาสงบเสงี่ยมอยู่เช่นนี้ก็แล้วไป มิเช่นนั้นหากยังทำผิดมาถึงข้า…” ฉู่สวินหยางประกายตาวาบ ฉีกยิ้มเย็นที่มุมปาก “หากเขาคิดจะรบรากับพี่น้องตัวเอง ข้าก็จะไม่เมตตาเขาอีกต่อไป!”
นางไม่ได้เริ่มเข้าไปแตะต้องฉู่ฉีฮุย นั่นก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าของฉู่อี้อัน หากจะให้มองจริงๆ…
ฉู่ฉีฮุยนับว่าเป็นสิ่งใดเล่า?
เป็นแค่คนแปลกหน้าในนามของพี่ชายก็เท่านั้น
ฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงเข้าไปข้องเกี่ยวกับเขาจึงสูญเสียชื่อเสียงเล็กน้อย นางและผู้นั้นก็ไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกันเสียหน่อย หากครั้งหน้าได้ลงมือฆ่าแล้วจะอย่างไรเล่า?
ชิงหลัวนั้นสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่พุ่งพวยออกมาจากนางจึงตกใจไป มุมปากกระตุกสั่น สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ฉู่สวินหยางจัดแจงคอเสื้อให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเลี้ยวออกจากสวนดอกไม้ไป ก้าวเดินไปทางประตูวัง
สองตำหนักที่เยื้องกัน ทันทีที่เงยหน้าก็พบเข้าคนผู้หนึ่งที่ยืนมือไขว่หลังอยู่ทางด้านหน้าวัง
ชิงหลัวเตรียมขมวดคิ้ว ลอบมองดูปฏิกิริยาของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางกลับยิ้มเล็กน้อยราวกับรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก้าวเดินออกไป
“ที่กล่าวว่าเหยียนหลิงจวินออกจากเมืองเพื่อไปรักษาฉู่เยว่เหยียนคงเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วเขากลับตบตา ออกจากเมืองไปจัดการคำโกหกพวกนั้นแทนเจ้ากับฉู่ฉีเฟิงแล้วล่ะสิ?” ฉู่ฉีเหยียนยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นบนฟ้าก่อนจะหลับตา แสงแดดกล้าของช่วงบ่ายที่ส่องลงมากระทบใบหน้าของเขาแม้จะดูเหมือนเงียบสงบ ทว่าระหว่างคิ้วกลับมีความขมุกขมัวแผ่ส่าน
เมื่อได้ฟังเสียงก้าวเท้าอย่างสบายๆ และพูดกับเขาเช่นนี้มาจากด้านหลัง
ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็พอจะรู้แล้วว่าคนที่มาด้านหลังคือฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่ช่วงที่กำลังเดินผ่านเขานั้นก็ชำเลืองมองเขาไปด้วย
ฉู่ฉีเหยียนระงับคำที่กล่าวออกมา เมื่อเห็นว่านางไม่สนใจก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เวลาที่กระชั้นชิดนี้จึงรีบเดินไปด้านหน้า ยื่นมือเพื่อต้องการจะคว้าข้อมือของนาง
ฉู่สวินหยางที่สังเกตเห็น จึงเบี่ยงไหล่ไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อหลบหลีก ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางส่งสายตาเป็นคำถามไปให้
นิ้วของฉู่ฉีเหยียนคลาดชายเสื้อของนางไป พอพบกับสายตาของนางจึงได้รู้ว่าตัวเองเสียอาการไป
“อะแฮ่ม…” เขาปิดบังความเขินอายด้วยเสียงกระแอมไอเล็กน้อย หลังจากนั้นเมื่อเงยหน้าประจันกับฉู่สวินหยางก็ฟื้นคืนท่าทีมาเป็นปกติเช่นเดิม “เจ้าอย่าได้ประมาทกู้ฉางเฟิง เจ้าส่งคนไปสอดแนมฝ่าบาทคิดว่าจะสำเร็จอย่างนั้นหรือ? ทำตัวตามอำเภอใจไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นนี้ หรือเจ้าไม่กลัวว่ากลับไปแล้วแผนร้ายจะแดงออก…”
“อย่ามาพูดกับข้าว่าทำตัวตามอำเภอใจไม่เกรงกลัวผู้ใด เทียบกับเจ้าแล้ว พวกข้าก็เป็นแค่พวกที่มีฝีมือต่ำต้อย!”
คิ้วของฉู่ฉีเหยียนขมวดขึ้นเล็กน้อย ใช้ดวงตาที่ลึกล้ำนั้นมองนาง
………………………………
[1] หลักการรังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก อุปมาว่า หากคนหนึ่งคนใดประสบปัญหา คนในครอบครัวก็ยากจะเป็นสุข