สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - บทที่ 98.3 อิงแอบอยู่ในอ้อมกอด ตกน้ำแล้ว (3)
ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่จะแอบสูดลมหายใจ นางหันไปมองผ่านรูบนประตูออกไป แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเห็นซูหลินพาคนบุกพรวดเข้ามาชั้นล่างอย่างกะทันหัน
ขัดจังหวะการโต้เถียงกันระหว่างฉู่ฉีเหยียนกับซูหว่าน
ซูหลินบุกเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ก็พุ่งเข้าไปตบหน้าซูหว่านเป็นอย่างแรก
เสียงฝ่ามือนั้นดังกังวานชัดเจนในเวลากลางคืน
ซูหว่านถูกเขาตบจนเซไปอีกด้าน
ซูหลินไม่สนใจนาง ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับฉู่ฉีเหยียน แต่ฉู่ฉีเหยียนกลับสะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างโกรธจัดโดยไม่รอฟังให้จบด้วยซ้ำ
ฉู่สวินหยางคิ้วขมวดแน่น แล้วหันกลับไปถามเหยียนหลิงจวินว่า “นี่เจ้าพาเขามาหรือ?”
พอซูหลินปรากฏตัวก็เกิดความวุ่นวายอย่างชัดเจน
แต่ถ้าเป็นแผนการของเหยียนหลิงจวิน เรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุแน่
เหยียนหลิงจวินแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่จูงมือนางไปที่หน้าต่าง แง้มหน้าต่างบานนั้นออกเล็กน้อยและให้นางมองดูด้านนอก
ฉู่สวินหยางก้มมองอย่างสงสัย
หน้าต่างของสองห้องที่ขนาบข้างซ้ายขวาหัวโค้งบันไดเปิดอยู่อย่างแปลกประหลาด ด้านล่างนั้นนอกจากระเบียงด้านหน้าหอยลนทีที่สูงมากแล้ว ถัดไปก็เป็นแม่น้ำจ้าวธารที่เกลียวคลื่นม้วนตัวโหมกระหน่ำซัดสาด ฉู่สวินหยางเอียงตัวมาทางขวาเล็กน้อยถึงจะมองเห็นประตูทางเข้าชั้นล่าง
แล้วก็เห็นฉู่ฉีเหยียนพาหลี่หลินเดินออกมาจากประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างดูราวกับปกติดี ระหว่างที่เดินนั้นฉู่สวินหยางกลับเห็นอย่างชัดเจนว่านิ้วกลางมือขวาที่เขาพาดอยู่หลังตัวเขาขยับอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็ตำหนิเงาคนท่ามกลางความมืดอย่างไว ซึ่งมีทั้งที่กระโดดลงมาจากหลังห้องข้างๆ ชั้นบน ปีนออกมาจากใต้บันไดที่ระเบียงหน้าประตู แฝงตัวเหมือนภูตผีวิญญาณ และหลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ก็แยกย้ายหายไปคนละทิศคนละทาง เร้นกายกลืนหายไปในความมืดที่โรยตัวปกคลุม
“ที่แท้เขาก็มีแผนรับมือตั้งแต่แรก!” ถึงแม้จะเตรียมการมาก่อน แต่ฉู่สวินหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเสียดาย
ระหว่างที่พูดอยู่นั้นนางพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปมองเหยียนหลิงจวินที่อยู่ใกล้ตัวทันที…
ฉู่ฉีเหยียนแอบเตรียมคนเอาไว้พร้อมก่อนแล้ว แต่เขากลับใช้วิชาตัวเบาเดินเหินบนหลังคาอย่างคล่องแคล่วบุกเข้ามาทางหน้าต่างได้อย่างโจ่งแจ้ง? เกรงว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้นสายตาของอีกฝ่ายรึเปล่า?
ด้านล่างเหมือนกับจะตอบกลับความคิดของนาง ทันใดนั้นหลี่หลินที่คอยติดตามอยู่ด้านหลังฉู่ฉีเหยียนก็เดินเข้าไปบอกบางอย่างเสียงต่ำข้างหูฉู่ฉีเหยียน
ฉู่ฉีเหยียนหยุดเดินในทันที
กะทันหันจนฉู่สวินหยางตั้งตัวไม่ทัน ทันใดนั้นก็เห็นเขาหันกลับมามองตำแหน่งที่นางอยู่
ในสถานการณ์ที่น่าหวาดหวั่นและอันตรายนั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างมองไม่เห็นกัน อาจเป็นปฏิกิริยาที่สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงอันตราย ฉู่สวินหยางจึงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ถอยไปไม่ทันระวัง เหยียนหลิงจวินที่เดิมควรจะยืนอยู่ข้างนางกลับไม่รู้ว่าย้ายมายืนอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่ ทันทีที่นางถอยหลังไปก็ชนเข้ากับหน้าอกเขาพอดี และเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจึงถูกแรงกระแทกสะท้อนกลับมา
ฉู่สวินหยางจะค้ำหน้าต่างตามสัญชาตญาณ แต่ตอนนั้นหน้าต่างกลับไม่มีกลอนอีก ระหว่างที่จะถอยหรือจะหาที่จับนั้น…
ดันชนหน้าต่างเปิดอ้าเสียงดังพอดี กระแสลมที่หนาวเหน็บพัดปะทะหน้าจนคนโดนลมตัวหนาวสั่น
“เหมือนกับมีเสียงบางอย่าง!” องครักษ์ที่อยู่ห้องข้างๆ ได้ยินเสียง จึงรีบเปิดหน้าต่างมองรอบๆ
ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเหยียนที่หันมองจากชั้นล่างสบตากันอย่างตกใจ เหยียนหลิงจวินยื่นแขนมาโอบเอวนางไว้ แล้วพานางมาหลบข้างๆ ซ่อนตัวจากสายตาขององครักษ์ห้องข้างๆ ที่โผล่ศีรษะมามองซ้ายมองขวา
ซูหลินพาคนมากมายมาฆ่าถึงที่ เวลานี้ฉู่สวินหยางก็ไม่กล้าประมาทเหมือนกัน จึงยอมอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย
มองจากมุมของฉู่ฉีเหยียนกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน…
มีเงาคนสองคน คนหนึ่งตัวสูงและอีกคนตัวเล็กกว่า แอบอิงกันอยู่ท่ามกลางความมืด ซ่อนอยู่หลังกำแพงข้างหน้าต่าง ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไรกัน ทว่าภาพไร้เสียงที่เห็นนั้นกลับบาดตาอย่างชัดเจน
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร! แค่ลมพัดหน้าต่างห้องข้างๆ เปิด!” คนห้องข้างๆ สอดส่องอยู่ที่หน้าต่างพักหนึ่ง ไม่เจออะไรผิดปกติก็ตะโกนให้ปิดหน้าต่างอีกครั้ง
ฉู่สวินหยางโล่งอกไปที นางลูบอกแล้วถอยออกมาจากอ้อมแขนของเหยียนหลิงจวินก้าวหนึ่ง ตอนที่โผล่ศีรษะออกไปดูอีกรอบ ด้านล่างก็ไม่มีร่างของฉู่ฉีเหยียนแล้ว
นางก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เพียงแค่ต่อว่าเหยียนหลิงจวินอย่างไม่พอใจว่า “ทำอะไรตกใจหมด?”
“ยังไงพวกเขาก็เห็นตั้งแต่ตอนที่ข้ามาแล้วก็ไม่เห็นต้องไปยั่วโมโหอีกรอบ!” เหยียนหลิงจวินยิ้ม แล้วช่วยจัดปกเสื้อนางให้เรียบร้อยอีกว่า “ไปเถอะ ละครฉากนี้ไม่มีอะไรน่าดูอีกแล้ว!”
ฉู่สวินหยางเบ้ปาก ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถจัดการฉู่ฉีเหยียนได้อย่างที่หวังไว้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เอาเปรียบอะไร คิดดูแล้วก็ไม่มีอะไรเสียหาย
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าอย่างเสียดายเล็กน้อย
เหยียนหลิงจวินรูปร่างปราดเปรียวปีนออกไปทางหน้าต่างแล้ว ฉู่สวินหยางขยับไปตามแผน แต่ไม่ต้องรอให้นางขยับตัว เงาคนที่หายไปจากนอกหน้าต่างพลันห้อยศีรษะกลับเข้ามา แล้วยื่นแขนมาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอดด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อเหลาและพานางออกไปทางหน้าต่าง
หน้าต่างสั่นไหวเกิดเสียงดังขึ้นอีกครู่
องครักษ์ที่อยู่ห้องข้างๆ พูดไปด่าไปพลางโผล่ศีรษะออกมามองซ้ายมองขวาอีกครั้ง “เหล่าจางทางพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้น? ไม่ได้ปิดตายหน้าต่างไปแล้วหรือ? เหล่าหลี่เจ้าไปดูห้องข้างๆ!”
“ขอรับ!” องครักษ์อีกคนตอบรับแล้วลุกออกไป แต่ประตูของห้องนั้นกลับถูกคนกระแทกเปิดจากด้านนอก ซูหว่านถลาเข้ามาอย่างโมโหร้าย นางไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว พุ่งเข้าไปลากตัวหลัวอวี่ก่วนที่ถูกมัดอยู่ตรงมุมกำแพงขึ้นมา ใช้ทั้งมือและเท้าแกะเชือกที่พันตัวนางยุ่งเหยิงออก แล้วลากตัวนางไปทางหน้าต่าง
องครักษ์สองคนต่างนิ่งอึ้งไป และมองอย่างตกตะลึงอย่างไม่รู้ว่าจะเข้าไปห้ามยังไงดี
เวลานั้นฤทธิ์ยาสลบในร่างหลัวอวี่ก่วนหมดไปเกินครึ่งแล้ว นางฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกซูหว่านพาตัวมาที่นี่ เพียงแต่ทั้งร่างกายอ่อนแอไม่มีแรง ถึงแม้เวลานี้จะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่กลับตื่นตระหนกจนมือเท้าหนักอึ้ง ทำได้เพียงคล้อยตามคนอื่น
ซูหว่านเปิดหน้าต่างออก จะผลักหลัวอวี่ก่วนออกไปนอกหน้าต่างนั้น
“อย่า…” หลัวอวี่ก่วนร้องอย่างหวาดผวาน่าสงสาร มองแม่น้ำที่โหมกระหน่ำซัดสาดด้านล่าง วิญญาณบินออกจากร่างในชั่วพริบตา
ซูหว่านจะกำจัดนางทิ้งงั้นหรือ?
หลัวอวี่ก่วนอ่อนแรงไปทั้งร่าง เพียงถูกลมหนาวที่พัดผ่านผิวน้ำด้านนอกก็เหงื่อตกด้วยความหวาดกลัวอีก
นางร้องให้ช่วยเหลือเสียงดังอย่างหวาดหวั่น แต่เสียงกลับกระจายอยู่แค่รอบหูเท่านั้น แทบกลืนหายไปกับเสียงลมที่พัดกระหน่ำจากด้านนอกไปทันที
เวลานั้นหลัวอวี่ก่วนแทบสิ้นหวังแล้ว
ซูหลินตามซูหว่านมาจากด้านหลัง และดันเห็นภาพนี้เข้าพอดี สีหน้าเขาโศกเศร้าเวทนาและหายใจติดขัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“หว่านเอ๋อร์?” ซูหลินทั้งตกใจและหวาดกลัว
“เจ้าบ้าไปแล้วรึไง? ยังไม่รีบหยุดมืออีก!” เขารีบเดินเข้าไปลากตัวซูหว่านออกมาจากหน้าต่าง แต่เพราะใช้แรงเยอะไป ซูหว่านจึงเซล้มลงไปบนโต๊ะด้านหลัง
ชุดชาบนโต๊ะถูกกวาดทิ้งตกพื้นจนแตกละเอียด
ซูหว่านไม่สนใจความเจ็บปวด นางลุกขึ้นมาได้ก็กระโจนเข้าใส่อีก และเอ่ยเสียงดังจนแทบเหมือนบ้าว่า “นางต้องตาย หากวันนี้นางไม่ตาย ถ้าเรื่องถูกเปิดโปงออกไป พวกเราจะยังรอดไปได้อีกหรือ?”
ถึงแม้บางครั้งซูหว่านจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ในความทรงจำของซูหลิน น้องสาวของตนคนนี้ก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ถูกตามใจจนเสียคนเท่านั้น เขาเคยเห็นนางท่าทางเหมือนเสียสติแบบนี้เสียเมื่อไหร่
หากหลัวอวี่ก่วนหายตัวไป หลัวฮองเฮากับจวนหลัวกั๋วกงต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่
ซูหลินเผลอขัดขวางโดยไม่รู้ตัว มือหนึ่งขวางนางไว้ ขณะเดียวกันก็รีบอุ้มหลัวอวี่ก่วนลงมาจากหน้าต่าง
ฤทธิ์ยาสลบในตัวหลัวอวี่ก่วนยังไม่หมดไปซะทีเดียว อีกทั้งยังรู้สึกตื่นตกใจไม่น้อยที่ถูกผลักไปที่หน้าต่าง ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง
เพิ่งถูกซูหลินพาตัวกลับมา ซูหว่านก็กระโจนเข้าใส่อีกทันที
ซูหลินโมโหเดือดดาลจนคว้าข้อมือนางไว้แน่น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนและตำหนิเสียงเย็นว่า “อย่าได้ทำตัววุ่นวายอีก เข้ามานี่ มัดตัวท่านหญิงกลับไป!”
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูขานรับและเข้ามา
แต่ซูหว่านกลับทั้งเตะทั้งถีบอย่างรุนแรงและแยกเขี้ยวขู่ โดยไม่ยอมแพ้แม้แต่นิดเดียว
ซูหลินทำลายแผนของนาง แถมตอนนี้ยังจะช่วยหลัวอวี่ก่วนที่ร้ายซ่อนลึกนี่อีกหรือ? เขาเป็นพี่ชายของนาง แต่กลับช่วยคนนอกไปทั่ว!
เวลานี้ซูหว่านเสียสติไปจนหมดสิ้น นางรู้สึกเกลียดเป็นอย่างมาก แต่แรงของนางสู้ซูหลินไม่ได้ ทันใดนั้นในขณะที่จวนตัวก็อ้าปากกัดหลังมือซูหลินอย่างไม่สนใจไยดี
สภาพนางเหมือนสติฟั่นเฟือนไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางกัดไปเต็มคำอย่างไร้ความปราณี เลือดไหลทะลักออกมาในชั่วเวลาอันสั้น จนย้อมฟันขาวทั้งสองแถวของนางให้ดูดุร้ายน่ากลัว
“อ๊ะ…” ซูหลินร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเผลอยกมือสะบัดนางออกไปตามสัญชาตญาณ
………………………………….