สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 97.2 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (2)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1
- บทที่ 97.2 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (2)
“ตรงนี้อากาศเย็นมากและไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ ข้าก็ไม่มีธุระพอดี ข้าไปส่งเจ้าด้วยแล้วกัน!” ซูหว่านเอ่ยจบก็เหยียบที่วางเท้าเข้าไปในรถม้าก่อน
หลัวอวี่ก่วนลังเล ราวกับเป็นกังวล
ซูหว่านรออยู่ในรถม้าชั่วครู่ ไม่เห็นนางขึ้นไปก็โผล่ศีรษะออกมายื่นมือให้อีก แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรว่า “มาสิ!”
น้ำใจลึกซึ้งช่างยากที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งอากาศช่วงเดือนมกราคมยังหนาวเหน็บขนาดนี้…
หลัวอวี่ก่วนชั่งใจ ก่อนจะกัดฟันขึ้นรถม้าตามไป และเอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้งว่า “วันนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้วจริงๆ!”
“ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นทางผ่านพอดี!” ซูหว่านยิ้ม นางรินชาสองถ้วย แล้วส่งถ้วยหนึ่งมาใกล้มือนาง พลางอมยิ้มว่า “อากาศหนาว ดื่มชาร้อนให้ร่างกายอุ่นสักหน่อยเถอะ!”
“ขอบใจ!” หลัวอวี่ก่วนประคองถ้วยนั้นไว้ในมือ พลางก้มลงจิบไปสองอึกเงียบๆ คิดแล้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ จึงเงยหน้ามองซูหว่านอีกครั้งว่า “ท่านหญิงซู เรื่องที่วังก่อนหน้านี้ขออภัยด้วยจริงๆ เจ้าเชื่อข้า ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
“งั้นหรือ?” ซูหว่านยิ้มเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปยังชาร้อนถ้วยที่วางอยู่ตรงหน้าตนเอง ไม่รู้ว่าแววตาและสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกตั้งแต่เมื่อไหร่ นางค่อยๆ เอ่ยว่า “ข้าก็อยากจะเชื่อเจ้า แต่เจ้าคิดว่าทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”
หลัวอวี่ก่วนนึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ นางจะโกรธขึ้นมา จึงอดที่จะอึ้งไปไม่ได้ “เจ้า…”
ซูหว่านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้น มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย เยือกเย็นหาใดเปรียบ
หลัวอวี่ก่วนตกใจ นางขดตัวถอยไปด้านหลังด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ทันใดนั้นราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันตัวกระโจนไปเกาะหน้าต่าง แล้วผลักหน้าต่างออกไปดูข้างนอก
“นี่ไม่ใช่ทางไปจวนหลัวกั๋วกงของข้า!” หลัวอวี่ก่วนเอ่ยอย่างตกใจ นางเบิกตาโตและหันไปมองซูหว่านอย่างไม่อยากเชื่อทันที “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหน? ซูหว่าน เจ้า…เจ้าปล่อยข้าลงไป!”
นางเอ่ยพลางหันตัวกระโจนไปทางประตู!
“จับตัวนางไว้!” สีหน้าซูหว่านเข้มขึ้น นางตวาดเสียงเย็นเยียบ
สาวใช้สองคนที่นั่งอยู่ตรงมุมรถฉวยโอกาสพุ่งเข้าไป สองคนรวมแรงกันกดตัวหลัวอวี่ก่วนไว้บนพรมหนังแกะหนาที่ปูอยู่ในรถม้า
หลัวอวี่ก่วนถูกสองคนกดเอาไว้ นางหันไปมองซูหว่านอย่างตื่นตระหนกตลอด แล้วเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าจะทำอะไร? เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ? ฮองเฮารู้ว่าข้าออกจากวังมา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้าล่ะก็…องครักษ์ที่เฝ้าประตูวังเมื่อครู่ต้องเห็นหมด เจ้าไม่รอดแน่!”
“ข้าเพียงแต่ไปส่งเจ้าด้วยความหวังดีเท่านั้น พวกเขาเห็นแล้วยังไงเล่า?” ซูหว่านกลับไม่หวั่นเกรง และแค่มองนางอย่างเย็นชาว่า “จะโทษก็โทษที่เจ้าดันไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น อย่างที่เจ้าว่ามา เจ้าเป็นคนที่คอยติดตามฮองเฮาอย่างใกล้ชิดเสมอ ถ้าหากวันไหนไว้ใจปากเจ้าไม่ได้ล่ะ…”
นางพูดไปก็ถอนหายใจหนัก แล้วลุกไปยกชาที่หลัวอวี่ก่วนดื่มไปครึ่งหนึ่งบนโต๊ะมาและบีบปากนางจะเทกรอกลงไป
“ชานี้…” หลัวอวี่ก่วนพลันเข้าใจบางอย่างทันที และพยายามฝืนปิดปากเอาไว้
“วางใจเถอะ แค่ใส่ยาสลบไปนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าจะวางยาพิษเจ้าจริงๆ ข้าคงแก้ตัวลำบากเหมือนกัน!” ซูหว่านก็หงุดหงิดเหมือนกัน
คำพูดของฉู่ฉีเหยียนก่อนหน้านี้ไม่ได้เกินจริงไปเลยสักนิด ตอนนั้นนางเองก็จนตรอกถึงได้ลืมไปว่ายังอยู่ในวัง หากปล่อยให้เรื่องนี้ไปถึงหูฮ่องเต้จริง นางกับฉู่ฉีเหยียนได้ซวยแน่
ยังมีหลัวอวี่ก่วนที่น่ากังวลอีก
รู้อยู่แก่ใจว่าชานี้มีปัญหา แล้วหลัวอวี่ก่วนจะยอมดื่มได้ยังไง? แต่อีกฝ่ายคนเยอะย่อมได้เปรียบกว่า นางสลัดไม่หลุดจริงๆ ทว่าในขณะที่ไร้ทางเลือกกลับเอ่ยเสียงดังว่า “ไม่! เจ้าปล่อยข้าไป…ท่านหญิงซู แล้วข้าจะบอกเจ้า…เจ้าไม่อยากรู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงให้เจ้าแต่งงานกับองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยงั้นหรือ?”
ซูหว่านชะงักงัน หลัวอวี่ก่วนฉวยโอกาสใช้ไหล่กระแทกอย่างแรงให้ถ้วยชาในมือนางคว่ำไป
ซูหว่านพาลโกรธขึ้นมา ตอนที่กำลังหันตัวไปหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะ หลัวอวี่ก่วนก็เอ่ยอีกว่า “ฝ่าบาทไม่ได้ตั้งใจให้เจ้าแต่งไปโม่เป่ยตั้งแต่แรก เดิมทีฝ่าบาทจะให้ท่านหญิงสวินหยางแต่งงานต่างหาก!”
ทีแรกซูหว่านแค่คิดว่านางพูดไปเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ก็รู้สึกว่าพอฟังขึ้นอยู่บ้าง จึงหันกลับมามองอย่างระแวง
“จริงนะ ข้าไม่ได้หลอกเจ้า!” หลัวอวี่ก่วนไม่ได้สนใจอะไรมากแล้ว นางเอ่ยทั้งน้ำตาไหลอาบหน้าว่า “แต่เพราะความเข้าใจผิดในงานเลี้ยงราชสำนัก ฝ่าบาทจึงทรงอยากปลอบใจองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ย และยังตั้งพระทัยให้ฮองเฮาช่วยเป็นธุระด้วย กลัวแต่ท่านหญิงสวินหยางจะไม่ตกลง วันที่ 1 ที่สนมมาเข้าเฝ้านั้นฮองเฮายังเคยพระราชทานรางวัลมาให้ตั้งมากมาย เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดี”
“เจ้าจะบอกว่าของรางวัลของฮองเฮาใช้เพื่อทำเรื่องนี้ให้สำเร็จหรือ?” ซูหว่านเอ่ยอย่างลังเล และจ้องใบหน้านางระยะประชิดอย่างเย็นชา
“เดิมฮองเฮาก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว หากไม่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น อยู่ดีๆ จะให้เกียรตินางมากขนาดนั้นทำไมกัน?” หลัวอวี่ก่วนถาม “เจ้าเชื่อข้า เรื่องจริงแท้แน่นอน แต่เพราะหลังจากนั้นคังจวิ้นอ๋องออกหน้าไม่รู้ว่าใช้วิธีไหนถึงโน้มน้าวให้พี่ชายเจ้าออกหน้าได้ ฝ่าบาทถึงได้เปลี่ยนพระทัยในท้ายที่สุด และไม่ได้ประกาศเรื่องท่านหญิงสวินหยางออกไป”
ถึงแม้ซูหว่านจะไม่พอใจกับเรื่องแต่งงาน แต่ยังไม่ถึงกับโทษซูหลินอย่างไร้เหตุผล เพราะว่าคืนนั้นนางหายไปด้วยกันกับทั่วป๋าไหวอันจริง ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้ก็ต้องเปิดเผยออกมา แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าตนเองต้องมารับกรรมแทนฉู่สวินหยางในวินาทีสุดท้าย ความเดือดดาลในใจก็ยังพลุ่งพล่านขึ้นมา
“ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อ จะกลับไปถามซูซื่อจื่อก็ได้!” หลัวอวี่ก่วนคิดแต่จะหนีให้พ้น จึงเอ่ยโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นว่า “เขาต้องรู้เรื่องทั้งหมดแน่ น่าจะกลัวเจ้ารู้สึกน้อยใจถึงได้ไม่บอกเจ้า!”
ซูหว่านอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และมองนางไม่วางตาอยู่นาน
หลัวอวี่ก่วนมองนางอย่างวิงวอน…
ซูหว่านแทบจะเหมือนคนบ้า นางคิดว่าจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้แล้วจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ สู้ยอมใช้วิธีอื่นดีกว่า
ซูหว่านยังเงียบไปอีกครู่ใหญ่ สุดท้ายพอได้สติก็มองหลัวอวี่ก่วนอีกรอบ แต่กลับหัวเราะเสียงเย็นยะเยือกออกมา แล้วบีบปากนางอย่างแรง
หลัวอวี่ก่วนหวาดกลัวจนหน้าถอดสี ไม่ต้องรอให้ร้องตะโกน ซูหว่านก็ถือกาน้ำชามาจ่อปากนางแล้วเทลงไปทันที
หลัวอวี่ก่วนดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ ซูหว่านเทชาจนหมดแล้วใช้ผ้าอุดปากนางไว้ แล้วสั่งให้สาวใช้มัดนางและทิ้งไว้ในมุมรถม้า
ชากาหนึ่งหกไปเกินครึ่ง แต่ปริมาณที่เหลือก็พอจะทำให้หลัวอวี่ก่วนหลับไปสักพักหนึ่ง
สาวใช้สองคนจัดการเสร็จแล้วต่างก็รู้สึกหวาดกลัว จึงอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยว่า “ท่านหญิง ยังไงนางก็เป็นคุณหนูของจวนหลัวกั๋วกง จริงๆ จะ…”
“หุบปาก!” ซูหว่านเอ่ยอย่างเดือดดาล นัยน์ตาทอประกายตาเย็นชา
เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับได้อีกแล้ว ปากของหลัวอวี่ก่วนไว้ใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ณ ห้องทรงอักษร
ฮ่องเต้พิงพนักบัลลังก์กว้างที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า แล้วตรัสถามว่า “ว่ามาเถอะ เรื่องที่เมืองฉู่ พวกเจ้ามีความเห็นว่ายังไงบ้าง?”
“สิ่งที่แม่ทัพฮั่วทำไป กระหม่อมว่าเชื่อใจได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่อี้อันตอบสั้นๆ ได้ใจความ
ฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด แล้วเลื่อนสายตาไปมองฉู่อี้หมินที่ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ข้างๆ
ฉู่อี้หมินรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทอดมองมาของฮ่องเต้ จึงสบสายตาของพระองค์แล้วเอ่ยเสียงนอบน้อมว่า “แม่ทัพฮั่วเข้ากับผู้บัญชาการหลัวไม่ได้ เรื่องนี้กระหม่อมทราบมานานแล้ว แต่ถ้าว่ากันตามสถานการณ์ กระหม่อมก็ไม่คิดว่าแม่ทัพฮั่วจะยอมเสี่ยงตายตั้งเมืองฉู่ที่มีประชาชนและทหารหลายแสนคนเพื่อความแค้นส่วนตัว เรื่องนี้น่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีก ถ้าจะบอกว่าถือโอกาสแสดงเจตนาร้ายที่แท้จริงก็ไม่ถือว่าเกินไปนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วกังมีนิสัยซื่อตรง เรื่องที่ไม่ชอบขี้หน้าหลัวอี้ที่ได้ตำแหน่งมาด้วยเส้นสายของหลัวฮองเฮาก็ไม่ใช่ความลับอะไร แต่สถานการณ์ในการสู้รบสำคัญนัก ก่อนที่จะตรวจสอบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวจนแน่ชัด ก็ไม่มีใครกล้ารับรองอะไรทั้งนั้น
ฮ่องเต้จับจอนผมด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย และไม่ตรัสสิ่งใดเป็นเวลานาน
ฉู่อี้อันเห็นสีหน้าเขาอ่อนระโหยโรงแรง จึงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เสด็จพ่อ เรื่องเมืองฉู่ปล่อยให้เสด็จอาออกหน้าก็น่าจะต้านไว้ได้ อย่างน้อยที่สุดช่วงนี้ก็ไม่น่าจะมีเหตุร้าย กลับไปเสด็จพ่อค่อยจัดหาคนที่เหมาะสมให้ไปรับช่วงต่อก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เรื่องที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน…คือโม่เป่ย!”
พอฮ่องเต้ได้ยินก็ลืมตาส่งสายตาให้เขาพูดต่อไปทันที
ฉู่อี้อันเอ่ย “ทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองหลวงโดยพลการ ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว จะมาหาผู้รับผิดชอบแค่ที่นี่คงไม่ช่วยอะไร กระหม่อมมีความเห็นว่า คนๆ นั้นต้องมีแผนการเป็นแน่ ในเมื่อเขาไปแล้วจะพาเขากลับมาอีกคงเป็นไปได้ยาก และในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ควรจะวางกลยุทธ์ก่อน ลองดูว่าจะจัดการกับปัญหาที่จะตามมายังไง ถึงจะจัดการความสัมพันธ์ของโม่เป่ยได้ดีพ่ะย่ะค่ะ!”
“เขาไปแบบนี้ ต้องรีบไปโม่เป่ยแน่ ส่งคนตามไปทางนั้นต้องเจอแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้หมินกลับยิ้มเย็นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ดินแดนซีเยว่กว้างใหญ่ไพศาล แค่เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขาคนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถมากขนาดหลุดรอดไปจากสายตาของประชาชนและทหารนับล้านคนของเราไปได้! มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเช่นนี้ เพียงแค่เสด็จพ่อมีพระราชโองการลงมา การจะกำจัดโม่เป่ยให้สิ้นซากก็ง่ายนิดเดียว!”
…………………………………