สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 97.4 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (4)
- Home
- สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1
- บทที่ 97.4 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (4)
ชิงหลัวเข้าใจแล้วจึงไม่พูดอะไรมาก แล้วพยักหน้าว่า “เจ้าค่ะ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
เพราะว่าคนที่มาส่งข่าวบอกว่าเป็น ‘คำเชิญลับ’ ดังนั้นฉู่สวินหยางจึงออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใคร และพาแค่องครักษ์สองคนกับสาวใช้สองคนไปด้วย เดินไปทางหอยลนทีสถานที่ที่อีกฝ่ายกำหนดมา
เวลาพลบค่ำ ท้องฟ้ามืดครึ้ม แม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่ไกลๆ เกลียวคลื่นถาโถม พออากาศบริเวณริมแม่น้ำนี้พัดผ่านก็รู้สึกว่าอากาศยิ่งหนาวเหน็บขึ้น
ฉู่สวินหยางรวบคอเสื้อ แล้วสั่งให้ชิงเถิงรออยู่ด้านนอก ส่วนตนเองพาชิงหลัวเข้าไปทางประตูทางเข้าของหอยลนที
เวลานั้นถึงแม้แสงไฟภายในหอจะสว่างไสว แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัด
ชิงหลัวเตรียมพร้อมจะจับกระบี่อ่อนที่เอว แต่ถูกฉู่สวินหยางห้ามไว้ พอก้าวผ่านประตูไป เถ้าแก่ที่กำลังดีดลูกคิดเสียงดังอยู่ด้านหลังก็รีบเข้ามาต้อนรับเอ่ย “โอ้ แขกทั้งสองท่านเชิญด้านใน ท่านทั้งสองต้องการสิ่งใดหรือ?”
ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองสำรวจทุกที่และไม่เอ่ยสิ่งใด ชิงหลัวจึงตอบแทนว่า “พวกเรามาพบคน!”
“สองสามวันมานี้ร้านปิดฉลองปีใหม่ ข้าก็เพิ่งจะเปิดร้านวันนี้เอง ตอนนี้ไม่มีแขกพอดี!” เถ้าแก่ตอบกลับ
“เช่นนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางดึงสายตากลับมา แล้วมองเขาอย่างอารมณ์ดีว่า “เช่นนั้นข้าคงมาเร็วไป เถ้าแก่ เจ้าเลือกห้องไหนก็ได้ให้ข้าสักห้อง ข้าจะรอเขาสักหน่อย!”
“ขอรับ!” เถ้าแก่รับคำ แล้วรีบนำทั้งสองคนขึ้นไปชั้นสอง เขาผลักบานประตูที่อยู่ใกล้หัวบันได และขยับตัวเปิดทางให้ฉู่สวินหยาง “เชิญท่านทั้งสองด้านใน!”
ห้องนี้ตกแต่งได้งดงามและสะอาดสะอ้านมาก ของประดับตกแต่งไม่มากนัก มองปราดเดียวก็รู้
ฉู่สวินหยางมองเข้าไปด้านใน แต่กลับไม่ยอมเดินเข้าไปข้างในสักที แล้วหันกลับมายิ้มว่า “ข้าไม่ค่อยชอบตำแหน่งของห้องนี้ อีกเดี๋ยวหากมีแขกคนอื่นมาเดินไปเดินมา คงยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียงเอะอะโวยวาย เจ้าเปลี่ยนห้องอื่นให้ข้าเถอะ!”
“ปกติเดือนมกราคมเช่นนี้พอเข้าสู่ยามราตรีก็ไม่ค่อยมีคนแล้วขอรับ” เถ้าแก่เอ่ย พูดไปก็กลัวฉู่สวินหยางจะโต้แย้งอีก จึงรีบบอกว่า “และช่วงฤดูหนาว บริเวณริมแม่น้ำนี้ลมแรง ท่านสองคนใช้ห้องนี้เถอะ หน้าต่างห้องอื่นหันหาทางลม เสียงค่อนข้างหนวกหู”
“งั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางยิ้มและยังเงียบไปอีกชั่วครู่ ราวกับกำลังชั่งใจบางสิ่ง หลังจากนั้นถึงจะพยักหน้าเอ่ย “ได้ ในเมื่อเจ้าว่าห้องนี้ดี งั้นก็ห้องนี้แล้วกัน!”
พูดจบก็เดินเรียงหนึ่งเข้าไปในห้องกับชิงหลัว
คล้อยหลังไป เถ้าแก่คนนั้นสีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
ทางด้านฉู่สวินหยางกับชิงหลัวที่เพิ่งเข้าห้องมา ยังไม่ทันทำอะไรก็มีเสียงดังปังมาจากด้านหลัง ประตูห้องถูกคนปิดตายจากทั้งสองฝั่ง
ชิงหลัวจะคว้ากระบี่ที่เอวไว้ระวังภัย แต่เหมือนอีกฝ่ายเตรียมป้องกันนางเคลื่อนไหวแบบนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงชิงโจมตีไปที่ข้อมือของนางก่อนโดยไม่รอให้นางได้กระบี่มาอยู่ในมือ ทำให้นางเคลื่อนไหวไม่ต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันคมดาบที่สว่างราวกับหิมะของดาบยาวสองเล่มจากทางซ้ายและขวาก็จี้ไปที่ซอกคอของสองนายบ่าว
ที่แท้…
มีคนดักซุ่มอยู่หลังประตูนั้นก่อนแล้ว
อีกฝ่ายก็เป็นคนที่ฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาตลอด พอควบคุมทั้งสองคนได้อยู่หมัดก็เอื้อมมือไปจับห่อยาสลบที่ซ่อนอยู่ตรงเอวทันที
ในเวลาเดียวกันนั้นเถ้าแก่ที่อยู่ชั้นล่างก็จงใจทำเสียงสูงทักทายว่า “โอ้ แขกท่านนี้ ร้านจะปิดแล้วขอรับ ขออภัย…”
“ข้ามาหาคน!” ฉู่ฉีเหยียนตอบกลับเสียงเย็นเยียบ ระหว่างที่เอ่ยนั้นคล้ายกับมีคนใช้กำลังผลักเถ้าแก่ออกไป เสียงฝีเท้ามุ่งไปที่ชั้นบนอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์พลิกผัน คนสองคนที่ซุ่มอยู่หลังประตูคาดไม่ถึง จึงเผลอลงมือช้าลงไปด้วย
ฉู่สวินหยางกับชิงหลัวสบโอกาส ต่างคนต่างหักศอกกระแทกทั้งสองคนนั้นจนสลบไป แล้วผลักคนไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ไม่ส่งเสียงใดออกไป
เถ้าแก่ที่อยู่ชั้นล่างลุกลี้ลุกลนตามฉู่ฉีเหยียนขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าขวางอย่างชัดเจนนัก จึงกระวนกระวายจนเหงื่อตกไปทั้งตัว
ฉู่ฉีเหยียนเดินมาหยุดอยู่นอกห้องนี้ชั่วครู่ แล้วกวาดสายตาอันเฉียบแหลมมองเถ้าแก่คนนั้น
เถ้าแก่หดคอ แค่รู้สึกว่าสายตาของเขาแหลมคมดุจดั่งมีด จึงหวาดผวาจนไม่กล้าลืมตา แล้วรีบเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ร้านกำลังจะปิดร้านแล้วขอรับ หากท่านอยากรับประทานอาหารเปลี่ยนไปอีกร้านดีกว่า…”
“มีแม่นางคนหนึ่งนัดเจ้านายของข้ามาเจอที่นี่ นางอยู่ไหนล่ะ?” หลี่หลินคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้และตวาดถามก่อน โดยไม่รอให้เขาพูดจบ
หลังจากฉู่สวินหยางเข้ามา รถม้าและองครักษ์ของนางก็ถูกคนบังคับให้ออกไปหมดแล้ว เดิมทีที่ตั้งของที่นี่นั้นไร้ที่ติ ใครจะคิดว่าจะมีคนบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน แถมยังเป็นผู้ที่สีหน้าเย็นชาและไม่น่าเข้าใกล้เช่นนี้
ในใจของเถ้าแก่ร้องทุกข์มิรู้วาย อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบยังไงอยู่นาน
ฉู่ฉีเหยียนเหลือบมอง แล้วหลี่หลินก็ผลักเขาออกไป
ซูหว่านที่แอบอยู่ห้องข้างๆ มานานคิดไม่ถึงว่าฉู่ฉีเหยียนจะมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้ไม่อยากสร้างปัญหาใหม่เพิ่ม แต่นางก็นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว
ทางด้านนี้หลี่หลินกำลังจะยกขาถีบประตู พลันได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ประตูห้องที่เชื่อมกับห้องข้างๆ ถูกคนเปิดจากด้านใน ซูหว่านออกมาจากข้างในด้วยสีหน้าที่พยายามฝืนยิ้มเอาไว้
นัยน์ตาฉู่ฉีเหยียนทอประกายเย็นยะเยือกเพียงชั่วครู่ แล้วทอดมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
เขาไม่เอ่ยสิ่งใด ซูหว่านก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรก่อนเหมือนกัน แต่ถูกเขาจ้องระยะประชิดขนาดนี้กลับรู้สึกกลัวไม่น้อย
นางคิดว่าอำพรางได้ดีมากแล้ว แต่ฉู่ฉีเหยียนก็ยังสังเกตเห็นนัยน์ตาแวววาวของนาง
เขาก้าวไปหาแล้วเอ่ยถามก่อนว่า “เจ้าเป็นคนนัดข้าหรือ?”
ซูหว่านนิ่งอึ้งไป…
นางไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่เมื่อเจอฉู่ฉีเหยียนแล้ว ถึงอยากจะตบตาคงทำได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้นจำเป็นต้องฝืนตอบไปว่า “ใช่! เรื่องในวังก่อนหน้านี้ข้าบุ่มบ่ามไป ดังนั้นจึงตั้งใจอยากจะขอโทษต่อหน้าเจ้า!”
ตอนที่นางพูดไม่ได้ห้ามเถ้าแก่อยู่ตรงนี้ด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า…
คนที่นี่ถูกเปลี่ยนเป็นคนของนางหมดแล้ว
ซูหว่านนัดเขาหรือ? แถมยังใช้ชื่อของฉู่สวินหยางด้วย? ยังไงฉู่ฉีเหยียนก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
หากเวลานี้ยังมองไม่ออกอีก เขาก็ไม่ต้องมาวุ่นวายแล้ว
“ไม่จำเป็น!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ เขามองนางอย่างเฉยเมย แล้วหันตัวจากไป
ซูหว่านถูกเขาเมินอีกครั้ง จึงรู้สึกรับไม่ได้ไปชั่วขณะ นางรีบคว้าแขนเสื้อเขาไว้ แล้วเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เจ้าไม่อยากเจอข้าขนาดนี้เลยหรือ? จะคุยกับข้าสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
องครักษ์ที่ปลอมเป็นเถ้าแก่คนนั้นรู้ตัวดีจึงถอยออกไป
ฉู่ฉีเหยียนมองนางอย่างเย็นชา ความรู้สึกเดียวที่เห็นได้จากสายตาเย็นยะเยือกมีแค่เยาะเย้ยเท่านั้น แล้วเขาก็สะบัดมือนางทิ้งอย่างแรงโดยไม่บอกกล่าวแม้แต่คำเดียว “โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย อย่าให้ข้าต้องพูดเรื่องนี้เป็นรอบที่สาม!”
เอ่ยจบก็เดินลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็วและไม่หันกลับมามองอีกเลย
ฉู่สวินหยางเป็นคนนัดเขา เรื่องนี้เชื่อได้อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ แต่เขามีลางสังหรณ์ว่า…
เวลานี้นางก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้!
ตอนนี้ในใจฉู่ฉีเหยียนพลันสัมผัสได้ถึงเงื่อนงำบางอย่างอย่างแรงกล้า…
ฉู่สวินหยางอยากยืมมือซูหว่านเล่นลูกไม้อะไร เขากลับไม่ได้สนใจมากนัก แต่ที่น่าประหลาดใจมากคือ…
เขาไม่อยากให้นางเห็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงระหว่างตนเองกับซูหว่านมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ความรู้สึกของซูหว่านเพียงฝ่ายเดียวก็ตาม
ซูหว่านถูกเขาสลัดทิ้งเหมือนหนีเชื้อโรคอีกครั้ง ความโกรธแค้นในใจพลันปะทุขึ้นมาท่วมท้น
เขาไม่ยอมช่วยนางก็แล้วไป แต่จะไม่ให้เหลือแม้แต่ความรู้สึกดีๆ ไว้สักนิดเลยจริงๆ งั้นหรือ? หลบแบบนี้ก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว จึงคิดแต่จะสะบัดนางทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้วเท่านั้น!
จะให้นางยอมได้ยังไง?
“ฉู่ฉีเหยียน!” นางตามไปยืนอยู่บนหัวบันไดแล้วมองลงไปด้านล่าง พลางเอ่ยเสียงดังจนแทบจะเหมือนกับคลุ้มคลั่งว่า “หากวันนี้เจ้ากล้าเดินออกไปจากที่นี่ก็อย่ามาเสียใจภายหลัง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ วันนี้ข้าจะทำให้ชื่อเสียงเจ้าป่นปี้ให้ได้!”
ฉู่ฉีเหยียนรู้จักนางดี พอได้ยินแล้วก็แค่หัวเราะเยาะ และยังคงไม่หยุดเดิน
เปลวไฟแห่งความโกรธคุโชนในดวงตาของซูหว่าน สายตาจับจ้องภาพเงาด้านหลังของเขาอย่างแน่วแน่ แล้วเอ่ยอย่างเกลียดชังทีละคำว่า “เจ้าไม่กลัวข้าเอาเรื่องที่เจ้ายุยงให้ข้าลงมือจัดการฉู่หลิงซิ่วไปบอกพี่ชายข้าหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนหยุดฝีเท้าในทันใด
……………………………………….