สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 96.4 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (4)
รอยยิ้มสดใสที่มาจากฉู่สวินหยางตรงหน้า ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา ทว่ารอยยิ้มในดวงตานั้นกลับถูกย้อมไปด้วยความรู้สึกที่ห่างไกลและลุ่มลึก พูดทุกคำอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า “แม้แค่ฝันข้าก็ยังไม่กล้าคิด ภายในค่ายทหารเมืองฉู่ก็คงมีคนของเจ้าอยู่ในนั้นเช่นกัน แผนยุให้แตกคอกันนี่ เห็นผลอย่างรวดเร็วจริงๆ ด้วย…”
ในขณะที่นางพูดก็ตวัดสายตากลับมามองอย่างสง่างาม “หากที่ข้าคาดไว้มิผิด เวลานี้ท่านหญิงอันเล่อคงจะเปลี่ยนเส้นทางกลับจวนไป ‘ปลอบใจ’ ฮองเฮาของพวกเราที่วังโซ่วคังแทนแล้วล่ะสิ? และผลของการปลอบใจก็คือ…หลัวฮองเฮาที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสอดมือไปยุ่งกับราชกิจอย่างรู้หน้าที่บัดนี้คงจะโกรธจนผมตั้ง อารมณ์เปลี่ยนอย่างกับคนละคน!”
ฮ่องเต้ไม่มีแผนจะเปลี่ยนรัชทายาท หากต้องการจะให้ฉู่อี้อันหลุดพ้นจากความโปรดปราน หลัวฮองเฮานั้นถือเป็นใบมีดที่คมที่สุด
ใช้หลัวอี้เป็นฉากหน้า บีบหลัวฮองเฮาให้เป็นสุนัขจนตรอกจำต้องยอมร่วมมือ แผนของฉู่ฉีเหยียนครั้งนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน
แววตาของฉู่ฉีเหยียนสีเข้มขึ้น ไม่พบความเยือกเย็นและโกรธแค้นแต่อย่างใด แต่กลับเห็นประกายในตาของเขาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
สักพักก็ถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “สวินหยาง บางครั้งการที่ผู้หญิงฉลาดเกินไปก็ไม่ได้เป็นเรื่องดีแต่อย่างใด! แม้มีบางเรื่องที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ก็ไม่ควรจะนำออกมาพูด!”
“อย่างนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางแย้มยิ้ม “ข้าเพียงคิดว่า คนเรานั้นมีวิธีให้เลือกตายอยู่มากมาย แต่ที่ไม่ควรเลยก็คือตายเพราะความโง่ของตน แล้วก็…จุดยืนของเจ้ากับข้าก็ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว พวกเราเป็นศัตรูกันมิใช่หรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนกัดริมฝีปาก ไม่พูดสิ่งใดออกมา
การต่อสู้ของผู้มีอำนาจแต่ไหนแต่ไรก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ยังคงเป็นคำพูดที่ฉู่สวินหยางวิจารณ์ฉู่ฉีฮุยไว้ก่อนหน้า…
รังที่พลิกคว่ำไปแล้วอย่างไรไข่ก็ต้องแตก!
ในเมื่อจุดยืนของทั้งสองฝ่ายถูกกำหนดไว้แล้ว คนสองกลุ่มใหญ่ที่เป็นปรปักษ์กันเช่นนี้ก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดเขาจึงต้องมารอนางที่นี่ สถานการณ์ระหว่างพวกเขานั้นอยู่ในขั้นที่ว่าแทบจะไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่ว่า…
ในห้องทรงอักษรเมื่อครู่ ฉากที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายต่อต้านกันไปมากลับทำให้ในใจเขารู้สึกกดดันและไม่มีความสุขอย่างแปลกประหลาด
“ช่างเถอะ เจ้าก็ถือซะว่าวันนี้พวกเราไม่เคยเจอกันเถิด!” ท้ายที่สุดฉู่ฉีเหยียนจึงสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าว
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ทว่ากลับมาเสียท่าเผยเสียงถอนหายใจอ่อนแรงในตอนท้าย
ฉู่สวินหยางตกตะลึงไป ในรอยยิ้มที่ปรากฏยังแฝงไว้ด้วยความมึนงงชั่วขณะ
นางก้าวเท้าเดินไปทางด้านหน้า
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วมองตามหลังนาง แม้ว่าสติของเขาเตือนให้เขาหยุดเพียงเท่านี้ แต่ว่าสุดท้ายกลับอดที่จะกล่าวขึ้นอีกครั้งไม่ได้ “อำนาจไม่ได้เป็นเรื่องสนุกอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะตอนที่อยู่ใกล้หูใกล้ตาของฝ่าบาท เจ้าคิดให้ดีๆ ก็แล้วกัน!”
หรือจะหมายถึง เรื่องของฉู่เยว่เหยียนที่นางปั้นขึ้นมา
ช่างคลุมเครือ…
ราวกับกำลังตักเตือน?
ฉู่สวินหยางก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้ล้ำลึก
“ในเมื่อข้ากล้าทำ ก็ไม่เกรงกลัวว่าผู้อื่นจะใช้จุดอ่อนนี้มาบีบข้าได้หรอก” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด พูดได้เพียงครึ่งเดียวก็เปลี่ยนท่าที น้ำเสียงดูทุ้มลึก “แน่นอน…ข้าไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดสามารถจับจุดอ่อนของข้าได้!”
ก็เหมือนกับฉู่ฉีเหยียนที่สบโอกาสใช้แผนช่วงที่หลัวอี้กำลังวุ่นวาย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งหมดเป็นแผนของเขา คนแบบพวกเขา ในเมื่อได้ลงเดินบนเส้นทางสายนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่ทำด้วยความรอบคอบที่สุด ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ข้อบกพร่องเกิดขึ้นเพื่อกลายเป็นจุดอ่อนที่ผู้อื่นนำมาใช้โจมตีตน
ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านหลังเกิดแต่เพียงความเงียบ
ใจของฉู่สวินหยางสั่นสะท้านราวกับคิดอะไรออก ก่อนจะหยุดก้าวเดินหันกลับไปเลิกคิ้วให้กับเขา “เมื่อครู่ในห้องทรงอักษร ไม่สะดวกที่จะพูด มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะยืนยันจากปากของเจ้า!”
ฉู่ฉีเหยียนเดิมทีกำลังเหม่อลอย ไม่ทันได้คิดว่านางจะหันกลับมา จึงมองตามไปอย่างใจลอยโพล่งออกมา “อะไร?”
“ทั่วป๋าไหวอัน…” ฉู่สวินหยางกล่าว ครุ่นคิดพลางค่อยๆ เอ่ยปาก “หากข้าเดาไม่ผิด ที่ท่านอาคาดเดาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ถูกทั้งหมดใช่หรือไม่?”
ฉู่ฉีเหยียนตกใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะในลำคอ กล่าวกลับไป “รู้ตั้งแต่ตอนไหน?”
“เมื่อคืนวานคนที่เข้าพิธีคำนับฟ้าดินกับซูหว่านไม่ใช่ทั่วป๋าไหวอันแน่ๆ แต่ว่าเวลาที่เขาเตรียมจะออกจากเมืองก็ไม่ใช่เมื่อวานเช่นกัน!” ฉู่สวินหยางกล่าว “เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องทรงอักษร ข้ามาคิดดูดีๆ แล้ว ไม่กี่วันมานี้ล้วนแต่พูดว่าจวนขององค์ชายห้าวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมพิธีแต่งงาน ทั้งยังมีบางคนพูดว่าพบทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองไปปรากฏตัวที่ร้านหยกและร้านอัญมณีใหญ่เพื่อเลือกซื้อของด้วยตนเอง ทว่าในจวนของเขากลับปิดประตูไม่รับแขกมาตลอด ผู้ที่ได้ติดต่อกับเขาจริงๆ แม้แต่อำมาตย์ที่เขาคลุกคลีครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้พูดคุยกันต่อหน้า หากเมื่อวานคนที่ปรากฏตัวในพิธีแต่งงานล้วนเป็นกลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา[1]ที่เอามาแทน…ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถเดาได้ไหมว่า แท้ที่จริงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้ที่ไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆและเรียกตัวเองว่า ‘องค์ชายห้า’ นั้นก็ไม่ใช่ตัวเขาเอง?”
หากดูจากสถานการณ์ที่เมื่อวานทั่วป๋าอวิ๋นจีอยากจะออกจากเมืองไปอย่างลับๆ เวลานั้นทั่วป๋าไหวอันก็น่าจะออกจากเมืองไปแล้ว ทั่วป๋าอวิ๋นจีกลัวว่าเมื่อเรื่องแดงขึ้น นางก็จะกลายเป็นแพะรับบาปแทน ดังนั้นจึงรีบเร่งตามไปด้วย เพื่อที่จะหนีออกไป ถ้าเป็นอย่างนั้น…
เวลาที่ทั่วป๋าไหวอันหนีไป แน่นอนว่าไม่ใช่ช่วงเย็น
แต่เมื่อคิดไปคิดมา ฉู่สวินหยางก็ยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด…
ทั่วป๋าไหวอันคงจะรู้ว่า หากว่าเขาหลบหนี ฮ่องเต้ต้องออกคำสั่งไล่ล่าเขาอย่างลับๆ เวลาเพียงหนึ่งวัน สำหรับเขาแล้วนับว่าเสี่ยงเกินไป
ในเมื่อเขาสามารถปลอมตัวคนอื่นมาแทนพิธีแต่งจริงๆ ได้ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดจึงไม่ใช่วิธีนี้ล่วงหน้าไปก่อนเล่า? ทั้งตัวเองก็ยังได้มีเวลาจัดการเรื่องที่จะตามมาอีกด้วย
เรื่องนี้ แม้แต่พวกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างฮ่องเต้และรุ่ยชินอ๋องก็ยังมองไม่ออก ทว่าฉู่สวินหยางกลับมองทะลุปรุโปร่ง
ในใจของฉู่ฉีเหยียนสั่นไหว ใช้ท่าทีที่เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมองดูนาง ไม่ปริปากพูดใดๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ฉู่สวินหยางเห็นท่าทีที่ตอบกลับของเขาเช่นนั้นก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่นางแคลงใจได้ทันที พยักหน้ากล่าว “ไม่ว่าจะเป็นแผนของเขาหรือเป็นกลอุบายของเจ้า ในเมื่อเจ้ายื่นมือมาช่วยเขา ก็รับรองได้ว่าเรื่องนี้ต้องไร้ข้อผิดพลาด มิเช่นนั้นหากเรื่องเกิดผิดพลาดขึ้นมา ที่เจ้าทำมาก็เสียเปล่าแล้ว ถ้าเช่นนั้น วันที่ฮ่องเต้มีราชโองการสมรสพระราชทาน วันนั้นเขาก็ได้หลบหนีออกจากเมืองไปอย่างลับๆ ภายใต้การปิดบังของเจ้าแล้ว? จากการเดินทางแล้ว เวลานี้…”
ฉู่สวินหยางคำนวณขึ้นมาอย่างทันที หันกลับไปมองยังทิศทางของโม่เป่ยกล่าว “อย่างมากคือสองวัน เขาก็สามารถไปถึงราชสำนักโม่เป่ยได้ ถึงเวลานั้นทหารที่ฝ่าบาทส่งไล่ตามไปไกลเกินพันลี้ นั่นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
จวนอ๋องหนานเหอถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวดองกับโม่เป่ย แต่ถ้ามองจากเรื่องที่ฉู่ฉีเหยียนช่วยทั่วป๋าไหวอันให้รอดตัวจากเรื่องนี้…
หากภายภาคหน้าทั่วป๋าไหวอันได้ควบคุมโม่เป่ย โม่เป่ยก็เท่ากับเป็นพันธมิตรของจวนอ๋องหนานเหอแล้ว!
ด้านหนึ่งลอบลงมือกับหลัวอี้เพื่อให้หลัวฮองเฮาแทรกแซงการต่อสู้ในราชสำนัก อีกด้านหนึ่งก็ดึงทั่วป๋าไหวอันมาเป็นพวกด้วยการช่วยเหลือ…
ฉู่ฉีเหยียน ฝีมือของเจ้านับว่าร้ายกาจเลยทีเดียว!
ฉู่สวินหยางฉีกยิ้มที่มุมปาก เรื่องราวล้วนรู้ชัดเจนแล้วก็ไม่อยากจะเสียเวลากับเขาอีกต่อไป แย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกเดินอีกครั้ง จากไปด้วยท่าทีสบายๆ
ฉู่ฉีเหยียนยังยืนอยู่ที่เดิมไม่จากไปไหน ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
เนิ่นนาน รอจนรวบรวมสติกลับมาแล้วจึงค่อยสะบัดเสื้อคลุมอย่างเป็นเอกลักษณ์เดินไปยังด้านหน้า ขณะกำลังเลี้ยวผ่านซุ้มประตูโค้งหนึ่ง ตรงหน้ากลับพบคนที่เข้ามาหาอย่างเร่งรีบด้วยท่าทีเป็นกังวล “ซื่อจื่อ!”
เป็น…
ซูหว่าน!
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองนางด้วยความหงุดหงิดใจ พยักหน้าด้วยใบหน้าที่เยียบเย็น “พระชายาองค์ชายห้า?”
ใบหน้าซูหว่านค่อยๆเปลี่ยนสี ความเขินอายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความลำบากใจ
นางมองดูใบหน้าเย็นชาของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกถึงความน้อยใจที่กดอยู่ในใจทั้งหมดต่างก็พรั่งพรูออกมา น้ำตาก็ตีรื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หมุนวนอยู่ในขอบตานั้น
นางพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่นอย่างสุดความสามารถ ฝืนเอ่ยปากออกไป “ข้าไม่ใช่พระชายาองค์ชายห้า ซื่อจื่อ เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทรงอักษรเมื่อครู่ท่านก็รู้หมดแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ของข้าและทั่วป๋าไหวอันถือว่าไม่นับ และเดิมทีข้าก็ไม่…”
“พระชายา!” ฉู่ฉีเหยียนไม่รอให้นางพูดจบก็เอ่ยตัดบท ก่อนจะถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวเพื่อให้เหลือช่องว่างระหว่างนาง “ท่านและทั่วป๋าไหวอันได้รับราชโองการแต่งงานจากฝ่าบาท ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเกิดความผิดพลาด แต่ท้ายที่สุดก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินใจ ระหว่างนี้ ขอท่านอย่าได้ทำอะไรโดยพลการจะดีกว่า!”
พูดจบก็เดินผ่านด้านข้างนางไป
ซูหว่านตกตะลึง ในใจพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและหมดหวังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้อยู่ภายในวัง
หมุนกายคุกเข่าดึงชายเสื้อคลุมเขาไว้อย่างทันที
[1] กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา อุปมาถึง การเสียสละสิ่งเล็กน้อยเพื่อให้ได้มาเพื่อชัยชนะ