สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 98.2 อิงแอบอยู่ในอ้อมกอด ตกน้ำแล้ว (2)
เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว หอยลนทีแห่งนี้อาศัยความได้เปรียบทางด้านที่ตั้งอีกครั้ง ถึงจะมีคนโต้เถียงกันจนตกน้ำ ในความมืดสนิทไร้แสงไฟเช่นนี้ จะมีใครแยกออกว่าตกน้ำไปกี่คนหรือเป็นใครกันแน่?
ฉู่ฉีเหยียนยิ้ม สีหน้าเจือความชื่นชมเล็กน้อยว่า “เจ้าหมายถึง…แกล้งตาย?”
นัยน์ตาของซูหว่านพราวระยับ ตื่นเต้นกับแผนการของตนเองไม่น้อย
นางขยับไปด้านข้างอีกหนึ่งที่นั่ง แล้วคว้ามือฉู่ฉีเหยียนไว้แน่นว่า “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของข้าแล้ว ซื่อจื่อ เจ้าช่วยข้าด้วย พาข้าไปจากที่นี่ เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจัดการไว้เรียบร้อยหมดแล้ว”
ฉู่ฉีเหยียนเม้มปากและนิ่งเงียบ เพียงครุ่นคิดแล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุ หลัวอวี่ก่วนเป็นคนของตระกูลฮองเฮา เจ้ากับนางไม่มีความแค้นกันมาก่อน แต่กลับก่อเรื่องจนมีคนตายอย่างโจ่งแจ้ง หากฮองเฮาทรงมีพระราชประสงค์ให้สืบหาความจริงให้ได้จะเป็นเรื่องยุ่งยาก”
ซูหว่านเห็นเขาดูท่าทางคล้ายกับผ่อนคลายลงก็ค่อยๆ สบายใจมากขึ้น ทว่านัยน์ตาทอประกายเย็นชาว่า “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ข้าหลอกฉู่สวินหยางมาขังไว้ที่นี่แล้ว ข้ากับหลัวอวี่ก่วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่พวกนางสองคนเคยขัดแย้งกันต่อหน้าธารกำนัลมาก่อน ถ้าหากบอกว่าข้าช่วยห้ามปราบปรามไม่ให้ทะเลาะกันล่ะ?”
ซูหว่านมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเย็นชา
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบจับสังเกตไม่ได้ พลันเงยหน้ามองไปทางห้องชั้นสองอย่างฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
ซูหว่านมองตามสายตาของเขาไป แล้วมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเย็นชาว่า “ผู้หญิงคนนั้นก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนอ๋องหนานเหอของพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือ? ใช้โอกาสนี้กำจัดนางไปเลยทีเดียว ถึงเวลานั้นฮองเฮาก็จะออกหน้าเพื่อหลัวอวี่ก่วน พี่ชายข้าก็ต้องไม่ยอมวางมือแน่ พอเรื่องวุ่นขึ้นมา เจ้าก็นั่งดูทั้งสองฝ่ายสู้กันจนเพลี่ยงพล้ำทั้งคู่ แล้วค่อยตักตวงผลประโยชน์”
นางพูดอย่างอวดดีและเริ่มลืมตัว ฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยลองเขยิบเข้าไปใกล้เขาอีก นางจับมือของเขาไว้พลางรวบรวมความกล้าเข้าไปกระซิบใกล้เขา แล้วพึมพำอย่างรีบร้อนว่า “ช่วยข้าด้วย พาข้าไป ชื่อเสียงและฐานะจอมปลอมเหล่านี้ข้าไม่ต้องการสักนิด เพียงแค่เจ้าให้ตำแหน่งที่เหมาะสมกับข้า ให้ข้าได้อยู่ข้างกายเจ้า”
สายตาของฉู่ฉีเหยียนจับจ้องบานประตูที่ปิดสนิทบนชั้นสอง ราวกับกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง ตอนที่กำลังเหม่อลอยก็ได้กลิ่นหอมของชาดที่ใช้ทาแก้มให้แดงและแป้งโชยมาตามสายลมอย่างเบาบาง
ในใจเขารู้สึกรังเกียจ จึงถอยหลบออกไปด้านข้างอย่างเยือกเย็น
ซูหว่านคว้าน้ำเหลว จึงอดหน้านิ่งไปไม่ได้ นางกัดริมฝีปากมองเขาอย่างโมโหและแค้นใจ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ซื่อจื่อ ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า เจ้าก็รู้มาโดยตลอด ตอนนี้ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”
นางเอ่ยพลางหลับตาลงอีก แล้วเขยิบเข้าไปใกล้
ซูหว่านกักขังฉู่สวินหยางหรือ?
เรื่องนี้ยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ตามหลักแล้วฉู่สวินหยางน่าจะหลอกเขามาที่นี่ก่อน ซึ่งก็พอจะเห็นว่านางเตรียมแผนป้องกันตัวมาตั้งแต่แรก
ในสถานการณ์แบบนี้ นางจะถูกซูหว่านทำร้ายได้ยังไง?
หากอยู่แบบนี้ต่อไปอีกต้องแย่แน่!
ฉู่ฉีเหยียนถอนหายใจออกมา พอตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้วก็ลุกขึ้น ทว่ากลับรู้สึกเวียนศีรษะในทันใด
เขารู้สึกตกใจจนรีบจับโต๊ะยันตัวเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นอย่างเดือดดาล สายตาพลันจ้องมองซูหว่านอย่างอาฆาตมาดร้าย
“เจ้าวางยาข้าหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถาม สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปที่ชุดน้ำชาบนโต๊ะ
ถูกเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนั้น ซูหว่านก็คงพาลโกรธขึ้นมา ฟังแล้วก็ไม่เห็นน่าตกใจตรงไหน นางลุกขึ้นจะเข้าไปประคองเขาว่า “ทีแรกข้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ข้าก็จนตรอกแล้วจริงๆ เหมือนกัน ในเมื่อเจ้าไม่ยอมช่วยข้า เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องช่วยตนเอง!”
ฉู่ฉีเหยียนจะอดทนกับแผนการร้ายนี้ของนางได้ยังไง? เขาสกัดมือนางอย่างโมโหในทันที
เดิมทีเขาแค่ใส่ยาสลบลงไปในชาของซูหว่าน ตอนที่ผลักนางออกดันสัมผัสมือนางโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หัวใจและเลือดกลับแข็งตัวอย่างฉับพลัน ราวกับจะระเบิดพลุ่งพล่านในพริบตาเดียว
ความรู้สึกแบบนี้…
ความร้อนรุ่มในใจฉู่ฉีเหยียนถูกปลุกเร้าไปถึงขีดสุดในชั่วพริบตา อยากจะใช้กำลังภายในฝืนยับยั้งเอาไว้ ต่อมาถึงได้รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ยาพิษ และกำลังภายในก็หยุดยั้งไม่ได้เหมือนกัน
เขารู้สึกเหมือนพูดมากเกินไปจนคอแห้ง และมองซูหว่านตรงหน้าอย่างเฉยชา ในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้นพลันไม่อยากจะพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว
ซูหว่านทุ่มสุดตัว นางมองนัยน์ตาแสนเย็นชาและเยาะเย้ยของฉู่ฉีเหยียน และยังคงหัวเราะอย่างขมขื่น
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดยังไงกับข้า ถึงยังไงเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่สนใจอะไรแล้วเช่นกัน” ซูหว่านเอ่ย พลางหมุนตัวกลับไปข้างโต๊ะแล้วรินชาอีกถ้วยหนึ่ง นางเงยหน้ามองฉู่ฉีเหยียนด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าแล้วกัน อันที่จริงข้าเตรียมของในร้านนี้ไว้ให้ฉู่สวินหยาง ถึงนางจะระมัดระวังขนาดไหนแล้วยังไง? ข้าไม่เชื่อว่านางจะโชคดีขนาดสามารถหนีรอดจากกับดักที่ข้าตั้งใจเตรียมเอาไว้และล้อมไว้อย่างหนาแน่นไปได้ทุกครั้ง แทงข้างหลังข้าจนสาหัสก่อน แล้วก็แอบบังคับให้ข้าแต่งงานกับโม่เป่ย ในเมื่อนางไม่ให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ถึงแม้ต้องตาย ข้าก็ต้องให้นางชดใช้มากกว่าให้ได้ และถึงยังไงทิ้งศพลงแม่น้ำก็ไม่มีทางหาเจออยู่แล้ว จะมีใครรู้ว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าว่าไง?”
ซูหว่านเอ่ยพลางรินชาอีกถ้วย แล้วเดินยกมาถึงตรงหน้าฉู่ฉีเหยียน
“ดื่มอีกถ้วยหรือไม่? ยังไงก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ที่นี่ก็ถือว่าไม่เลวนัก” เพราะว่ายาออกฤทธิ์ แก้มของนางค่อยๆ แดงซ่าน นางยิ้มแล้วยื่นถ้วยชานั้นให้ตรงหน้าฉู่ฉีเหยียนว่า “เจ้าว่าหากอีกสักครู่มีคนเปิดประตูเข้ามาพบว่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องหนานเหอที่สง่างามเช่นเจ้ากับพระชายาองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยมีอะไรกันที่นี่ ฝ่าบาทจะทรงจัดการยังไง?”
คำพูดนี้จงใจข่มขู่อย่างชัดเจน
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้าเย็นชา เพียงแค่มองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เท่านั้น
ซูหว่านพูดเองแล้วก็หัวเราะเองอีก ก็ไม่รู้ว่าแค่ดีใจหรือเจือปนความเศร้าด้วยกันแน่ หัวเราะจนสุดท้ายน้ำตาไหลออกมา
ในห้องชั้นสอง ฉู่สวินหยางกับชิงหลัวคอยดูลาดเลาข้างล่างอยู่หลังประตู แต่เพราะอยู่ไกลจึงทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัดว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน ทว่าแค่เห็นสีหน้าซูหว่านเศร้าแบบนั้นก็รู้ว่าต้องพูดความในใจแน่
“ท่านหญิง ทำยังไงดี? จะ…” รอนานแล้วก็ยังไร้ผล ชิงหลัวจึงลองเอ่ยถามก่อน
“ไม่ต้องรีบ!” ฉู่สวินหยางยกมือห้ามนางไว้ แล้วสังเกตความเคลื่อนไหวของสองคนที่อยู่ข้างล่างผ่านรูที่เจาะทะลุกระดาษปิดหน้าต่างต่อไป
นางจะไม่รู้ได้ไงว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก? ครั้งนี้นางกับซูหว่านกลับคิดเหมือนกันโดยบังเอิญ…
หากพระชายาองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยกับซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหอถูกจับได้ว่าเป็นชู้กันคาเตียง นางไม่สนใจอยากรู้ว่าฮ่องเต้จะโมโหเดือดดาลขนาดไหน สนก็แต่ทั่วป๋าไหวอัน…
โดนสวมเขาให้ขนาดนี้ เช่นนั้นก็สามารถล้มข้อตกลงระหว่างเขากับฉู่ฉีเหยียนได้แล้ว
นางนัดฉู่ฉีเหยียนมาก็เพราะคิดแบบนี้ ดูว่าจะฉวยโอกาสช่วงชุลมุนได้หรือไม่ แต่สำหรับฉู่ฉีเหยียน…
นางจะไม่บุ่มบ่ามลงมือ
เขานั้นความคิดลุ่มลึก นางไม่คิดว่าเขาจะประมาทถึงขั้นมาตามนัดศัตรูอย่างนางคนเดียวแบบนี้
ชิงหลัวรู้ความกังวลของนางดี แต่พอคิดว่าโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าทิ้งไปก็น่าเสียดายมาก ทันใดนั้นตอนที่กำลังรู้สึกเสียดายอยู่นั้นก็สัมผัสถึงเสียงเบามากบนหลังคาที่ปะปนมากับเสียงลมพัดอื้ออึงด้านนอกได้อย่างเฉียบไว
นัยน์ตาของชิงหลัวแน่วแน่ นางถือกระบี่วิ่งไปทางหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก แล้วใช้มือเดียวคว้าขอบหน้าต่างด้านบนปีนขึ้นไปบนหลังคา
ฉู่สวินหยางก็สัมผัสถึงเสียงเมื่อครู่ได้เช่นกัน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงต่อสู้อย่างที่คิดไว้ ทว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่กลับเห็นเงาคนโผล่เข้ามาทางหน้าต่างที่ว่างเปล่า
ที่แท้คือ…
เหยียนหลิงจวินที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดินทางรอนแรมมาไกล!
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ มองไปทางหน้าต่างด้านหลังเขาว่า “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วปิดหน้าต่างเสียงเบา ไม่ส่งเสียงใดดังออกไป
“อ๊ะ!” ฉู่สวินหยางรีบเอ่ยว่า “ชิงหลัวยังอยู่ข้างนอกนะ!”
“ข้าให้นางกับอิ้งจื่อกลับไปก่อนแล้ว” เหยียนหลิงจวินตอบ
เพราะว่ามีคนอยู่ห้องข้างๆ ทั้งสองคนจึงต้องพยายามกดเสียงพูดให้ต่ำที่สุด ในห้องไม่ได้จุดโคมไฟ อาศัยเพียงแสงที่ลอดผ่านมาจากห้องโถงด้านนอกมาเล็กน้อย พอจะมองเห็นได้รำไร แต่แสงไฟสลัวก็ยังยากที่จะแยกได้อย่างชัดเจน
เหยียนหลิงจวินเดินตรงมาหา แล้วถอดเสื้อคลุมของตนเองคลุมลงบนไหล่ของนาง
ตอนที่ฉู่สวินหยางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พลันเกิดเสียงดังสนั่นมาจากชั้นล่างอย่างกะทันหัน เหมือนมีคนกระแทกประตูเข้ามาอย่างแรง จนบานประตูล้มกระแทกพื้นดังปัง
……………………………………