สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 97.3 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (3)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1
- บทที่ 97.3 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (3)
ฉู่อี้อันชำเลืองมองเขา แต่ไม่แสดงความคิดเห็นกับความอวดดีของเขา เพียงแค่คารวะฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ตอนนี้สงครามที่เมืองฉู่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เพียงแต่พิจารณาจากผลประโยชน์ในทุกด้านแล้ว เวลานี้ก็ไม่ควรปะทะกับชาวโม่เป่ยซึ่งๆ หน้าอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ข่าวการเสียชีวิตของซื่อจื่ออ๋องโม่เป่ยถูกพระชายาที่แต่งงานใหม่กับอ๋องโม่เป่ยคนนั้นปิดเป็นความลับสุดยอด จนถึงตอนนี้ข่าวใหญ่ยังไม่ได้เผยแพร่ออกมา ฉู่อี้หมินไม่รู้รายละเอียดของเรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้กับฉู่อี้อันกลับรู้ดี
ถ้าหากฮ่องเต้มั่นใจว่าจะสามารถพาทั่วป๋าไหวอันกลับมาได้ก็แล้วไป ไม่อย่างนั้น…
ไม่ช้าก็เร็วโม่เป่ยก็ต้องตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
วางแผนร้ายมานานขนาดนี้ ถึงขั้นสร้างสถานการณ์อันตรายขึ้นมาและเอาตนเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วย แต่ไม่คิดว่าท้ายที่สุดกลับล้มเหลวทั้งที่เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว
แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องรู้สึกไม่พอใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
เขากลัดกลุ้มจนไม่ตรัสสิ่งใดอยู่นาน สุดท้ายก็จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดเห็นของฉู่อี้อัน จึงถอนหายใจออกมาแล้วตรัสว่า “ช่างเถอะ ก็แค่เด็กเมื่อวานซืน ข้ายังต้องไปสนใจเขาอีกงั้นหรือ? ยังไงก็ไปแล้ว”
“เสด็จพ่อ…” ฉู่อี้หมินไม่อยากจะเชื่อ นัยน์ตาพลันทอประกายกร้าว แล้วก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเอ่ย “ทั่วป๋าไหวอันจงใจเพิกเฉยต่อพระราชโองการของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็ไม่เอาผิดแบบนี้หรือ? เช่นนั้นจะเอาชื่อเสียงของราชสำนักไปไว้ที่ไหน?”
“น้องรอง เรื่องนี้เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ฉู่อี้อันเอ่ยโดยไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัสว่า “เดิมทีทั่วป๋าไหวอันเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ก็เพื่ออวยพรวันเกิดแทนฮองไทเฮา มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีพูดถูก เขาไม่ใช่นักโทษของราชสำนักเรา เขาอยากไปไหน เขาไม่บอกกล่าวก็แค่เสียมารยาท ไม่ถือว่าทำผิด ถ้าหากพวกเรากัดไม่ปล่อยจะโดนจับจุดอ่อนได้แทน เวลานี้สถานการณ์ที่เมืองฉู่ก็ไม่ชัดเจน อย่าพึ่งสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาจะดีกว่า!”
“แต่ว่า…” ฉู่อี้หมินยังอยากพูดต่อ แต่ฮ่องเต้ยกมือแทรกคำพูดของเขาอย่างหงุดหงิด แล้วตรัสกับหลี่รุ่ยเสียงว่า “ถ่ายทอดราชโองการของข้าออกไป ไม่ต้องคุมตัวหญิงโม่เป่ยคนนั้นและหญิงตระกูลซูไว้แล้ว ถ้าพวกเขาอยากอยู่ต่อก็ให้อยู่ไป หากอยากไปก็ปล่อยให้พวกเขาไป”
ฉู่อี้หมินรู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่กล้าแสดงออกไป
ฉู่อี้อันท่าทางครุ่นคิด นัยน์ตาทอประกายวาบ และค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
เมื่อได้ข้อสรุป ฮ่องเต้ก็เหนื่อยแล้ว จึงโบกมือส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนออกไป
จนกระทั่งทั้งสองคนออกไปแล้ว ฮ่องเต้ยังคงใช้มือเดียวรองศีรษะเอนพิงบัลลังก์กว้างใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ครู่ใหญ่ และแค่ตรัสด้วยเสียงอ่อนเพลียว่า “ยังไม่มีข่าวมาจากซื่อหรงหรือ?”
การเคลื่อนทัพโดยไม่ชอบด้วยเหตุผล ทำให้พระราชโองการตามจับทั่วป๋าไหวอันไม่สามารถประกาศใช้ได้ แต่หลังจากได้ข่าวว่าทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองหลวงตั้งแต่เช้า เขาก็ส่งองครักษ์เงาไปล้อมจับอย่างลับๆ แล้ว
ในตำหนักไม่มีบุคคลที่สาม จึงเป็นที่แน่นอนว่าตรัสกับหลี่รุ่ยเสียง หลี่รุ่ยเสียงส่ายหน้า “เวลานี้ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ใคร่ครวญ หลังจากนั้นจึงนั่งตัวตรง นัยน์ตาคล้ายมีแสงกระพริบริบหรี่ ในที่สุดก็ตรัสเสียงแผ่วว่า “บอกนางว่าไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ช่วงนี้ไม่ต้องกลับมา”
หลี่รุ่ยเสียงกระวนกระวายและตกใจขึ้นมาทันที แต่กลับรักษาสีหน้าเช่นเดิมได้อย่างน่าตกใจ แล้วลองถามว่า “ฝ่าบาทรงหมายถึง…”
“เรื่องมาถึงวันนี้ยังหวังว่าจะปิดบังต่อไปได้อีกหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นชา “แทนที่จะให้รอเขาลงมือก่อนที่จะตั้งตัวทัน สู้ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบมากกว่า ทั้งราชสำนักโม่เป่ยตอนนี้ก็แตกความสามัคคีเหมือนทรายที่แตกกระสานซ่านเซ็น ทำให้พวกเขาวุ่นวายไปพักหนึ่งพลางๆ ก่อนได้ก็ดี!”
หลี่รุ่ยเสียงตกใจอยู่ลึกๆ เขาเข้าใจความคิดของฮ่องเต้แล้ว จึงพยักหน้าอย่างระมัดระวังว่า “พ่ะย่ะค่ะ!”
พูดแล้วก็รีบออกไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างไม่รอช้าทันที รอไม่นานเขาก็กลับมา สีหน้าฮ่องเต้ดีขึ้นเล็กน้อย จึงเกาะมือเขาพยุงตัวลุกขึ้นตรัสว่า “ไปเถอะ ไปหาฮองเฮาที่วังโซ่วคังเป็นเพื่อนข้า!”
หลี่รุ่ยเสียงประคองมือเขาออกไป สั่งให้เตรียมรถม้า แล้วทั้งคนกลุ่มก็เคลื่อนขบวนไปวังโซ่วคังอย่างยิ่งใหญ่
เวลานั้นหลัวฮองเฮายังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงอย่างเหงาหงอย สีหน้าซึมเซาเจือความเย็นชาอยู่เบาบาง
แม่นมเหลียงถือถ้วยยารออยู่ข้างๆ แม้จะเตือนนานแล้วแต่นางก็ยังไม่ยอมดื่ม แม่นมเหลียงก็ไม่กล้าฝืนใจ จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮาเพคะ ถึงยังไงฮองเฮาก็ไม่ควรทำร้ายตนเองเช่นนี้ หมอหลวงกำชับมาแล้ว ยานี้ฮองเฮาต้องทรงดื่มตอนร้อนๆ นะเพคะ”
ราวกับหลัวฮองเฮาไม่ได้ยินคำพูดของนาง จึงยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกชั่วครู่แล้วอยู่ดีๆ ก็ตรัสว่า “เจ้าว่า…ใครเป็นคนทำเรื่องนี้กันแน่?”
แม่นมเหลียงหวาดวิตก เรื่องแบบนี้นางไม่กล้าแสดงความเห็นเหลวไหล จึงอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยว่า “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ”
หลัวฮองเฮาเหมือนไม่ได้อยากฟังคำตอบของนางตั้งแต่แรก และแค่หัวเราะอย่างเย็นชาตรัสว่า “ข้ายกย่องหลัวอี้ ก็มีคนไม่พอใจ พยายามขวางข้าทุกวิถีทาง!”
“ฮองเฮา!” แม่นมเหลียงตกใจขึ้นมาทันที ยาในมือนางกระฉอกออกมา นางรีบวางลงแล้วกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะรู้ดีว่าในตำหนักนี้ไม่มีคนนอก แต่ก็ยังเหงื่อตกไปทั้งตัว แล้วเข้าไปข้างเตียงของหลัวฮองเฮาอย่างร้อนรน และเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “เวลานี้ฮองเฮายังไม่ค่อยมีแรง อย่าทรงคิดฟุ้งซ่านอีกเลยเพคะ”
“ข้าพูดผิดไปงั้นรึ?” แต่หลัวฮองเฮากลับไม่สนใจ นางดันตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเย้ยหยัน “นอกจากเขาแล้ว ยังมีใครที่เห็นหลัวอี้เจริญก้าวหน้าเป็นไม่ได้ขนาดนี้อีก? ตำแหน่งของตระกูลหลัวยังต้องอาศัยข้าปกป้องเอาไว้ เจ้าพวกคนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่องนี่คิดร้ายกับข้า หากต่อไปปล่อยให้ปีกกล้าขาแข็งจริงๆ จะไม่ถลกหนังข้ากินทั้งเป็นรึ?”
“ฮองเฮา!” แม่นมเหลียงร้อนใจ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก นางวุ่นวายใจจนทำอะไรไม่ถูก “ฮองเฮาอย่าตรัสเช่นนี้เลยเพคะ หากเรื่องใหญ่เช่นนี้หลุดออกไป จวนกั๋วกงคงต้องประสบภัยอันตรายถึงชีวิต ถึงแม้ว่าท่านกั๋วกงจะทำผิดอีก แต่เรื่องนี้…จะมาพัวพันกับจวนกั๋วกงไม่ได้นะเพคะ!”
ลอบสังหารผู้บัญชาการ มีโทษเทียบเท่ากบฏ นั่นคือฆ่าล้างทั้งตระกูล
หลัวฮองเฮาหมกมุ่นมากเกินไป คิดแต่ว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลซูกำลังเจตนาตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง แต่ไม่ได้คิดว่าฮ่องเต้เป็นผู้มอบตำแหน่งให้ท่านกั๋วกงกับซื่อจื่อ แค่หลัวอี้คนเดียวต่อให้ตำแหน่งสูงกว่านี้แล้วจะทำอะไรได้?
ถ้าหลัวฮองเฮาเชื่ออะไรแล้ว ใครก็ไปเปลี่ยนใจไม่ได้อีกแล้ว นางโบกมืออย่างเฉยเมยตรัสว่า “เจ้าออกไปก่อน ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”
แม่นมเหลียงรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ จึงมองนางอย่างกังวลเพียงครั้งเดียวแล้วถือถ้วยยาที่เหลือเพียงครึ่งถ้วยออกไป
—————————————————-
ทางนี้ฉู่สวินหยางออกมาจากวังแล้ว นางกลับไปที่วังบูรพาเองก่อน โดยไม่ได้รอทั้งฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงออกมา
ฉู่อี้อันนั้นต้องจัดการเรื่องทหารที่เมืองฉู่ แล้วยังต้องจัดการปัญหาที่จะตามมาเรื่องทั่วป๋าไหวอัน ฉู่ฉีเฟิงจึงอยู่ช่วยงานต่อในวัง วันนี้จึงไม่มีเวลาว่างอย่างแน่นอน
ฉู่สวินหยางหลับไปไม่นานก็ตื่นขึ้นมา สีท้องฟ้าด้านนอกเย็นมากแล้ว แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำส่องกระทบช่องหน้าต่าง แสงสีทองละมุนและอบอุ่น บรรยากาศเงียบสงบเป็นพิเศษ
ฉู่สวินหยางพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง ชิงเถิงที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียง จึงยกน้ำล้างหน้าเข้ามาว่า “ท่านหญิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ? เมื่อครู่ท่านจวิ้นอ๋องพึ่งจะให้เจี่ยงลิ่วส่งข่าวกลับมาบอกว่ายังจัดการธุระไม่เรียบร้อย คืนนี้ท่านกับองค์ชายอาจจะต้องค้างในวังอีกคืน ให้ท่านไม่ต้องรอรับประทานอาหารเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว” ฉู่สวินหยางตอบ นางลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปากแล้วยืดเส้นยืดสายสักหน่อย
ชิงเถิงไปสั่งให้เตรียมอาหารค่ำที่ห้องครัว ไม่นานก็เจอชิงหลัวกลับมาจากข้างนอก
ฉู่สวินหยางเห็นแล้วก็ยิ้มเล็กน้อยว่า “เป็นอะไรไป?”
“ท่านหญิง!” ชิงหลัวสองจิตสองใจ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่คนของจวนอ๋องหนานเหอมาส่งข่าว บอกว่าซื่อจื่ออ๋องหนานเหออยากเจอท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ฉู่ฉีเหยียนหรือ?” ฉู่สวินหยางค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว แต่ก็ยิ้มอย่างไม่สนใจทันทีเอ่ย “ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเจอกันในวังไม่ใช่หรือ? เขาจะอยากเจอข้าอีกทำไม?”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ คนที่มาแจ้งรีบมาก!” ชิงหลัวตอบ “บอกแค่ว่าเป็นเรื่องด่วนที่สุด จึงจำเป็นต้องเชิญท่านหญิงไปให้ได้เจ้าค่ะ”
ฉู่สวินหยางยิ้มพลางครุ่นคิด “คนที่มาล่ะ?”
“ไปแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ นางหยุดไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าเห็นเขาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เลยตามเขาไปอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากเลี้ยวไปสามถนน คนนั้นก็เข้าไปในซอยตันแล้วก็หายไปเลยเจ้าค่ะ”
ถ้าหากเป็นคนของฉู่ฉีเหยียน พวกนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ถ้าอยากจะนัดเจอนางทำไมต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วย?
คำตอบของชิงหลัวชัดเจนมากแล้ว…
เรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง!
ฉู่สวินหยางคิดแล้วก็ลุกเดินเข้าไปด้านในว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ เรียกชิงเถิงมาช่วยข้าแต่งตัวด้วย!”
ชิงหลัวขมวดคิ้ว “ท่านหญิงจะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“มีคนมาขอพบด้วยความจริงใจ แต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงของเจ้าก็ยินดีช่วยเหลือคนอื่นให้สมปรารถนา” ฉู่สวินหยางตอบ พลางหันกลับไปยักคิ้วแล้วยิ้มให้นาง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยุดไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ก่อนไปเจ้าไปส่งข่าวให้ฉู่ฉีเหยียนที่จวนอ๋องหนานเหอแทนข้าก่อน ปล่อยให้คนอื่นยืมชื่อเขาอย่างไม่มีเหตุผลมาทำร้ายคน คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเขายังวางตัวเฉยอีก!”