สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 98.1 อิงแอบอยู่ในอ้อมกอด ตกน้ำแล้ว (1)
ความหวังจุดประกายขึ้นในใจซูหว่านในชั่วพริบตา นางรีบวิ่งตามไปแซงหน้าเขา ยืนอยู่บนบันไดขั้นล่างสุดแล้วเงยหน้าหันกลับมามองเขา
นางสบสายตาฉู่ฉีเหยียน มุมปากยกโค้งขึ้นยิ้มเยาะเจือความเย็นชาเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ? ฉู่ฉีเหยียน เจ้าคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นจริงๆ เชียวหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนไม่ชอบนาง!
ก่อนหน้านี้นางยังสามารถหลอกตนเองได้ว่า เขาอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ให้นางเหมือนกัน เพียงแต่เขาเป็นคนแบบนี้ เย่อหยิ่ง เย็นชา และแค่ไม่ชอบแสดงออกเท่านั้น
เรื่องมาถึงวันนี้ถึงจำเป็นต้องยอมรับ…
ฉู่ฉีเหยียนแค่ใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น!
สีหน้าฉู่ฉีเหยียนเรียบเฉยไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง มุมปากยกโค้งเล็กน้อยเอ่ย “โอ้? เจ้ารู้หรือ?”
“คนที่เฉลียวฉลาดแบบท่านหญิงอันเล่อ แต่ไหนแต่ไรมามีแต่นางที่คิดทำร้ายคนอื่น ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับจางอวิ๋นเจี่ยนกันแน่ แต่ข้ารู้เรื่องที่นางใช้ให้พี่ชายข้าไปลอบทำร้ายฉู่สวินหยางก่อนหน้านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า” ซูหว่านเอ่ยอย่างไร้ความหวั่นเกรง “แทนที่จะบอกว่านางถูกฉู่หลิงซิ่วทำร้าย สู้บอกว่านางจงใจให้ฉู่หลิงซิ่วรับเคราะห์แทนนางดีกว่า พวกเจ้าคิดจะยืมมือข้าฆ่าปิดปากฉู่หลิงซิ่วหรือ? อันที่จริงทีแรกข้าก็ไม่ได้ถือสาหรอก ถ้าเพื่อเจ้าแล้ว ให้ข้าทำเแค่นี้ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร? แต่…แต่ว่า…”
ซูหว่านพูดไปก็รู้สึกน้อยใจ จนกลั้นน้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจและโกรธแค้นไว้ไม่อยู่
ฉู่ฉีเหยียนฟังถึงตรงนี้ กลับรู้สึกโล่งอกไปที…
เมื่อครู่เขาเกือบคิดว่าซูหว่านมองเจตนาที่แท้จริงของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่แล้วเชียว
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยให้เจ้าทำอะไรเพื่อข้า เรื่องที่เจ้าทำไปก็เป็นเรื่องที่เจ้าคิดเอาเองทั้งนั้น” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและผ่อนลมหายใจออกอย่างสบายใจด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้าอยากบอกอะไรกับซูหลินก็ตามสบาย!”
เขาเอ่ยพลางผลักนางออกไปด้วย แล้วเดินลงบันไดสองขั้นสุดท้ายและเดินต่อไปทางประตู
ซูหว่านถูกเขาผลักจนเซไปกระแทกรั้วด้านข้าง
นางรีบเงยหน้าขึ้นแล้วชี้นิ้วไปที่ประตูทางเข้าทันที ตวาดเสียงสูงว่า “ปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เพื่อจัดการฉู่สวินหยาง นางได้เปลี่ยนคนในโรงเตี๊ยมนี้ใหม่หมดแล้ว
นางยังไม่ทันพูดจบ ก็มีองครักษ์เจ็ดถึงแปดคนเข้ามาจากด้านนอกและปิดประตูทางเข้า ในขณะเดียวกันยังถือทวนยาวเตรียมพร้อมไว้ในมือ ปิดตายทางไปของฉู่ฉีเหยียน
ในเวลาเดียวกันก็มีคนอีกสิบกว่าคนทยอยออกมาจากห้องต่างๆ บนชั้นสอง ปิดทางออกทั้งหมดทุกชั้นและไม่ให้ใครเล็ดลอดออกไปได้
ครั้งนี้ถือว่าฉู่ฉีเหยียนพลาดท่าเสียที เพราะว่าเมื่อตอนบ่ายเพิ่งเจอฉู่สวินหยางในวัง ดังนั้นพอตอนเย็นชิงหลัวไปแจ้งข่าวด้วยตนเองอีก เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และเพื่อตบตาหลอกคนอื่น จึงพาหลี่หลินตามมาด้วยแค่คนเดียว
เวลานี้ต้องรับมือองครักษ์ราวสามสิบคนของซูหว่าน ด้วยฝีมือของเขาและหลี่หลินไม่ใช่เรื่องยากนัก เพียงแต่ต้องสิ้นเปลืองแรงแน่ โรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้เคียงที่นี่มีไม่น้อย ถึงตอนนั้นหากส่งเสียงดังออกไปก็คงยุ่งวุ่นวาย
สายตาฉู่ฉีเหยียนเย็นยะเยือกและหยุดเดินอีกครั้ง
ซูหว่านยืนอยู่ตรงหัวบันได เห็นเงาของเขาเหมือนลังเลไม่ก้าวเดินต่อ จึงหัวเราะเยาะอย่างถือดี “ข้ารู้ว่าข้ารั้งเจ้าไว้ไม่ได้ เจ้าจะลองใช้กำลังฝ่าออกไปก็ได้ ถึงยังไงตอนนี้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว อย่างมากพอเรื่องก็ไปถึงฝ่าบาท ชื่อเสียงของทุกคนจะได้ป่นปี้ด้วยกัน!”
หากฮ่องเต้ยังคงยืนกราน เช่นนั้นจุดจบของนางคงไม่พ้นต้องไปโม่เป่ยด้วยกันกับทั่วป๋าอวิ๋นจี
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับนางทำให้เขากลัวจริง
ซูหว่านยกยิ้มมุมปากแล้วเดินไปข้างหน้า เดิมทีอยากจะเอื้อมมือไปจับบ่าของเขา แต่เพราะมีองครักษ์อยู่ด้วยจึงลังเลไปชั่วครู่ แล้วออกคำสั่งว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ เฝ้าประตูที่นี่ไว้ให้ดี อย่าให้ใครผ่านเข้าออกได้”
“ขอรับ!” แต่เหล่าองครักษ์ยังไม่ทันได้ถอยออกไปเฝ้าด้านนอก แสงเทียนก็สว่างไสวจนสามารถมองเห็นเงาคนที่อยู่นอกประตูได้อย่างชัดเจน
คนนอกออกไปจากห้องโถงหมดแล้ว เมื่อครู่ซูหว่านลองเข้าไปใกล้ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ แล้วค่อยๆ วางมือลงบนไหล่ฉู่ฉีเหยียน
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้หันกลับมามองและยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ท่าทางที่คล้ายกับยินยอมของเขากลับทำให้ซูหว่านดีใจ ใบหน้าของซูหว่านย้อมด้วยสีเลือดฝาด นางพยายามควบคุมลมหายใจ หลับตาลง แล้วค่อยๆ ก้าวไปชิดหลังของเขา
ฉู่ฉีเหยียนฝืนใจปิดตาลง และพลิกมือคว้าข้อมือนางไว้แล้วเหวี่ยงไปด้านข้างทันที
ซูหว่านถูกเขาผลักจนเซ กว่าจะทรงตัวได้ก็โดนเขาบีบคอไว้แล้ว
“เจ้า…” ถึงเขาจะยังไม่ลงมือ แต่ก็บีบแน่นจนซูหว่านแทบหายใจไม่ออก
เวลานี้มีเพียงปลายเท้านางที่ยังแตะพื้น ลำคออยู่ในกำมือของฉู่ฉีเหยียน นางหายใจลำบาก พริบตาเดียวก็หน้าคล้ำเป็นสีเลือดหมู สองเท้าเตะสะเปะสะปะพยายามแกะมือของเขาออก นางทรมานจนส่งเสียงไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
ฉู่ฉีเหยียนมองนางด้วยสีหน้าเฉยเมย และเอ่ยอย่างชัดเจนทุกคำว่า “เจ้าอยากไปก่อความวุ่นวายที่ไหนก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าได้พยายามมาข่มขู่ข้า เจ้ายังไม่มีสิทธิ์นั้น!”
เขาเอ่ยพลางผลักนางออกไปด้วย
ซูหว่านโซเซจนถอยไปหลายก้าว มือลูบคอหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
ฉู่ฉีเหยียนมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วเดินไปทางประตู
ถึงซูหว่านจะหายใจได้สะดวกแล้ว แต่กลับยังรู้สึกเหมือนถูกอะไรกดทับไว้จนอึดอัดมาก
ชั่วพริบตาที่ฉู่ฉีเหยียนจะเปิดประตูนั้นเอง จู่ๆ นางก็เงยหน้ายิ้มและเอ่ยเสียงเย็นว่า “ฉู่ฉีเหยียน เจ้าคิดว่าข้าขู่เจ้าจริงๆ งั้นหรือ? ข้าไม่ได้สำคัญอะไรจริง แต่เจ้าว่า…หากหลังจากที่เจ้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แล้วท่านหญิงสวินหยางแห่งวังบูรพา แม่นางหลัวอวี่ก่วนและข้าตายด้วยกันที่นี่หมด เรื่องนี้…เจ้ายังแน่ใจว่าไม่มีส่วนรู้เห็นหรือไม่?”
เวลานั้นฉู่ฉีเหยียนแง้มประตูทางเข้าเปิดได้เพียงนิดเดียว ประตูหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ รับลมหนาวชื้นให้พัดเข้ามา เสื้อผ้าของเขาโบกสะบัดด้วยลมหนาวสะท้านจนยากจะบรรยาย
เขาพลันหยุดยืนนิ่งเงียบไม่ขยับอีกครั้ง
ซูหว่านเดิมตามมาและลอบสังเกตใบหน้าของเขาอย่างละเอียดอยู่ข้างๆ ว่า “หากข้ายังสำคัญไม่พอ หลัวอวี่ก่วนก็ไม่ได้มีค่าพอให้สนใจ เช่นนั้นฉู่สวินหยางเล่า? นางเป็นท่านหญิงแห่งวังบูรพา แก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาท หากนางตายอยู่ข้างหลังเจ้าอย่างคลุมเครือ เจ้าคิดว่า…เจ้าจะอธิบายได้อย่างชัดเจนหรือ?”
สีหน้าฉู่ฉีเหยียนคงเดิม แต่นัยน์ตาคล้ายมีเมฆฝนปกคลุม ราวกับมีน้ำค้างแข็งอันเย็นเฉียบทับนัยน์ตาเดิมที่แสนเย็นชาไปอีกชั้น
นิ้วมือขยับเล็กน้อย แล้วในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ลดแขนลงปิดประตูที่เปิดได้เพียงครึ่งบานอีกครั้งเสียงดังปัง
เสียงลมที่พัดผ่านห้องโถงพลันเงียบหายไป เขาเอียงศีรษะอย่างเฉยเมย มองซูหว่านอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยเสียงเย็นเยียบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ซูหว่านเห็นเขายอมอ่อนข้อให้ ในใจกลับรู้สึกทั้งเจ็บปวดและเปล่าเปลี่ยว
รู้ว่าครั้งนี้นางจับจุดอ่อนของฉู่ฉีเหยียนได้แล้วจริงๆ ความมั่นใจของนางกลับคืนมาในชั่วพริบตา จึงก้าวไปอีกสองก้าวอย่างไร้ซึ่งความกังวลอีก แล้วกอดเอวเขาไว้จากด้านข้าง นางซบหน้าบนหลังบ่าของเขา น้ำเสียงร้อนรนเจือความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า “ช่วยข้า!”
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่ง ค้ำมือหนึ่งไว้บนบานประตูนั้น นิ้วมือค่อยๆ กำเป็นหมัด และใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ให้ตนเองผลักนางออกไปทันที
ซูหว่านกระวนกระวายใจ จึงกอดเขาไว้แน่นว่า “ข้าไม่อยากไปโม่เป่ย ข้าคิดหาทางเอาไว้แล้ว เพียงแค่เจ้าช่วยข้าสักครั้งก็ต้องสำเร็จแน่นอน”
“หือ?” ฉู่ฉีเหยียนสงบสติอารมณ์จนใจเย็นลงแล้ว มุมปากค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมา เขาหันตัวอย่างเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็ประคองบ่าของซูหว่านเอาไว้ แยกตัวนางออกห่างจากตนเองชั่วคราว แล้วเดินเข้าไปเลือกโต๊ะด้านในสักตัวนั่งลง และหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมารินชาให้ตนเอง
สายตาซูหว่านจ้องมองเขาอยู่ตลอด นางคอยสังเกตสีหน้าของเขาอย่างรอบคอบ ทั้งเครียดและกังวล
ฉู่ฉีเหยียนรินชาให้ตนเองแล้วดื่มไปหนึ่งอึก แล้วถึงจะเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อนว่า “ลองว่ามา เจ้าจะให้ข้าช่วยยังไง?”
“ข้าไม่ไปโม่เป่ย!” ซูหว่านเอ่ย แล้วกัดฟันเดินไปนั่งลงใกล้เขา หยิบถ้วยมารินชาเช่นเดียวกัน เหมือนกับรวบรวมความกล้ามาจนมากพอแล้ว นัยน์ตาของนางทอประกายเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวที่สุดว่า “ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธพระราชโองการของฝ่าบาทได้ แต่ถ้าหากข้าตายล่ะ?”
นางพูดไปก็ยิ้มเย็นยะเยือกอย่างอวดดี สายตาจ้องใบหน้าด้านข้างของฉู่ฉีเหยียนเขม็ง “เรื่องที่พวกเราเจอกันในวังเมื่อตอนบ่ายดันถูกหลัวอวี่ก่วนเห็นเข้า นางจึงต้องตาย ข้าพานางมาที่นี่แล้ว นางอยู่ในห้องชั้นสอง ข้าจัดการไว้หมดแล้ว แค่สร้างสถานการณ์ว่าโต้เถียงขัดแย้งกัน ด้านนอกเป็นแม่น้ำจ้าวธาร เดิมทีกระแสน้ำในช่วงหน้าหนาวก็ไหลเชี่ยวกรากอยู่แล้ว ตกลงไปก็ตามหาศพได้ยาก ถึงเวลานั้นค่อยก่อความวุ่นวายขึ้นมา เรื่องนี้ก็จะเงียบไปเอง”
…………………………………..