สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 97.1 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (1)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1
- บทที่ 97.1 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (1)
ฉู่ฉีเหยียนถูกรั้งฝีเท้าเอาไว้ แต่ด้วยมารยาทที่ถูกปลูกฝังมาจะใช้เท้าถีบนางออกไปก็ไม่ได้ เพียงชั่วครู่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นโกรธ และเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกว่า “พระชายา โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของท่านด้วย!”
เวลานี้ซูหว่านได้ละทิ้งความจริงจังและอวดดีของตนเองไปหมดสิ้นแล้ว นางไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพียงเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตาอาบหน้าและขอร้องว่า “ซื่อจื่อ ช่วยข้าด้วย ถึงยังไงเรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าช่วยไปขอความเมตตาจากฝ่าบาทแทนข้าหน่อย ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้แน่”
ที่นี่เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ทั้งสองคนมายื้อยุดฉุดกระชากกันแบบนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ
ความโกรธในใจของฉู่ฉีเหยียนพุ่งขึ้นมาจนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ เขาก้มมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ให้ข้าไปขอความเมตตาแทนเจ้ารึ? ถือดีอย่างไร?”
ซูหว่านลุกลี้ลุกลน จนไม่ได้สังเกตนัยน์ตาแสนเย็นชาสักนิด
นางหลบตาอย่างทั้งสับสนและเขินอาย จนไม่สบสายตาฉู่ฉีเหยียนโดยตรง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ความรู้สึกที่ข้ามีต่อซื่อจื่อ ซื่อจื่อไม่เข้าใจงั้นรึ?”
ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนที่ความรู้สึกไวขนาดไหน ซูหว่านมีใจให้เขา เขาเองก็มองออกตั้งนานแล้ว เพียงแต่ต้องรักษามิตรภาพและผลประโยชน์เอาไว้จึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาตลอด
ครั้งนี้ซูหว่านอับจนหนทางแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงต้องทุ่มสุดตัว
ความโกรธของฉู่ฉีเหยียนปะทุขึ้นมาเมื่อนางรั้งเขาไว้ เวลานี้ต้องมาฟังคำพูดรนหาที่ตายของนางอีก ทันใดนั้นจึงหัวเราะเยาะออกมาว่า “พระชายาองค์ชายห้า ข้ารู้ว่าเพราะเรื่องการแต่งงานของซูซื่อจื่อกับพี่สาวข้า พวกเจ้าตระกูลซูก็แค้นจวนอ๋องหนานเหอมาตลอด ดังนั้นเจ้ามาใช้ลูกไม้แบบนี้อยากให้ข้าตายรึไง?”
ซูหว่านนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตกตะลึงจนน้ำตาหยุดไหล แล้วรีบเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัย และถามอย่างหวาดหวั่นว่า “ซื่อจื่อหมายความว่ายังไง?”
สีหน้าฉู่ฉีเหยียนทั้งเย้ยหยันและเย็นชา เขายืนนิ่งไม่ขยับ เพียงก้มมองหน้านาง “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้แต่งงาน ตามหลักก็ถือว่าเวลานี้เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายโม่เป่ยแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาพูดกับข้าในสถานที่สำคัญอย่างวังหลวงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้…เจ้าอยากยืมมือฝ่าบาทลงโทษข้าโทษฐานที่ขัดขืนรับสั่งรึ? แล้วเจ้าก็จะแก้แค้นให้พี่ชายเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
หัวใจของซูหว่านเต้นช้าลงทันที นางโบกมืออย่างลนลาน สายตาหวาดกลัวสอดส่ายไปทั่วว่า “ไม่ใช่…ไม่ใช่…ข้า…ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย เรื่องพี่ชายข้ากับท่านหญิงอันเล่อเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยเกลียดใครเลย และข้า…ข้ายิ่งไม่ทำร้ายเจ้าเด็ดขาด!”
ซูหว่านอธิบายอย่างร้อนรน สายตาทั้งกระวนกระวายใจและโหยหา นางมองฉู่ฉีเหยียนอย่างกระอักกระอ่วน
ฉู่ฉีเหยียนเพียงยิ้มเยาะให้นางอย่างเยือกเย็น
ซูหว่านคิดว่าเขาโมโหเพราะการกระทำของตนเอง จึงรีบหดมือกลับเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
ฉู่ฉีเหยียนยกยิ้มมุมปากอย่างเฉยชา และก้มตัวจัดเสื้อผ้าที่นางจับจนยับให้เรียบร้อยอย่างไม่รีบร้อน
ซูหว่านจับชายเสื้อด้านหน้าของตนเองแล้วลุกขึ้นมา พลางเอ่ยอย่างไม่สบายใจและหวาดหวั่นว่า “ขออภัยซื่อจื่อ ข้า…ข้าแค่วุ่นวายใจไปเพียงชั่วครู่ ไม่ได้ต้องการทำร้ายเจ้า เจ้าอย่าเข้าใจผิด!”
ฉู่ฉีเหยียนมองนางอย่างเรียบเฉย แล้วหมุนตัวจากไป
ซูหว่านรีบร้อนจะตามไป อยากยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อเขา แต่พอคิดถึงคำพูดของเขาเมื่อครู่ นิ้วมือก็พลันชะงักงันไปแล้วฝืนใจหดมือกลับมา ทำได้เพียงวิ่งออกไปกางแขนขวางหน้าเขาไว้
“ซื่อจื่อ!” นางเอ่ยปาก น้ำตาพลันร่วงอีกในชั่วพริบตา พลางมองฉู่ฉีเหยียนว่า “ถือว่าเห็นแก่ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าเถอะ ไม่ว่ายังไงครั้งนี้เจ้าก็ต้องช่วยข้า! ท่าทีที่ฝ่าบาทมีต่อทั่วป๋าไหวอันคาดเดาได้ยาก ถ้าพาลมาโกรธข้าด้วย ข้าตายแน่ เจ้าช่วยข้าสักครั้ง ข้า…ข้า…”
นางพูดไปก็พูดจาสะเปะสะปะบ้าง สายตาหลบมองต่ำ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนแรงว่า “ข้าจะจดจำบุญคุณของเจ้าในครั้งนี้ไว้ และจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน!”
แค่ซูหว่านคนเดียวไม่มีทางส่งผลกระทบต่อท่าทีและจุดยืนของคนตระกูลซูได้มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ฉู่ฉีเหยียนมีแต้มต่อมากกว่าทั่วป๋าไหวอัน ไม่ว่าทั่วป๋าไหวอันกับซูหว่านจะแต่งงานกันจริงหรือไม่ ตราพระชายาขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยก็เหมือนประทับอยู่บนตัวนางแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ได้คิดกับซูหว่านแบบนั้น ต่อให้ซูหว่านจะเป็นหญิงที่งดงามกว่าผู้ใดจริง…
เขาก็คงไม่แส่หาเรื่องให้ตนเองเพื่อผู้หญิงคนนี้โดยไม่จำเป็นหรอก
เดิมฉู่ฉีเหยียนก็หงุดหงิดมากอยู่แล้ว จึงแค่มองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณจากเจ้า และไม่ต้องการการตอบแทนจากเจ้าด้วย เห็นแก่ที่พวกเราสองตระกูลเคยไปมาหาสู่กัน ข้าบอกเจ้าได้อย่างหนึ่งเลยว่า…เรื่องการแต่งงานของเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่ายังไงฝ่าบาทก็ไม่มีทางถอนรับสั่งแน่นอน อีกอย่าง…พระองค์ก็จะต้อนรับโม่เป่ยอย่างสมเกียรติต่อไป เจ้าก็ทำใจให้สบายทำหน้าที่พระชายาของเจ้าไปเถอะ!”
สีหน้าเขาเย็นชาไร้อารมณ์และไม่มีความล้อเล่นแม้แต่น้อย
ซูหว่านมองเขาอย่างตกตะลึง แค่รู้สึกว่าหน้าของเขายังคงหล่อจนสะกดใจคน แต่ความเย็นชาที่ปล่อยออกมาอย่างน่าประหลาดนั้นกลับทำให้นางรู้สึกตัว
ฉู่ฉีเหยียนไม่มีความอดทนให้นางกวนใจได้อีกต่อไปแล้ว เขาเหลือบมองนางอย่างเฉยเมยแล้วหันตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาก้าวเดินจากไปอย่างมั่นคง ไม่มีความอาลัยอาวรณ์และลังเลแม้แต่น้อย
ซูหว่านยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม คิดถึงคำพูดปฏิเสธที่แสนเย็นชาของเขาเมื่อครู่ ในใจราวกับถูกลมหนาวพัดกระแทกจนเป็นรอยแตกร้าว เลือดทั้งกายจับตัวแข็ง ราวกับทั้งหมดแข็งตัวอยู่ในหลอดเลือด
สายตาของนางเลื่อนลอย มองภาพเงาด้านหลังที่หล่อเหลาและสง่าผ่าเผยของคนคนนั้นค่อยๆ ห่างออกไป ทันใดนั้นก็คล้ายกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง นางถอยหลังไปสองก้าวอย่างหมดหวัง และไม่ทันระวังจึงเหยียบชายกระโปรงที่ยาวรุ่มร่ามเข้า แต่กลับมีคนช่วยประคองจากด้านข้าง
“ท่านหญิงซูระวังด้วย!” เสียงผู้หญิงนุ่มนวลอ่อนโยน ฟังยังไงก็รู้สึกถึงความห่วงใย
ซูหว่านหันกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัว แล้วก็เห็นใบหน้าบอบบางและขาวเล็กน้อยของหลัวอวี่ก่วนยิ้ม
ซูหว่านตกใจ จึงระวังตัวขึ้นมาในพริบตา แล้วผลักมือของนางให้ถอยไปด้านข้างสองก้าว พลางถามสีหน้าขรึมว่า “ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”
ที่นี่เป็นทางที่ต้องผ่านเพื่อออกจากวัง หลัวอวี่ก่วนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ ต้องไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
สีหน้าหลัวอวี่ก่วนคล้ายกับกระอักกระอ่วน แต่ยังยิ้มอย่างมั่นใจและหวังดีว่า “ข้าขออนุญาตฮองเฮากลับจวน จึงผ่านมาพอดี”
ซูหว่านหน้านิ่งไป สีหน้าท่าทางยิ่งระวังตัวมากขึ้น แล้วโพล่งถามออกไปว่า “งั้นเจ้าก็เห็นเรื่องเมื่อครู่หมดแล้วรึ?”
“ท่านหญิงซู ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” หลัวอวี่ก่วนรีบอธิบาย “ข้าแค่ต้องออกจากวังจึงโชคไม่ดีผ่านมาตรงนี้พอดี ไม่ได้ตั้งใจแอบดู เพียงแต่ก่อนหน้านี้เห็นซื่อจื่ออ๋องหนานเหอกับท่านหญิงสวินหยางอยู่ด้วยกัน ท่าทางเหมือนมีเรื่องต้องคุยกันอยู่ด้านหลังตรงนั้นพอดี ข้าไม่กล้ารบกวน รออยู่ครู่หนึ่งถึงได้บังเอิญเจอเจ้าอีก!”
สีหน้านางว้าวุ่นใจ พูดไปก็เหมือนกลัวว่าซูหว่านจะไม่เชื่ออีก จึงก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ลองจับมือซูหว่านแล้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยสบายใจว่า “ข้าไม่ใช่คนขี้นินทาไร้สาระแบบนั้น ท่านหญิงซู หรือเจ้ายังต้องให้ข้าสาบานต่อฟ้าอีกงั้นรึ?”
ซูหว่านอยากจะสะบัดมือนางทิ้งอย่างรังเกียจ แต่ว่าฟังสิ่งที่นางเอ่ยถึงอย่างไม่ได้ตั้งใจท่อนหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แต่ยังต้องอดทนทำเป็นนิ่งไว้ จึงแค่มองและถามนางอย่างสงสัยว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นซื่อจื่ออ๋องหนานเหออยู่ด้วยกันกับฉู่สวินหยางรึ? พวกเขาทำอะไรด้วยกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้” หลัวอวี่ก่วนตอบ นัยน์ตาทอประกาย แต่กลับทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ “น่าจะแค่บังเอิญเจอกันพอดีเช่นกัน ตอนนั้นข้าก็ไม่กล้ารบกวน แต่ดูท่าทางสองคนจะคุยกันถูกคอ หยุดคุยกันอยู่ด้านหลังครู่ใหญ่เชียว!”
ซูหว่านมีสีหน้าตกใจ และเข้าสู่ภวังค์ทันที
หลัวอวี่ก่วนรออยู่ชั่วครู่ เห็นนางยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงย่อตัวคารวะก่อนว่า “ข้ามีธุระที่บ้าน ต้องรีบกลับไป คงต้องขอตัวก่อน”
ซูหว่านได้สติกลับมา แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว พลางจับมือนางไว้ว่า “พอดีข้าจะออกไปนอกวังเหมือนกัน งั้นไปด้วยกันเถอะ!”
หลัวอวี่ก่วนมองนางอย่างประหลาดใจ และเอ่ยด้วยสีหน้าลังเลว่า “เอ่อ…”
“เมื่อครู่ข้าลืมตัวเสียมารยาทไป เจ้าอย่าถือสาเลย…” ซูหว่านเอ่ย พลางทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้านาง แล้วคล้องแขนลากนางให้เดินต่อไปอย่างสนิทสนม
หลัวอวี่ก่วนเห็นนางเหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องก่อนหน้าแล้วก็วางใจตามไปด้วย จึงออกไปนอกวังพร้อมกับนาง
ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะไปตลอดทางเดินที่ออกไปด้านนอก
เวลานี้หลัวอวี่ก่วนคอยติดตามหลัวฮองเฮาจึงพักอยู่ในวัง ครั้งนี้นางต้องออกจากวังชั่วคราว หลัวฮองเฮาก็ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องของตนเองจนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องคนอื่น นางจึงให้คนแจ้งกลับไปที่จวนหลัวกั๋วกงก่อนและให้ฮูหยินรองหลัวส่งรถม้ามารับแล้ว
ตอนที่ทั้งสองคนเดินมาถึงประตูวังนั้น รถม้าของตระกูลหลัวยังไม่มา หลัวอวี่ก่วนบอกลาซูหว่านว่า “ท่านหญิงซูไปก่อนเถอะ แม่ข้าบอกว่าอีกครู่จะให้คนมารับข้า!”